บทที่ 5 (2)
นาราเกิดอาการขนลุกซู่ทั่วตัวกับคำตอบสั้นๆ ทว่ากลับทำให้เธอหวาดกลัวได้จับใจ
“คะ...คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร...”
หญิงสาวเอ่ยถามเสียงตะกุกตะกัก ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เริ่มนั่งไม่ติดเบาะรถ มือเล็กเย็นเฉียบกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ในยามนี้
“ก็หมายความตามที่ตอบออกไป ผมกำลังจะพาคุณไปลงนรก”
ภาวินเค้นตอบเสียงห้วน ไม่มีน้ำคำอบอุ่นที่เอ่ยปลอบประโลมเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
นาราหวาดกลัวกับดวงตาคมกริบ ที่หันมาจ้องมองเธอเขม็งราวกับจะกินเลือดก็ไม่ปาน จนต้องขยับกายเข้าไปนั่งชิดกับประตูรถยนต์
“คุณ...กำลังล้อเล่นกับฉันใช่ไหมคะ”
“ใครล้อเล่นกับคุณ...นารา...” ภาวินย้อนถามเสียงสูง “ผมกำลังทำจริงๆ ผมจะพาคุณไปลงนรก ชดใช้ที่คุณทำให้ผู้หญิงดีๆ คนหนึ่งต้องตาย!”
“คุณพูดถึงใคร หมายถึงใคร ฉันไม่เคยฆ่าใครตายทั้งนั้น”
แม้หวาดกลัวมากเพียงใด นาราก็แก้ต่างเพื่อมอบความบริสุทธิ์ให้กับตนเอง
“ชีวิตของแม่ลูกคู่หนึ่ง ไม่อยู่ในสายตาของคุณ...คุณถึงแย่งผัวไปจากเมีย พรากพ่อไปจากลูก กระทั่งเธอเจ็บปวดทนไม่ได้ต้องลาโลกด้วยวิธีการอันโง่เขลาคือการฆ่าตัวตาย”
น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกเต็มไปด้วยความคลั่งแค้น ทำเอานาราเกิดอาการหายใจติดขัด จำได้ในทันทีว่าเคยเห็นภาวินจากที่ไหน จึงหลุดเสียงออกมาได้อย่างยากลำบาก
“คุณ...คุณคือผู้ชายที่เคาะโลงศพคุยกับคุณรสิตา คุณคือพี่ชายของคุณรสิตา”
“พูดเหมือนมองเห็นกับตา”
ภาวินยิ้มเยาะหยันทั้งสีหน้าและแววตาขณะเค้นเสียงถากถางต่อ
“คุณกำลังจะบอกผมว่า ผู้หญิงแพศยาอย่างคุณ มีความหน้าด้านถ่อสังขารไปงานศพของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ฆ่าตัวตายเพราะถูกคุณแย่งผัวไปงั้นหรือ”
“ใช่ ฉันไปงานศพของคุณรสิตา วันเผา...ฉันก็ไปด้วย”
“เพื่ออะไร?”
นาราสะดุ้งเฮือกกับเสียงตวาดถามดังลั่นรถ แต่ไม่ทันได้หาคำตอบให้กับภาวิน ก็ต้องสะดุ้งตกใจกับน้ำเสียงที่ตวาดถามดังลั่นอีกครั้ง
“ผมถามว่าเพื่ออะไรกัน? คุณไปงานศพของรสิตาเพื่ออะไร เพื่อไปเยาะเย้ย เพื่อไปสมน้ำหน้าผู้หญิงหน้าโง่คนหนึ่งใช่ไหม”
“ไม่! ไม่ใช่”
แม้หวาดกลัวภาวินมากเพียงใด แต่นาราก็แผดเสียงปฏิเสธเสียงดังไม่แพ้กัน
“แล้วเพื่ออะไร”
