บทที่ 1 (1)
หญิงสาวเรือนร่างบอบบางอรชรอ้อนแอ้นก้าวเดินอย่างกระฉับกระเฉงบนรองเท้าส้นสูงขนาดสองนิ้ว สะโพกกลมกลึงส่ายอย่างยั่วยวนเป็นจังหวะตามเท้าเล็กๆ ที่ก้าวเดิน ใบหน้างามอ่อนหวานเชิดขึ้นเล็กน้อยด้วยความมั่นใจ เส้นผมยาวดำขลับถึงกลางหลังถูกมัดรวบตึงไว้ด้วยริบบิ้นสีดำสนิท ริมฝีปากอวบอิ่มสีกุหลาบตามธรรมชาติแย้มยิ้มน้อยๆ ให้เพื่อนร่วมงานที่เดินสวนกันมา
บรรดาหนุ่มๆ ออฟฟิศทั้งที่กำลังเดินผ่านและที่นั่งทำงานอยู่บนโต๊ะแทบจะหลอมละลายไปกับรอยยิ้มหวานพิมพ์ใจที่คลี่ยิ้มบางๆ เปิดให้ใบหน้ารูปไข่ดูสว่างสดใสชวนพิศใคร่หลงใหลยิ่งนัก แต่พวกเขาก็ทำได้แค่เฝ้ามองเท่านั้นเพราะหญิงสาวไม่ยอมให้ความสนิทสนมกับชายใดเกินคำว่าเพื่อนร่วมงาน
ปิณฑิราลอบเป่าลมออกจากปากอย่างโล่งอกเมื่อเดินผ่านดงเสือหิวมาได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ถูกผิวปากหรือเอ่ยแซวเหมือนดังแต่ก่อน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองป้ายไม้สักที่แกะสลักอย่างงดงามว่าท่านประธานก่อนจะยกมือเคาะประตูเบาๆ 2-3 ครั้งให้คนที่อยู่ข้างในรับทราบการมาถึงของเธอ
“เชิญครับ”
เสียงอนุญาตห้าวทุ้มอย่างผู้ใหญ่ใจดีที่ดังออกมากระทบประสาทหูทำให้หญิงสาวเปิดประตูออกกว้างแล้วก้าวเดินอย่างแผ่วเบาไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานใหญ่เพื่อรอรับคำสั่งจากเจ้านาย
“นั่งลงก่อนสิพริ้นซ์”
“ขอบคุณค่ะ”
กรกฏท่านประธานใหญ่ของบริษัทจัดทำสื่อโฆษณาชื่อดังมองลูกน้องสาวลอดผ่านแว่นตาหนาครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบของหญิงสาว
“ไปดูงานที่อเมริกาเป็นไงบ้าง”
ปิณฑิรายิ้มกว้างให้เจ้านาย รู้ว่าที่อีกฝ่ายเอ่ยถามไม่ใช่เป็นห่วงแค่เรื่องงานที่สั่งให้ไปทำ แต่กรกฏรวมถึงความเป็นอยู่การเดินทางขณะที่อาศัยอยู่ที่อเมริกาด้วย กรกฏเป็นเจ้านายที่ดี
เขาให้ความรักเอ็นดูลูกน้องในบริษัทราวกับว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
“ดีมากๆ ค่ะ วิวัฒนาการของประเทศเขาเจริญล้ำก้าวหน้ากว่าเรามาก พริ้นซ์ทำรายงานสรุปให้เจ้านายดูแล้วไม่ทราบว่าเจ้านายได้รับหรือยังคะ”
“อืม...ผมเห็นวางอยู่บนโต๊ะแล้วแต่ยังไม่มีเวลาหยิบมาอ่านสักที มัวแต่วุ่นๆ กับงานชิ้นใหญ่ ชิ้นสำคัญ”
กรกฏเอ่ยตอบพร้อมกับหยิบแฟ้มเอกสารปึกใหญ่ที่วางอยู่ใกล้ๆ มือยื่นให้ลูกน้องสาว
“งานชิ้นใหม่หรือคะท่าน”
หญิงสาวรับแฟ้มเอกสารแล้วเปิดดูผ่านๆ ก่อนจะปิดไว้เหมือนเดิม เพราะถ้าจะให้อ่านรายละเอียดเจาะลึกตอนนี้ก็คงจะไม่ได้ คงต้องเอาไปศึกษาหาข้อมูลที่โต๊ะทำงานของเธออีกที
“ใช่ เป็นงานชิ้นเอกและสำคัญมากถ้าหากเราทำโฆษณาชิ้นนี้ออกมาดี ผมรับรองว่าสิ้นปีนี้พนักงานทุกคนได้โบนัสก้อนโตแน่” ท่านประธานใหญ่เอ่ยบอกยิ้มๆ
“ขนาดนั้นเลยหรือคะท่าน”
ปิณฑิราเลิกคิ้วเอ่ยถามราวกับไม่เชื่อสักเท่าไหร่ เธอหยิบแฟ้มเอกสารมาเปิดดูรายละเอียดงานอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถาม
“เขาจะให้เราทำโฆษณาอะไรให้คะ”
“โฆษณาประเทศ”
กรกฎเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความภาคภูมิใจที่บริษัทของตนเองได้รับความไว้วางใจจากท่านชีคประมุขหนุ่มของประเทศอัสดารานส์ ประเทศที่ร่ำรวยด้วยน้ำมันที่มีค่ายิ่งกว่าอัญมณีชิ้นใดในโลก ให้ทำสื่อโฆษณาประเทศให้
