4.
“เต้ ฉันจะออกไปซื้อของเข้าร้านนะ อยากได้อะไรเพิ่มหรือเปล่า” ภัสสรเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่เช็ควัตถุดิบภายในร้านเสร็จเรียบร้อย ก็พบว่ามีของหลายรายการที่หมดและต้องซื้อเข้าร้าน
“ไม่ครับ ซื้อขนมอร่อยๆมาฝากก็พอ” หันมาตอบยิ้มๆ ก่อนจะชงกาแฟตามออเดอร์ต่อ
แม้เวลาจะล่วงเลยเข้าช่วยบ่ายของวัน แต่ลูกค้าก็ยังคงทยอยเข้าร้านอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่เยอะเหมือนช่วงพักกลางวัน แต่ก็ไม่ขาดหายไป
“รู้แล้วน่า เรื่องกินนี่ยกให้แกที่หนึ่งเลยนะ”
“โธ่…เจ้านายคนสวยครับ นี่ผมยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยนะครับเนี่ย” พูดเสียงอ่อยทำหน้าระห้อยน่าสงสาร
“จริงดิ งั้นเสร็จออเดอร์นี้นายก็เข้าไปพักก่อนก็ได้ สั่งข้าวจากร้านลงมากินเดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก เดี๋ยวฉันให้กุ๊กไก่มาเปลี่ยนเอง” ภัสสรพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรพี่แค่นี้เอง เดี๋ยวก็เสร็จแล้วเนี่ย” รีบปฏิเสธออกมาโดยเร็วด้วยความเกรงใจ รับรู้ได้ถึงความห่วงใยของเจ้านายสาวดี ถึงภายนอกอาจจะดูเป็นผู้หญิงแรงๆ ปากร้าย
แต่ถ้าใครได้ใกล้ชิด และรู้จักนิสัยจริงๆ ของภัสสร ก็จะรู้ว่าที่จริงแล้วหญิงสาวนั้น ปากร้ายแต่ใจดีขี้สงสาร และแคร์ความรู้สึกของคนอื่นเสมอ
แต่ภัสสรกลับไม่ได้สนใจเสียงห้ามของเต้แต่อย่างใด ยกโทรศัพท์ตั้งโต๊ะที่วางอยู่ในเคาเตอร์ โทรไปหาห้องอาหารของร้านทันที
“ป้านิ่มคะ ลูกศรรบกวนทำข้าวผัดทะเล แล้วก็ต้มจืดเต้าหู้หมูสับของเต้ให้หน่อยนะคะ เสร็จแล้วรบกวนให้เด็กยกลงมาหลังร้านให้ด้วยนะคะ...ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“ขอบคุณครับ” พูดออกมาอย่างซึ้งใจ ในความเอาใจใส่ดูแล และเป็นห่วงเป็นใยของเจ้านายสาวที่พ่วงตำแหน่งพี่สาวจอมเผด็จการ
“กุ๊กไก่จ๊ะ เดี๋ยวมาช่วยเต้หน้าเคาน์เตอร์ด้วยนะ พอดีพี่จะออกไปซื้อของข้างนอก” หันมาสั่งบาริสต้าสาวร่างเล็กที่เดินมาพอดีด้วยรอยยิ้ม
“ได้ค่ะพี่ลูกศร” กุ๊กไก่ตอบรับเสียงสดใส พร้อมกับส่งรอยยิ้มไปให้เจ้านายสาวสวย และเมื่อจัดแจงงานต่างๆ ภายในร้านเสร็จสรรพ ภัสสรก็คว้ากระเป๋าสะพายเดินออกจากร้าน โดยไม่ลืมพูดกำชับเต้อักครั้ง
“อย่าลืมไปทานข้าวด้วยล่ะ เดี๋ยวฉันรีบไปรีบกลับ”