น้ำเสียงที่เค้นถามห้วนจัดไม่แพ้ใบหน้าคมเข้มอันถมึงทึง ดวงตาทั้งคู่แข็งกร้าวราวกับจะฆ่านาราให้ตายด้วยดวงตาคู่นี้ และไม่ใช่แค่เพียงเค้นถามเท่านั้น ภาวินขับรถชิดขอบข้างทางถนน คว้าร่างบางมาเขย่าด้วยความโกรธจัดจนหัวสั่นคลอน
เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ภาวินก็ยัดเหยียดความผิดให้กับนาราตามที่เขามั่นใจว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น
“ใช่! คุณต้องการไปสมน้ำหน้าผู้หญิงโง่ๆ ที่บูชาความรักด้วยความตายอย่างรสิตา”
นารานิ่วหน้าเพราะเจ็บแปลบทั่วบริเวณต้นแขนทั้งสองด้าน ซึ่งถูกฝ่ามือใหญ่บีบไว้แน่น แถมยังเวียนหัว ปวดหัวกับการถูกจับเขย่าเต็มแรงจากอีกฝ่าย
“ฉัน...ไม่ได้ทำเหมือนที่คุณพูด แต่ฉันไปเพื่อขอให้คุณรสิตาอโหสิกรรมให้กับฉัน”
“อโหสิกรรม?” ภาวินถามเสียงสูง “อโหสิกรรมที่คุณแย่งไอ้พระเอกคนนั้นไปเป็นผัว อโหสิกรรมที่คุณแย่งพ่อไปจากลูกในท้องของรสิตายังงั้นหรือ”
“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับทินภัทร ฉันถอนหมั้นกับเขาในทันทีที่รู้เรื่องของคุณรสิตา”
นาราแก้ต่างให้กับตนเอง แต่ก็ไม่คิดว่าภาวินจะเชื่อในคำพูดของเธอ
“ตอแหล!” ภาวินเค้นเสียงด่า ทำเอานาราสะอึกไม่ต่างจากถูกตบหน้าฉาดใหญ่
“มันคือเรื่องจริง ฉันถอนหมั้นกับทินภัทรแล้ว”
“ถึงคุณจะถอนหมั้นแล้ว แต่มันไม่ได้ทำให้ความผิดของคุณจางหายไป คุณและไอ้ทินภัทรเป็นต้นเหตุให้รสิตาต้องตาย และพวกคุณต้องชดใช้ในสิ่งที่ได้ทำไว้”
ภาวินโยนโทรศัพท์มือถือไปบนหน้าตักของเชลย พร้อมกับตะคอกสั่งเสียงห้วน
“โทร.ไปบอกพ่อของคุณ ว่าคุณจะไปเที่ยวต่างจังหวัดสักสี่ห้าเดือน”
“ไม่! ฉันไม่ทำตามที่คุณสั่งเด็ดขาด” นาราปฏิเสธเสียงแข็ง คว้าโทรศัพท์มาถือไว้ แล้วโยนกลับคืนให้ผู้เป็นเจ้าของในทันที
“เดี๋ยวนี้! นารา...โทร.ไปบอกพ่อของคุณเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อยากให้พ่อของคุณต้องตาย!”
“อะ...อะไรนะ” นาราหน้าซีดกับประโยคท้ายของอีกฝ่าย ระล่ำระลักเอ่ยถาม “คุณ...คุณ...หมายความว่ายังไง คุณจะทำอะไรพ่อของฉัน”
ภาวินแสยะยิ้มเหี้ยม เค้นเสียงตอบเย็นยะเยือกให้นาราต้องขนลุกซู่ไปทั้งตัว “ก็ไม่ทำอะไรมาก แค่ส่งคนไปเก็บพ่อของคุณเท่านั้น ถ้าหากคุณไม่ทำตามที่ผมสั่ง”
“ถ้าคุณฆ่าพ่อของฉัน ตำรวจจะลากคอคุณเข้าคุก”
“แล้วใครจะโง่ทิ้งหลักฐานให้สาวถึงตัวได้ล่ะ นารา...”
ยิ่งนาราหน้าซีดเผือดมากเพียงใด ภาวินก็ยิ่งสะใจและขู่หญิงสาวมากเท่านั้น
“โทร.ไปบอกพ่อของคุณเดี๋ยวนี้!”
