บทที่ 7
ช่วงค่ำคืนที่หนาวเหน็บดั่งน้ำ พระจันทร์สว่างและดวงดาวบาง
ลู่ฝานนั่งอยู่ในลานบ้านเล็กๆ หายใจเข้าและออก ค่อยๆ ไล่อากาศที่ขุ่นในร่างกายของเขาออกมา
เขากำลังเตรียมตัวที่จะกินยารวมพลัง และเขามีเพียงยาเม็ดล้ำค่าเช่นนี้แค่เม็ดเดียว ดังนั้นเขาจึงต้องดึงเอาผลลัพธ์สูงสุดของยาเม็ดนี้ออกมาให้ได้
หลังจากที่ทุกอย่างถูกปรับจนถึงระดับสูงสุดแล้ว ลู่ฝานก็หยิบยารวมพลังออกมาแล้วกินลงไป
เม็ดยาละลายทันทีเมื่อเข้าไปในปาก และกลายเป็นสายน้ำใสไหลเข้าสู่ร่างกาย
ในวินาทีต่อมา ลู่ฝานก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาราวกับกำลังถูกมดกัดกิน และความเจ็บปวดก็ลามไปที่แขนขาจนทั้งทั่วร่างกายของเขา
ลู่ฝานไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องปกติหรือเปล่า แต่ความเจ็บปวดที่รุนแรงกว่านี้เขาก็เคยอดทนมาแล้ว ดังนั้นความเจ็บปวดแค่นี้ จึงไม่ถือเป็นอะไรเลย
หลังจากนั้นไม่นาน คลื่นความร้อนก็พุ่งผ่านร่างกายของเขา
เริ่มต้นจากจุดตันเถียนของเขา พลังอันอบอุ่นแผ่ซ่านไม่หยุด ลู่ฝานรู้สึกว่าเขาเหมือนได้ดื่มเหล้าของลุงเฒ่าหวู เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่ในทันที ลู่ฝานก็รวบรวมสติของเขาในทันที
นี่ไม่ใช่เวลามาเบี่ยงเบียงความสนใจ และสัมผัสถึงคลื่นความร้อนที่ไหลผ่านเส้นลมปราณ ค่อยๆ อ่อนกำลังลงทีละน้อย
ด้วยคลื่นความร้อนที่ไหลเวียน ลู่ฝานก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของตัวเองแข็งแรงขึ้นมาแล้ว
ความเจ็บปวดหายไป แทนที่ด้วยร่างกายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเรี่ยวแรง
ร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรง เส้นลมปราณที่เหนียวแน่น และอวัยวะภายในที่แข็งแรง
ในเวลานี้ลู่ฝานได้เข้าสู่สภาวะการมองเห็นภายในไปแล้ว เขาได้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตัวเอง และเห็นกับตาเองว่าร่างกายของเขาที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ลู่ฝานตกใจมาก หากนี่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากยาเม็ดเม็ดเดียว งั้นผลลัพธ์ของยาเม็ดนั้นก็ค่อนข้างเหลือเชื่อเกินไปหน่อย
ลู่ฝานยังคงจำฉากที่เขาเข้าสู่สภาวะการมองเห็นภายในมองดูร่างกายของตัวเองเมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งแตกต่างไปจากนี้อย่างสิ้นเชิง
คลื่นความร้อนค่อยๆ สงบลง และหายไปอย่างไร้ร่องรอยในที่สุด
ลู่ฝานรู้ว่า นี่เป็นสัญญาณว่าพลังแห่งยาถูกดูดซับ ก่อนหน้านี้ที่กินยาสมุนไพร ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน
หายใจออกช้าๆ ลู่ฝานขยับร่างกายของเขา และดวงตาของเขาก็มีแสงสว่างขึ้นมา
แต่เดิมร่างกายที่ผอมบางและอ่อนแอของเขา ดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นมากในเวลานี้ และร่างกายของเขาก็ดูมีสุขภาพดีขึ้นมาก
ความแข็งแกร่งของร่างกายเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบเท่าตัว และเรี่ยวแรงนั้นยังไม่รู้ว่าเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าไหร่ แต่ต้องมากกว่าสองเท่าตัวแน่นอน
ลู่ฝานยืนขึ้น นั่งยองๆ และชกต่อยเข้าที่หินฝึกซ้อมอย่างหนัก
ด้วยเสียงลมพัด หมัดของเขากระแทกใส่หินฝึกซ้อม เสียงแตกที่คมชัดดังขึ้นมา เศษหินก็กระเด็นออกมา และลู่ฝานก็ชกหินฝึกซ้อมเป็นรูปหมัดลึก และรูปแบบที่แตกก็ขยายออกไป
เมื่อมองหมัดของเขาด้วยรอยยิ้ม ความแข็งแกร่งของเขาได้มีอัพเกรดขึ้นอย่างมากแล้วจริงๆ