“ครับ รู้แล้วครับ ขับรถดีๆนะครับ” เต้ขานรับเสียงนุ่ม มองเจ้านายสาวเดินออกจากร้านไปด้วยรอยยิ้ม
“น่ารักเนาะเจ้านายเรา แต่แปลกทำไมถึงยังไม่มีแฟน” กุ๊กไก่เอ่ยขึ้นด้วยความอยากรู้ปนสงสัยก่อนจะถูกนิ้วแกร่งของคนที่อยู่ข้างๆ ดีดมาเบาๆ ที่หน้าผาก
“โอ้ย! เต้ เจ็บนะเนี่ย” ร้องโอดโอยออกมารีบยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองปรอยๆ
“อย่าไปยุ่งเรื่องของเจ้านาย นู่นลูกค้าเข้าร้านมาแล้วไปรับออเดอร์เร็ว”
“รู้แล้วค่ะคุณพ่อ” ตอบกลับอย่างยียวน
“พ่อบ้าอะไรล่ะ”
“พ่อทูนหัวไงจ๊ะ เต้จ๋า” ยกยิ้มอย่างทะเล้น ก่อนจะรับวิ่งออกไปรับออเดอร์จากลูกค้า ด้วยกลัวว่าอยู่นานกว่านี้ จะถูกชายหนุ่มดีดหน้าผากเข้าให้อีกหนึ่งที ส่วนเต้ก็ได้แต่มองตามหลังร่างเล็กไปยิ้มๆพร้อมกับส่ายหน้าไปกับลูกหยอดของหญิงสาว
ปี๊นๆๆๆ
เสียงแตรรถดังสนั่นไปทั่วพื้นที่ลานจอดรถ ของห้างสรรพสินค้า บ่งบอกอารมณ์ของของเจ้าของรถที่บีบแตรได้เป็นอย่างดี ว่าตอนนี้เป็นอย่างไร
ร่างบางเปิดประตูก้าวฉับๆ เดินมายังรถยนต์คันหรูสีดำมันวาว ที่จอดนิ่งสนิทอย่างอารมณ์เสีย โดยไม่สนด้วยว่าคนที่อยู่ในรถยนต์คันหรูคือผู้หญิงหรือผู้ชาย
มือบางเคาะกระจกรถฝั่งคนขับรัวเร็วเสียงดัง หวังจะให้คนที่อยู่ในรถลงมาคุยเธอให้รู้เรื่อง และก็ดูจะได้ผล เมื่อกระจกรถถูกเลื่อนลง พร้อมกับใบหน้าของเจ้าของรถ แม้ใบหน้าของชายหนุ่มจะมีแว่นกันแดดสวมอยู่ แต่ภัสสรก็จำได้ขึ้นใจว่าผู้ชายคนนี้คือใคร
“บ้าเอ้ย! นี่นายอีกแล้วเหรอ” สบถออกมาอย่างอารมณ์เสียเป็นทวีคูณ สองมือกำเข้าหากันแน่นเมื่อเห็นว่าเจ้าของรถคันที่ไม่มารยาทคันนี้คือใคร
ซวย! บอกได้คำเดียวว่าซวย
คนถูกถามไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับเปิดประตูลงมาจากรถ แล้วยืนกอดอกพิงรถตัวเอง มองหน้าหญิงสาวด้วยรอยยิ้มก่อนจะพูดตอบกลับ
“นั่นดิ...เธออีกแล้วเหรอ ซวยชะมัด” คนถูกหาว่าซวย แทบอยากจะกรีดร้องใส่หน้าให้แก้วหูคนฟังแตก พูดออกมาได้ยังไงว่าเจอเธอแล้วซวย
“คิดว่าตัวเองซวยคนเดียวหรือยังไง เอารถนายหลบไปเลย ฉันเจอที่ตรงนี้ก่อนนาย เพราะฉะนั้นมันต้องเป็นของฉัน” ภัสสรพูดออกมาอย่างฉุนเฉียว
เมื่อนึกย้อนไปเมื่อสิบนาทีที่ผ่านมา ที่เธอขับรถมาเห็นที่จอดรถตรงนี่ว่างอยู่ กำลังจะเลี้ยวเข้าจอดแต่อยู่ดีๆ ก็มีรถอีกคันแล่นเข้ามาปาดหน้า จะแย่งที่ของเธอหน้าตายเฉย