คิ้วดำเข้มโก่งงามดุจคันศรขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย ใบหน้างามหวานจ้องมองเจ้านายพร้อมกับเอ่ยถามให้หายข้อสงสัย
“เขาเพิ่งเปิดประเทศหรือคะถึงได้ให้เราทำโฆษณาให้”
“ก็ไม่เชิงเปิดประเทศเสียทีเดียว เพราะประเทศนี้เขาขึ้นชื่อว่ามีเพชรและทับทิมน้ำงามที่สุดในโลก ถ้าหากต้องการเพชรหรือทับทิบเม็ดเป้งๆ สักเม็ดก็ต้องเดินทางไปที่ประเทศนี้เท่านั้น นอกจากนั้นยังมีสายแร่น้ำมันเกือบทั่วบริเวณของประเทศเรียกว่าขุดมาขายทั้งชาตินี้ก็ไม่มีหมด”
กรกฏเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความนิยมชมชอบประเทศที่อยู่แถบทะเลทรายก่อนจะเอ่ยบอกข้อมูลต่อ
“ท่านชีคริยาชิดห์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ได้สละราชบัลลังก์และสถาปนาให้องค์รัชทายาทขึ้น
ครองบัลลังก์แทน ท่านชีคริยาชิดห์ต้องการจัดพิธีเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่และต้องการประชาสัมพันธ์
ให้ทั่วโลกได้รู้จักกับประเทศอัสดารานส์มากยิ่งขึ้น จึงต้องการให้เราทำโฆษณาให้”
ปิณฑิรามัวแต่เปิดเอกสารพลิกไปพลิกมาจึงไม่ได้ฟังชื่อประเทศที่ร่ำรวยด้วยน้ำมันและอัญมณีล้ำค่าที่เจ้านายได้พูดถึง เมื่อเสียงของเจ้านายหยุดไปเธอก็เงยหน้าขึ้นยิ้มบางๆ พร้อมกับเอ่ยถามด้วยความสงสัยอีกเล็กน้อย
“เจ้านายรับงานนานแล้วหรือคะ พริ้นซ์ไม่เห็นทราบเลยค่ะ”
“ก็ตอนไปเสนองานให้ท่านชีค คุณไปดูงานที่อเมริกาพอดี”
กรกฎเอ่ยตอบยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น จากนั้นก็หยิบแฟ้มเอกสารอีกแฟ้มหนึ่งให้ผู้ช่วยคนเก่งแสนงาม
“แฟ้มนี้เป็นสัญญาที่คุณต้องเอาไปให้ท่านชีคเซ็น ถ้าหากทางฝ่ายโน้นเซ็นสัญญาเรียบร้อยเราก็พร้อมที่จะทำงานได้ทันที”
“งานนี้เป็นงานช้างของบริษัทเลยใช่มั้ยคะท่าน”
หญิงสาวเอ่ยถามยิ้มๆ รับแฟ้มเอกสารมาถือไว้ในอ้อมแขนทั้งสองแฟ้ม
กรกฏยิ้มกว้างให้ลูกน้องสาวที่ทำงานได้ดีเยี่ยมไม่เคยมีขาดตกบกพร่องจากนั้นก็เอ่ยตอบกลั้วหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี
“ยิ่งกว่างานช้างอีกน่ะพริ้นซ์ ถ้าเราทำสำเร็จบริษัทเราก็จะได้รับความไว้วางใจจากท่านชีคและท่านองค์รัชทายาทจากนั้นเราจะได้งานโฆษณาทุกชิ้นที่จะเกิดขึ้นในประเทศของท่านชีค”
“แหม...ท่าทางเจ้านายดีใจมากๆ เลยนะคะ”
หญิงสาวเอ่ยแซวยิ้มๆ เพราะทำงานคลุกคลีกับเจ้านายใหญ่ที่ใจดีอย่างกรกฏมานานเกือบเจ็บปีทำให้เธอสนิทสนมกับท่านอยู่มากจนกล้าเอ่ยแซวได้ในบางครั้ง
“คุณรู้มั้ยพริ้นซ์ ตอนที่ไปเสนองานมีบริษัทโฆษณานับรวมๆ แล้วเกือบร้อยบริษัทที่ไปเสนอผลงานให้ท่านชีคพิจารณาเลือก แต่ละบริษัทมีเงินทุนค่อนข้างหนา มีชื่อเสียงกว่าบริษัทของเราอยู่มาก บอกตามตรงน่ะพริ้นซ์ตอนแรกผมไม่นึกว่าท่านชีคจะหยิบผลงานของเราไปดูด้วยซ้ำ แต่พอเลขาท่านชีคบอกว่าท่านเลือกบริษัทเรา ผมแทบช็อกคาห้องประชุมที่ไปเสนอผลงาน”
กรกฏเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นขณะที่นึกถึงตอนที่ไปเสนองานให้ท่านชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ที่โรงแรมหรูหราใจกลางเมืองกรุงเมื่อช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