นาราคว้าโทรศัพท์มาถือไว้ในทันทีที่ถูกภาวินโยนมาบนหน้าตักอีกครั้ง มือเล็กสั่นเทาขณะกดหมายเลขโทรศัพท์ของบิดา แต่ไม่ทันได้กดปุ่มโทรออก ก็ถูกขู่ให้ขนหัวลุกอีกครา
“บอกพ่อของคุณตามที่ผมสั่ง อย่าคิดตุกติก ไม่ยังงั้นคุณเจอดีแน่”
นารากัดเม้มริมฝีปาก กดปุ่มโทร.ออกหลังจากสิ้นเสียงขู่ของภาวินแล้ว พอบิดากดรับสาย ก็เอ่ยบอกรัวเร็วแทบไม่ได้หายใจ
“คุณพ่อคะ เอ่อ...นาราจะไม่อยู่กรุงเทพฯ สักพักนะคะ”
“นาราจะไปไหนลูก แล้วเอาโทรศัพท์ของใครโทร.มา”
อังกูร ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามด้วยความสงสัยที่จู่ๆ ลูกสาวก็โทร.มาบอกเช่นนี้
“นาราจะไปเที่ยวต่างจังหวัด บ้านของเพื่อนที่เจอกันในอเมริกานะคะ คุณพ่อ”
นาราไม่อยากโกหกบิดา แต่ก็จำต้องทำเช่นนั้น เพราะภาวินกำลังจ้องมองเขม็ง
“จะไปวันนี้เลยหรือลูก”
“ใช่ค่ะ คุณพ่อ แค่นี้นะคะ แล้วนาราจะติดต่อหาคุณพ่อค่ะ”
นารากดวางสายในทันที ก่อนจะขว้างโทรศัพท์ใส่ภาวิน หมายเอาให้หน้าผากแตก แต่อีกฝ่ายก็ไวปานปรอทหลบได้อย่างรวดเร็ว
“ทำได้ดีมาก นารา” ภาวินเค้นเสียงเยาะ หลังจากนาราทำตามคำสั่งของเขาทุกอย่าง
“ฉันยอมโกหกคุณพ่อแล้ว คุณต้องปล่อยพ่อของฉันไป”
ภาวินดึงร่างบางให้ถลาเข้ามาใกล้ตนเอง ดวงตาคมกริบจ้องมองอย่างเยาะหยัน
“แน่นอน เพราะตอนนี้ผมได้ตัวคุณอยู่ในกำมือแล้ว คุณจะต้องรับผิดชอบความตายที่เกิดขึ้นกับรสิตา”
“ไม่! คุณจะมาพิพากษาคนไม่ผิด ไม่ได้”
ขณะโต้เถียงนาราก็ดิ้นรนหาอิสระให้กับตัวเอง ทว่าร่างเล็กยังคงถูกฝ่ามือใหญ่จับยึดไว้แน่น
“แต่ผมทำไปแล้ว” ภาวินตอบเสียงห้วนลึกในลำคอ กระตุกยิ้มเย็นกับใบหน้าที่ซีดเผือดทันตาเห็น
“คุณ...คุณจะทำอะไรฉัน”
นาราหลุดเสียงถามออกมาได้อย่างยากลำบาก นึกเสียใจที่ตนเองเชื่อคนง่าย กระทั่งตกเป็นเหยื่อความแค้นของภาวิน
“ทำให้คุณเป็นเหมือนรสิตายังไงล่ะ”
“อย่าน่ะ”
นาราเบิกตาโพลงไม่มีโอกาสโต้เถียงอีกต่อไป เรียวปากสีหวานถูกบดกระแทกจุมพิตจาบจ้วงอย่างต้องการสั่งสอนมากกว่าจะตักตวงความหวานฉ่ำจากเรียวปากคู่นี้
นาราดิ้นขลุกขลักมือเล็กผลักร่างใหญ่ให้ถอยออกห่าง ทว่ากลับไร้ผล ไม่ต่างจากผลัก
หินผาอันหนักอึ้ง แรงกระแทกขยี้จุมพิตอย่างไร้ความปราณี ทำเอาเรียวปากแตกรับรู้ได้ถึงความเค็มของเลือดที่ซึมออกมา
ภาวินไม่สนใจเสียงร้องประท้วงจากนารา พอผละริมฝีปากออกแล้ว ก็คว้าผ้าเช็ดหน้าและยาสลบที่วางไว้ข้างๆ ลำตัว หยดยาสลบลงไปบนผ้าเช็ดหน้าท่ามกลางสายตาเบิกโพลงของนารา
“อย่าน่ะ...อย่าทำอะไรฉัน!”
เสียงร้องห้ามด้วยความหวาดกลัวเงียบหายไป เมื่อภาวินใช้กำลังที่มีมากกว่าจับร่างบางให้อยู่นิ่งๆ ก่อนจะโป๊ะผ้าเช็ดหน้าไปบนจมูกของหญิงสาว กระทั่งนาราหมดสติในที่สุด
ภาวินผลักร่างบางอ่อนระทวยให้พิงพนักเก้าอี้รถยนต์ ดวงตาคมกริบโชนไฟโทสะขณะจ้องมองใบหน้าขาวซีดของคนที่หมดสติไปแล้ว
“เกมการแก้แค้นกำลังเริ่มขึ้นแล้ว นารา! เธอต้องชดใช้ให้กับรสิตา”