“เหอะ! เธอนี่มันบ้าจริงๆ เลยนะ บอกว่าเป็นที่ตัวเองแล้วไหนล่ะชื่อที่เธอจองไว้... ไหน ไม่เห็นจะมีชื่อเธอติดไว้เลย” พีรพัฒน์พูดตอกกลับอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
ก็นี่มันที่จอดรถในห้างที่สาธารณะ และก็ไม่ได้ป้ายติดที่ชื่อใครไว้ ยัยนี่จะมาโมเมว่าเป็นของตัวเองได้ยังไง
ส่วนภัสสรเมื่อเจอคำพูดและท่าทางยียวนกวนประสาท ของพีรพัฒน์ก็ของขึ้นทันที
“อ้ายย ไอ้บ้า นี่มันวันซวยอะไรของฉันนะที่ต้องมาเจอคนบ้าๆอย่างนาย ซวยๆ จริงๆ”
“แล้วคิดว่าฉันไม่ซวยหรือไงที่มาเจอเธอ เจอกันครั้งแรกเธอก็ทำกาแฟหกใส่ชุดฉัน แถมไม่ขอโทษสักคำ พอเจอกันครั้งที่สองเธอก็ทำร้ายร่างกายฉัน แล้วเจอกันครั้งนี้เธอก็จะมาแย่งที่จอดฉันอีก คนที่ซวยคือฉันต่างหากไม่ใช่เธอ ยัยบ้า” ภัสสรยืนเต้นเร่าๆ ชี้หน้าพีรพัฒน์ด้วยความโกรธ เกิดมาไม่เคยมีผู้ชายคนไหนมากล้าว่าเธอแบบนี้เลยสักคน
“ไอ้ผู้ชายปากหมา” ตะโกนด่าออกมาอย่างสุดเสียงด้วยความโมโห
“เธอก็ไม่ต่างจากฉันหรอกยัยปากกรรไกร เอะ!! ไม่ใช่สิ ยัยปากปีจอ”
“อ้าย ไอ้บ้า ไอ้ผู้ชายปากร้าย ไอ้ปากหมา เอารถของนายถอยไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ก่อนที่ฉันจะเอารองเท้าสวยๆ ของฉันไปฟาดที่รถของนายให้เป็นรอย”
“คิดว่ากล้าก็ลองดู รับรองฉันจะเรียกค่าเสียหายจากเธอจนเธอไม่มีโอกาสเถียงฉันแบบนี้แน่”
“หึ คิดว่าฉันกลัวนายมากหรือไง ได้!! ไม่ถอยออกไปดีๆ ใช่มั้ย” ว่าแล้วก็ก้มลงถอดรองเท้าส้นสูงแหลมปี๊ดออกจากเท้าของตัวเองทันที ร่างบางเดินตั้งหน้าไปหารถหรู ที่จอดอยู่หมายมั่นปั้นมือ ว่ายังไงวันนี้รองเท้าของเธอ ก็ต้องได้ฟาดลงไปที่รถของไอ้ผู้ชายปากหมานั้นแน่นอน แต่ก่อนที่รองเท้าจะได้ไปสัมผัสกับผิวของรถที่ขัดมาอย่างเงาวับนั้น
ร่างบางก็ถูกกระชากแขนลอยละลิ่ว ปะทะเข้าหาอกแกร่ง ริมฝีปากหยักได้รูปฉกลงประกบริมฝีปากบางอย่างรวดเร็ว
ภัสสรยืนนิ่งเบิกตา กว้างมือไม้อ่อนแรง ปล่อยรองเท้าร่วงลงพื้นด้วยความตกใจ เหมือนถูกไฟซ็อตอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นอีกคนยืนนิ่ง พีรพัฒน์ไม่รอช้า รีบฉกฉวยหาความหวานกับริมฝีปากบางตรงหน้า ส่งลิ้นสากสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากอ่อนนุ่ม พยายามบังคับให้คนในอ้อมกอดเปิดปากให้เขา เข้าไปดูดดื่มความหวานมากกว่านี้
