1 ไม่ได้อยากยุ่ง แค่อยากเตือน
เสียงร้องเพลงชาติดังไปทั่วทั้งบริเวณของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง แม้ว่าเด็กที่มาเรียนในวันนี้จะมีจำนวนเพียงครึ่งเดียวก็ตาม เนื่องจากเป็นวันสอบปลายภาคเรียนวันแรก
ชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่ง กำลังเดินขึ้นไปบนอาคารเรียนแห่งนี้ด้วยความคุ้นเคย แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ความทรงจำก็ยังไม่จางหาย ภาพที่ตัวเองเคยวิ่งบนระเบียงอาคารจนถูกอาจารย์ดุอยู่เกือบทุกวันยังฉายชัด ขายาวก้าวไปตามระเบียงทางเดินชั้นสองซึ่งมีห้องเรียนเรียงอยู่นับสิบห้อง ก่อนจะหยุดที่หน้าล็อกเกอร์เก็บของที่อยู่ด้านในสุดของตัวอาคาร
มือเรียวยาวหยิบกุญแจหมายเลข 10 ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีขาวราคาแพง จากนั้นไขกุญแจตามหมายเลขที่ตรงกับลูกกุญแจในมือของตัวเอง
ด้านในล็อกเกอร์มีอุปกรณ์การเรียน หนังสือเรียน ของใช้ส่วนตัวอีกเล็กน้อย แต่ที่สะดุดตาก็คงจะเป็นรองเท้าผ้าใบราคาแพงที่เขาจำได้ว่าเพิ่งจะซื้อให้กับเจ้าของล็อกเกอร์นี้ได้ไม่ถึงเดือน
ชายหนุ่มเก็บทุกอย่างลงไปในลังกระดาษที่เตรียมมาด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องเป็นคนมาเก็บของออกจากล็อกเกอร์ของน้องชาย ในวันที่เจ้าตัวนั้นลาโลกไปแล้ว
พอตรวจสอบว่าไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่แล้วเขาก็ปิดล็อกเกอร์ ดึงกุญแจออก ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับก็มีเสียงคนพูดมาจากริมทางเดิน
“แม่ครับ ยายครับผมขอโทษ ผมเอาเงินที่แม่ให้มาจ่ายค่าเทอม กับเงินค่าแผงที่แม่ฝากไปให้เจ๊จิตไปลงทุนกับเพื่อนที่รู้จักกันในเฟซบุ๊ก คิดว่าจะได้เงินเพิ่มแต่ที่ไหนได้พวกมันหลอกเอาเงินไปหมดเลย ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วครับแม่ จะไปแจ้งความพวกมันก็ขู่ไว้ว่าจะมาทำร้ายแม่กับยาย พอถามพวกมันบ่อย ๆ มันก็บล็อกทั้งเฟซทั้งไลน์ ตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรแล้วครับ ผมเป็นลูกที่ไม่ดี เป็นหลานที่ไม่ดีเลยใช่ไหมครับ ถ้าผมตายจากอุบัติเหตุแม่กับยายจะได้เงินใช่ไหมครับ ผมคิดว่านี่คือทางออกเดียวที่เรามีตอนนี้ แต่แม่อย่าเอาโทรศัพท์ให้ตำรวจนะครับ เพราะพวกเขาจะไม่เชื่อว่ามันเป็นอุบัติเหตุแล้วแม่จะไม่ได้เงิน ผมอยากจะบอกแม่กับยายนะครับว่าผมรักแม่กับยายมาก รักมากที่สุด ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ” น้ำเสียงที่ได้ยินนั้นเจอไปด้วยเสียงสะอื้น เด็กหนุ่มกำลังร้องไห้
เขายืนฟังเด็กหนุ่มพูดอยู่ตั้งแต่แรก มันดูเหมือนว่าเด็กคนนี้กำลังสั่งลา หัวใจเขากระตุกวูบ เขาไม่อยากให้ใครต้องเจอกับการสูญเสียเหมือนกับที่เขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้
“ถ้านายรักแม่และยายอย่างที่พูด นายคงไม่ทิ้งให้พวกท่านเสียใจ”
เขาพูดขึ้นด้วยอารมณ์ไม่พอใจ แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนแต่เขาก็ไม่อยากให้ใครต้องมาตาย
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามอง เขาเห็นหน้าคนพูดไม่ชัดนัก เพราะตอนนี้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยน้ำตาที่มันเอ่อล้นจนเปื้อนไปทั้งสองแก้ม เขาใช้หลังมือปาดน้ำตาออกและมองผู้ชายที่พูดกับเขาอีกครั้ง จำไม่ได้ว่าตัวเองเคยรู้จักมาก่อน
“พี่เป็นใคร มายุ่งอะไรกับผม”
เด็กหนุ่มถามออกไปอย่างไม่พอใจ เขาคิดว่าที่ตัวเองพูดเมื่อครู่ไม่มีใครได้ยิน แต่พอรู้ว่ามีคนแอบฟังก็รู้สึกหงุดหงิดและผิดหวังเพราะถ้าเขาเป็นอะไรไปผู้ชายคนนี้คงเที่ยวไปบอกคนอื่นแน่ ๆ ว่าเขาคิดจะทำอะไร
“ไม่ได้อยากยุ่ง แค่อยากเตือน”
“เตือนตัวเองก่อนไหมว่าอย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่น”
“นายมันขี้ขลาด”
“พี่มีสิทธิ์อะไรมาว่าผม” เด็กหนุ่มถามกลับด้วยความโมโห
“นั่นสินะ พี่จะมีสิทธิ์ไปว่านายได้ยังไง พี่ไม่ใช่แม่หรือยายของนายสักหน่อย น่าสงสารท่านนะ เลี้ยงลูก เลี้ยงหลานมาจนโตขนาดนี้แล้ว เรียนมาก็เยอะแต่สุดท้ายก็มาคิดอะไรตื้น ๆ แบบนี้”
“พี่ไม่ใช่ผม พี่ไม่รู้หรอกว่าผมต้องเจอเรื่องอะไรบ้าง”
“คนเราก็เจอปัญหากันทุกคนนั่นแหละ แต่คนฉลาดเขาจะมีวิธีจัดการกับปัญหาได้ดีกว่านี้”
“พี่ว่าผมโง่”
“นายได้ยินพี่ว่านายเหรอ”
“พี่หมายความอย่างนั้น”
“ทีนี้ทำเป็นฉลาด”
“นั่นไงพี่ยอมรับแล้วว่าเมื่อกี้ว่าผมโง่”
“ก็แล้วแต่นายจะคิด นายก็ดูเป็นคนฉลาดดีนี่แล้วทำไมถึงคิดจะทำเรื่องแบบนั้น”
“มันเป็นทางออกเดียวที่คิดได้”
“นายมีปัญหาอะไร ลองเล่าให้พี่ฟังได้ไหม” เพราะไม่อยากเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเหมือนกับน้องชายของตนเอง
“พี่จะอยากรู้เรื่องคนอื่นไปทำไม เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
“อย่างน้อยพี่ก็เป็นเพื่อนร่วมโลกกับนายไง ถ้านายอยากจะตายจริง ๆ พี่ก็ไม่ห้ามหรอกแต่นายไม่อยากเล่าให้ใครสักคนฟังก่อนตายเหรอว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“พี่ต้องเก็บเป็นความลับ”
“แน่สิ พี่จะไปเล่าให้ใครฟังได้ล่ะ เพราะพี่ไม่เคยรู้จักคนรอบตัวของนายเลยสักคน”