เมื่อเปรียบเทียบรอยหมัดที่ชกต่อยในระหว่างวันอย่างระมัดระวังกับเครื่องหมายหมัดนี้ ลู่ฝานรู้สึกว่าพละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว แต่เขาไม่รู้เลยว่า ตัวเองอยู่ที่แดนฝึกร่างชั้นสี่หรือชั้นห้าแล้ว
ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะเร่ร่อนอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน
หลังจากเวลาผ่านไปนาน เสียงหัวเราะก็จางหายไป ลู่ฝานตัดสินใจที่จะทดสอบความแข็งแกร่งของตัวเอง และอีกอย่าง เขาก็ต้องการทักษะวิชาบู๊ย่างเป็นทางการแล้วอีกด้วย
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ฝึกวิชาบู๊จำเป็นต้องมีทักษะวิชาบู๊ เมื่อการฝึกฝนแดนฝึกร่างชั้นสี่ เพราะยังไงมีเพียงแค่แรงอย่างเดียว โดยไม่มีทักษะวิชาบู๊เลย ก็จะเป็นได้แค่คนบ้ากำลังที่มีแรงเปล่าๆ เท่านั้น
ในฐานะที่เป็นตระกูลแห่งวิชาบู๊ ตระกูลลู่มีเรือนเก็บหนังสือขนาดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยทักษะวิชาบู๊ต่างๆ ตราบใดที่เป็นลูกศิษย์ของตระกูลลู่ก็จะสามารถเข้าไปอ่านได้
แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นทักษะวิชาบู๊ระดับต่ำ แต่ก็มีทักษะวิชาบู๊ระดับคนที่ดีกว่าอยู่ไม่กี่แบบ และทักษะวิชาบู๊ระดับทิพย์ที่เหนือกว่าทักษะวิชาบู๊ระดับคนนั้นก็แค่เคยได้ยินแต่ทักษะเฉพาะตัวของตระกูลลู่นั่นก็คือวิชากายทองไฟอาบ แต่สำหรับคนอย่างลู่ฝานที่ไม่ได้รับการฝึกฝนสูง และยังไม่ได้พัฒนาไปถึงพลังปราณ ทักษะวิชาบู๊ระดับคนที่ต่ำที่สุดก็เพียงพอแล้ว
เดินไปที่เรือนเก็บหนังสือ เดินผ่านสวนหลังบ้านของตระกูลลู่ เดินตามเส้นทางสวน คดเคี้ยวไปข้างหน้า ลู่ฝานมาถึงที่ด้านนอกเรือนเก็บหนังสือ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว และนอกจากจะเห็นยามสองสามคนระหว่างทางแล้ว และก็ไม่เห็นคนที่รู้จักเลยแม้แต่คนเดียว
ที่ประตูเรือนเก็บหนังสือ มีหินศิลาดำก้อนหนึ่งซึ่งสูงเท่ากับคนคนหนึ่ง
จุดประสงค์อย่างหนึ่งของลู่ฝานที่มาที่นี่ ก็คือการทดสอบความแข็งแกร่งของตัวเขาเอง และสิ่งที่แม่นยำที่สุดในการประเมินระดับการฝึกฝนคือหินศิลาดำที่ถูกดัดแปลงโดยขุมพลังแห่งวิชาบู๊
ลู่ฝานเดินไปตรงหน้าหินศิลาดำ กลั้นลมหายใจแล้วตั้งจิต แล้วก็ชกต่อยออกหมัดด้วยความแรงอย่างกะทันหัน
หมัดกระแทกอยู่บนหินศิลาดำ และหินศิลาดำก็ส่องแสงเป็นชั้นๆ ในเวลาต่อมา
"แดนฝึกร่างชั้นห้า ระดับกลาง"
เมื่อเห็นตัวหนังสือตัวใหญ่ของคำว่าแดนฝึกร่างชั้นห้า ลู่ฝานก็ชกหมัดด้วยความตื่นเต้นขึ้นมาทันที
อัพเกรดขึ้นสองระดับติดต่อกันในหนึ่งวัน ความก้าวหน้าแบบนี้ ขัดกับฟ้าดินเลยทีเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวที่จะทำให้คนอื่นตื่น ลู่ฝานคงอยากจะกรีดร้องบนท้องฟ้าในเวลานี้
หลังจากสงบสติอารมณ์ ลู่ฝานก็ผลักประตูเรือนเก็บหนังสือออก
เมื่อชำเลืองมอง ลู่ฝานเห็นก็ชายชรานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ประตู และลู่ฝานก็เรียกอย่างสุภาพว่า "ท่านสวิน"
ชายชราคนนี้ เป็นผู้ดูแลเรือนเก็บหนังสือของตระกูลลู่ ลู่ฝานก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงปล่อยให้ชายชราอย่างท่านสวินที่เดินแทบไม่ไหวแล้วมาเฝ้าเรือนเก็บหนังสือ
ท่านสวินเงยหน้าขึ้นมองลู่ฝาน และพูดว่า "มาหาทักษะวิชาบู๊งั้นเหรอ? ลู่ฝาน นายเป็นแดนฝึกร่างชั้นสี่แล้วงั้นหรือ?"
ลู่ฝานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ท่านสวินสามารถเรียกชื่อของเขาออกมาได้ เพราะยังไงเขาก็ไม่ได้มาที่เรือนเก็บหนังสือมานานหลายปีแล้ว ครั้งสุดท้ายที่มา ก็ได้แต่มองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว และพบว่าเขาไม่มีโอกาสได้ฝึกทักษะวิชาบู๊เหล่านี้เลย ก็เลยจากไปด้วยความผิดหวัง