และเหมือนจะยากเสียเหลือเกิน เพราะคนที่ยืนนิ่งในตอนแรก สติที่เลือนหายเริ่มกลับมา รัวกำปั้นน้อยๆ เข้าใส่อกแกร่งอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งยังพยายามดิ้นหนีอ้อมกอดที่แข็งแรงดั่งกรงเหล็ก ที่รัดไว้แน่นมีหรือที่แรงน้อยนิดเท่าแรงมด จะทำให้พีรพัฒน์สะทกสะท้านได้
“อื้อ อ่อย” ร้องประท้วงอู้อี๋อยู่ในลำคอ มือบางก็ยังทุบตีไม่ยอมหยุด
เมื่อคนในอ้อมกอดเริ่มพยศ คนตัวโตเลยใช้ทักษะการจูบที่มีมากกว่า ขบเม้มดูดดึงและกัดเบาๆ ไปที่ริมฝีปากล่างของภัสสร
ริมฝีปากบาง เปิดปากออกด้วยความเจ็บพร้อมกับจะต่อว่า แต่ความเร็วของอีกคนมีมากกว่า รีบพาลิ้นสากแทรกเข้าในโพรงปากนุ่มทันที
ลิ้นสากเกี่ยวรัดลิ้นเล็กที่หลบหนีเป็นพัลวัน ร่างบางที่เพิ่งจะเสียจูบแรกในชีวิต สั่นสะท้านเบาๆ สมองขาวโพลน ไปกับสัมผัสดูดดื่มและเอาแต่ใจของอีกคน
พีรพัฒน์จูบซับความหวานไปเรื่อยอย่างไม่รู้จักอิ่ม ไม่คิดว่าจูบจากผู้หญิงปากร้ายในอ้อมกอด จะหอมหวานขนาดนี้
นี่ขนาดเธอไม่ประสาเก้ๆ กังๆ แถมยังไม่ตอบสนองเขายังติดใจขนาดนี้ ติดใจจนไม่อยากหยุด และถ้าวันหนึ่งเขาทำให้เธอตอบสนองได้ จะดีขนาดไหนแค่คิดก็สนุกแล้วสิ!
“อื้อ” ภัสสรร้องประท้วงอีกครั้ง พร้อมกับทุบตีคนฉวยโอกาส เพราะออกซิเจนที่มีในร่างกายเริ่มลดน้อยถอยลงไปทุกที เมื่อชายหนุ่มจูบเธออย่างเอาแต่ใจ ไม่เปิดโอกาสให้เธอได้หายใจหายคอบ้างเลย
พีรพัฒน์ตัดใจผละริมฝีปาก ออกจากริมฝีปากบางอย่างแสนเสียดาย มองคนที่ยืนหอบตัวโยนหน้าดำหน้าแดงอยู่ตรงหน้ายิ้มๆ
มือแกร่งยกนิ้วโป้ขึ้นเช็ดริมฝีปาก ที่เปื้อนลิปสติกออกด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ อย่างผู้ชนะในครั้งนี้ นั่นยิ่งทำให้ภัสสรโกรธมากขึ้นไปอีก
เพียะ!!
ฝ่ามือบางฟาดลงบนแก้มสากวยความโมโห และโกรธขั้นสุด เกิดมาเธอไม่เคยเจอผู้ชายคนนั้น ทำตัวน่ารังเกียจเท่าผู้ชายคนนี้มาก่อนเลย
คนถูกตบ หันกลับมามองคนตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเรียบ ใช้ลิ้นดุนแก้มข้างที่ถูกตบเล่นอย่างกวนประสาท ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา ทำเหมือนว่าไม่ได้รู้สึกเจ็บกับแรงมดที่ตบลงมาเลยสักนิด
“มีแรงแค่เนี่ย?” นั่นยิ่งทำให้ภัสสรโกรธจัดยกมือขึ้นชี้หน้า
“ไอ้ ไอ้ ไอ้...”