ก่อนที่จะเดินทางไปที่โรงแรมเขานึกวาดภาพของท่านชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ไว้ว่าต้องเป็นชีคแก่วัยห้าสิปปีขึ้นไป หนวดเคราเขียวครึ้มขึ้นเต็มใบหน้าและสันคาง โพกผ้าสีขาวหนาเตอะสวมชุดประจำชาติยาวรุ่มราม แต่สิ่งที่เขาวาดภาพไว้กลับผิดเพี้ยนไปหมด
ชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ อายุไม่น่าจะเกิน 35 ปี ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาแบบชาวอาหรับช่างดูบาดตาบาดเจ็บสาวๆ ยิ่งนัก เรือนร่างสูงใหญ่กำยำอยู่ในชุดสูทสากลสีดำสนิทส่งให้ผู้สวมใส่ดูสมาร์ทหล่อเหลายิ่งกว่าเดิม แถมใบหน้าก็สะอาดเกลี้ยงเกลามีแค่รอยเคราเขียวครึ้มขึ้นตามสันคาง ริมฝีปากสีสดแย้มยิ้มน้อยๆ ราวกับราชสีห์หนุ่มที่เตรียมตะครุบเหยื่อ และสิ่งที่ทำให้เขากลัวจนตัวสั่นงันงกพูดผิดพูดถูกขณะที่นำเสนอผลงานก็คือดวงตาสีดำสนิทที่ดูลึกลับราวกับดวงตาพญาเหยี่ยว เป็นดวงตาที่จับความรู้สึกได้ยากที่สุด
“เจ้านาย... คุณกรกฏคะ” ปิณฑิราเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบอยู่ในภวังค์ความคิดเป็นนานจึงเอ่ยเรียกเบาๆ ให้รู้สึกตัว
“ว่าไงพริ้นซ์”
กรกฎเอ่ยถามอย่างงุนงงเพราะมัวแต่นึกถึงท่านชีครูปงามทำให้เขาลืมเรื่องที่กำลังคุยไปเสียสนิท
ปิณฑิราหัวเราะเบาๆ ในลำคอก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านชีคของเจ้านายพักอยู่โรงแรมไหนคะ เดี๋ยวพริ้นซ์จะได้เอาคู่สัญญาไปให้ท่านชีคเซ็น”
“ท่านชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ไม่ได้พำนักอยู่ที่เมืองไทย ท่านชีคอยู่ที่ประเทศของท่าน ประเทศ ‘อัสดารานส์’ ตั้งอยู่ในทวีปตะวันออกกลาง”
“อะ...อะไรนะคะ”
ปิณฑิราได้ยินชื่อของท่านชีคที่หลุดออกมาจากปากของเจ้านายถึงกับตกใจหน้าถอดสีไร้สีเลือดละล่ำละลักเปล่งเสียงถามแผ่วเบาแทบจะไม่พ้นลำคอ มือไม้สั่นเทาจนเผลอปล่อยแฟ้มเอกสารในมือตกลงกระทบพื้นเสียงดังก้องทั่วห้องทำงาน
กรกฏไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรผิดไปถึงทำให้ผู้ช่วยคนเก่งตกใจหน้าซีดได้ถึงเพียงนี้ เขาลุกจากเก้าอี้ใหญ่เดินไปก้มลงเก็บเอกสารทั้งสองแฟ้มมาวางไว้บนโต๊ะทำงานเหมือนเดิมก่อนจะเอ่ยแซวกลั้วหัวเราะ
“เป็นอะไรไปพริ้นซ์ แค่ต้องเดินทางไปประเทศอัสดารานส์ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าตกใจเลย บ้านเมืองเขาไม่ได้ป่าเถื่อนหรอกน่ะ ออกจะเจริญรุ่งเรืองศิวิไลซ์ยิ่งกว่าบ้านเมืองเราเสียด้วยซ้ำไป”
เพราะเข้าใจผิดคิดว่าลูกน้องสาวกลัวการเดินทางไปยังประเทศแถบทะเลทรายเลยทำให้กรกฏรีบเอ่ยไขข้อกังวลของลูกน้อง แต่เขาหารู้ไม่ว่าสิ่งที่ทำให้ปิณฑิรากำลังหวาดกลัวก็คือ ชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ต่างหาก
ปิณฑิราบีบมือตัวเองที่วางอยู่บนตักซึ่งสั่นเทาอย่างระงับไว้ไม่อยู่ ยิ่งได้ยินชื่อชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ยิ่งทำให้หัวใจเต้นสั่นรัวไม่เป็นส่ำกระแสบางอย่างแล่นพล่านจากปลายเท้าเข้าสู่หัวใจ