“ไอ้อะไร พูดดีๆ นะ ไม่งั้นฉันจะเรียกค่าเสียหายจากเธอ จนพูดไม่ออกเหมือนเมื่อกี้อีก” ไม่พูดเปล่า ร่างสูงยังทำท่าเดินเข้าหาร่างบาง ที่ทำหน้าตาตกใจรีบถอยหลังหนีด้วยความกลัว
“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย” ขู่ฟ่อๆ บังคับเสียงไม่ให้สั่น ด้วยความหวังว่าจะทำให้อีกคนกลัว
ทั้งที่ตอนนี้หัวใจของเธอนั้น เต้นระรัวดั่งมีคนมาตีกลองสะบัดชัยอยู่ข้างในใจของเธอ แต่เหมือนคำขู่นั้นจะไร้ความหมาย ไม่ได้ทำให้คนตรงหน้ากลัวแต่อย่างใด ตรงกันข้ามยิ่งทำให้พีรพัฒน์หัวเราะร่วนอย่างชอบอกชอบใจ เมื่อเห็นอีกคนยังปากเก่ง เหมือนไม่กลัวอะไร แต่สีหน้าท่าทางที่แสดงออกมา กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
“เหรอ เมื่อกี้ไม่เห็นร้องเลยล่ะ ถ้าจำไม่ผิดเมื้อกี้ตอนที่ฉัน จูบ เธอเอาแต่ยืนนิ่งอย่างเดียวนะ” พีรพัฒน์พูดคำว่าจูบออกมาเน้นๆ
ยิ่งทำให้ภัสสรหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา ไม่รู้ว่าแดงเพราะโกรธหรือแดงเพราะอายกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ หญิงสาวอยากจะมุดดินหนีออกไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
“ไอ้บ้า ไอ้คนฉวยโอกาส ไอ้ปีศาจ นายมันไม่ใช่สุภาพบุรุษ ไอ้ ไอ้” ยกมือชี้หน้าด่าคนตรงหน้าออกมาอย่างเหลืออด เมื่อถูกอีกคนกวนประสาทไม่หยุด ยืนตัวสั่นหน้าแดงก่ำ ด่าจนไม่รู้จะหาคำไหนมาด่าผู้ชายตรงหน้าดี
“ขอบคุณสำหรับคำชมนะครับ คุณหนูลูกศรคนสวย” ยิ่งเห็นอีกคนโกรธ ก็ยิ่งอยากแกล้งเข้าไปใหญ่
“นายกับฉันไม่ได้สนิทกัน อย่ามาเรียกชื่อเล่นฉัน”
“จูบกันขนาดนี้แล้ว ยังเรียกไม่สนิทอีกเหรอ...และถ้าฉันเดาไม่ผิด เป็นจูบแรกใช่มั้ย...แต่หวานดีนะ” พูดพร้อมกับแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากตัวเองช้าๆ อย่างต้องการยั่วโมโห และก็ดูเหมือนจะได้ผล เมื่อคนที่ยืนอยาตรงหน้า ตัวสั่นกำมือแน่นด้วยความโกรธ
“ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต ฉันเกลียดนาย ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ไอ้ทุเรศ ไอ้ๆๆ.... อยากจอดนักใช่มั้ย จอดไปเลยฉันไม่จอดแล้ว เพราะฉันจะกลับไปทำบุญกรวดน้ำ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้นาย นายจะได้ไปที่ชอบๆ ฉันกับนายจะได้ไม่ต้องมาเจอกันอีก ไอ้ผู้ชายฉวยโอกาส” พูดจบก็สะบัดหน้า เดินเท่าเปล่ากลับไปที่รถของตัวเองด้วยอารมณ์โมโห โกรธและเริ่มจะเกลียดขี้หน้าผู้ชายคนนี้เข้าให้แล้ว
“เดี๋ยว” ร่างบางหยุดชะงักลงทันที หันกลับมามองหน้าคนที่เรียกไว้อย่างเอาเรื่อง สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ร่างสูงเดินช้าๆ เข้ามาหาร่างบาง ที่ยืนมองชายหนุ่มตาเขียวปั๊ด พร้อมกับยื่นโทรศัพท์เครื่องหรูไปตรงหน้า
“โทรศัพท์ของเธอ” มือบางรีบเปิดดูกระเป๋าสะพายของตัวเอง เพื่อย้ำให้แน่ใจว่านั่นใช่โทรศัพท์ของเธอจริงๆ แต่สิ่งที่พบก็คือความว่างเปล่า
“นายเอาไปได้ยังไง” เอ่ยถามออกไปด้วยความงุนงง ปนสงสัยระดับสิบ ก็เธอจำได้ว่าเอาโทรศัพท์ใส่ไว้ในกระเป๋านี่น่า แล้วมันไปอยู่กับไอ้ผู้ชายบ้านี้ได้ยังไง
“ก็เธอเอาแต่ยืนเคลิ้มกับรสจูบดีเลิศของฉัน จนไม่รู้สึกตัวว่าฉันเอามาน่ะสิ”
“จูบห่วยแตกล่ะสิไม่ว่า” พูดพร้อมกับคว้าโทรศัพท์มาจากมือหนาอย่างฉุนเฉียว
“ปากดีแบบนี้เอาอีกสักรอบมั้ย”
“ไอ้บ้า! หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ชี้หน้าด่าพร้อมกับถอยหลังหนี กลัวว่าเขาจะทำอย่างที่พูดจริงๆ
ผู้ชายคนนี้ไว้ใจไม่ได้เลยจริงๆ จ้องแต่จะหาเศษหาเลยเอาเปรียบผู้หญิง ไม่รู้ว่าผู้หญิงของนายนี่คิดอะไร ถึงได้พากันวิ่งเข้าใส่ ยอมเป็นคู่ควงคู่นอนให้ผู้ชายแบบนี้ได้
“เชิญ” พีรพัฒน์ผายมือออกไปด้านหน้าพร้อมกับยักไหล่อย่างกวนๆ ภัสสรฟึดฟัดสะบัดหน้าเดินไปที่รถ
“เดี๋ยว” ครั้งที่สองแล้วนะที่ต้องหยุด คราวนี้เอาอะไรของเธอไปอีกล่ะ ถอนหายใจออกมาดังๆ ก่อนจะหันกลับมา
“มีอะระ อืออ” เสียงขาดหายไปทันที เมื่อหันกลับมาก็เจอกับริมฝีปากหนาประกบลงมาอย่างรวดเร็ว แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีการรุกล้ำใดๆ
พีรพัฒน์กดจูบหนักๆ ลงไปหนึ่งที เพื่อเป็นการทำโทษที่มากล่าวหาว่าจูบของเขาห่วยแตก ก่อนจะถอนริมฝีปากออก พร้อมกับยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะอีกครั้ง ภัสสรได้เม้มปากตัวเองแน่น มองผู้ชายตรงหน้าตาขวาง
“ขับรถดีๆ นะครับคุณหนูลูกศร” พูดจบก็หันหลังเดินผิวปากกลับไปที่รถของตัวเอง ที่จอดอยู่ข้างๆ อย่างอารมณ์ดี
“ไอ้ ไอ้ ไอ้บ้า ไอ้ผู้ชายฉวยโอกาส ไอ้คนโรคจิต ชาตินี้อย่าหวังว่าฉันจะญาติดีกับนายเลย” ร่างสูงหยุดชะงัก หันกลับมามองหญิงสาวนิ่ง ก่อนจะพูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เดี๋ยวก็รู้ ว่าชาตินี้เราจะญาติดีกันหรือเปล่า เตรียมรับมือกับฉันดีๆ ล่ะ” พูดจบก็เดินกลับไปที่รถตามเดิม โดยไม่หันมามองคนที่ยืนขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ อยู่ด้านหลังเลยสักนิด