บทที่13 หนูเอาอยู่
“เจ้าธามหยุด บัดสีบัดเถลิง ขึ้นมาเดี๋ยวนี้” เสียงกิ่งกานต์เอ่ยเรียกทำให้คนอยากจูบออกอาการเสียดายขึ้นมาส่วนเด็กสาวนั้นรีบไว้น้ำไปขึ้นฝั่งเรียบร้อยแล้ว 'ย่านะย่า ให้ไอ้ธามคนนี้ได้จูบเด็กสักนิดก็ไม่ได้'
“นี่แน่ะ รู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวานซะบ้าง มันน่าตีนัก ฉวยโอกาสดีนักเชียว” กิ่งกานต์เอ่ยว่าหลานชายก่อนที่จะใช้ไม้หวายที่ถือมาด้วยฟาดเบาๆแต่เจ็บและแสบพอใช้ได้จนธนกฤตต้องร้องโอ๊ย ฝึกหน่วยทำลายใต้น้ำจู่โจมมาหนักเจอสิ่งที่ทำให้เจ็บเกือบตายมาก็มากคิดว่าคงไม่รู้สึกเจ็บกับอีแค่ไม้หวายย่ากิ่งแต่เขาคิดผิด อย่างอื่นทนได้แต่ไอ้ไม้หวายอันนี้ยอมรับว่ารู้สึกจี๊ดๆแสบๆขึ้นมา
“ไปเลย ลงไปเก็บสายบัวให้ย่า ส่วนเราแม่ลิงทโมนตามย่ามา ขืนปล่อยให้อยู่ใกล้พ่อคนนี้แก้มจะช้ำหมด” กิ่งกานต์เอ่ยบอกหลานชายก่อนที่จะหันมาบอกหลานสะใภ้แล้วเดินขึ้นบ้านไป พิมพ์ลภัสหันมาแลบลิ้นให้คนถูกฟาดด้วยหวายก่อนจะเดินตามขึ้นไป
“เฮ้อ นี่ขนาดทำตัวดีๆย่ายังตีสงสัยต้องเพิ่มความหน้าด้านฉวยโอกาสขึ้นแล้ว อย่าเผลอนะครับย่ากิ่งไม่งั้นแม่ลิงทโมนของย่าถูกฟัดแก้มจนช้ำแน่” ธนกฤตเอ่ยเมื่อร่างของหญิงสองวัยเดินหายไปลับตา เขามันพวกยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ย่าขวางเขาก็จะรอย่าเผลอ ก็เขามันเจ้าเล่ห์อย่างที่ลูกๆเพื่อนว่าจริงๆนั่นแหละ แต่ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่เขาก็หวังแค่กอดแค่หอมแม่เมียม.ปลายพอได้ชื่นใจเท่านั้น เพราะเขายืดมั่นคำสัญญา เมื่อสัญญากับแม่ยายแล้วก็ต้องทำแต่ว่าไอ้เด็กโตนั้นเมื่อไหรน๊า เขาไม่รอให้เรียนจบหรอก อายุเขาก็มาขึ้นเรื่อยๆขืนปล่อยให้เรียนจบเขาได้ถูกทิ้งสิ
“มานั่งใกล้ๆนี่มา” กิ่งกานต์เอ่ยบอกพิมพ์ลภัสที่นั่งพับเพียบอยู่เกือบสามเมตรหลังจากกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกโชก
“จะกลัวอะไรนักหนา ย่าไม่กัดเราหรอกแม่ลิงทโมน” อดีตครูสอนมารยาทไทยเอ่ยบอกพร้อมแอบขำอย่างสำรวม พิมพ์ลภัสทำหน้าลังเลก่อนที่จะคลานเข้าไปนั่งใกล้ๆ
“ต่อไปนี่เสาร์อาทิตย์มาเรียนมารยาทกับย่านะ ย่ารู้ว่าเรายังเด็กแต่เจ้าธามน่ะเป็นถึงผู้การมีหน้ามีตา เราจะทำตัวเป็นลิงทโมนให้ขายหน้าคนอื่นไม่ได้มันจะเสียไปถึงปู่ย่าเรา เผลอๆขายขี้หน้าไปถึงพิมลทวดเราเลยนะ” กิ่งกานต์เอ่ยบอก เด็กสาวได้แต่กระพริบตาปริบๆ
“เจ้าธามเป็นคนเงียบๆ พูดไม่ค่อยเก่ง ไม่สิไม่ชอบพูดคุยพบปะกับผู้คนเท่าไหร่ รู้มั้ยว่าเราน่ะเป็นคนแรกเลยนะที่พ่อคนนั้นเขาพูดคุยด้วยทั้งที่เพิ่งเจอกัน แถมยังทั้งยิ้มทั้งหัวเราะอีก เจ้าเพลิงโทรมาเล่าให้ฟังว่าวันแรกเราทำให้พ่อคนนั้นโมโห รู้มั้ยเขาไม่เคยโมโหใครด้วยเรื่องเล็กๆแบบนั้นเลย” พิมพ์ลภัสที่นั่งทำตาปริบๆถึงกับงงเมื่อจู่ๆกิ่งกานต์ก็เอ่ยขึ้น
“แถมยังไม่เคยไปทะเลาะกับเด็กเลยสักนิด เขาบอกมันไร้สาระ เรารู้มั้ยว่าเพราะอะไรเจ้าธามถึงทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำตั้งแต่เจอเรา” ผู้ชรากว่าเอ่ยถาม
“เอียงหูมาสิ เดี๋ยวย่าจะบอกให้แต่อย่าไปบอกพ่อคนนั้นเชียว” ย่ากิ่งเอ่ย ทำให้เด็กสาวรีบเอียงหูไปฟังก่อนที่จะทำตาโต “ธามน่ะชอบเรา”
“ไม่เชื่อล่ะสิ ไม่เป็นไรเดี๋ยวอยู่กันไปเรื่อยๆมันจะชัดเจนขึ้นเอง แต่กว่าจะถึงวันนั้นอย่าไปใจอ่อนยอมให้ทำรุ่มร่ามเชียว” กิ่วกานต์เอ่ยบอกก่อนที่จะพูดต่อ “เห็นนิ่งๆอย่างนั้นน่ะ เจ้าเล่ห์แสนกลเชียวล่ะ เกิดเผลอคล้อยตามไปใจแตกขึ้นมาจะหาทางกลับไม่เจอ ถึงจะเป็นสุภาพบุรุษแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นพระอิฐพระปูนระวังๆไว้บ้าง รักษาเนื้อรักษาตัวไว้อย่าปล่อยให้พ่อคนนั้นแตะต้องได้ง่ายๆเชียว”
“หนูไม่ได้ใจง่ายนะย่ากิ่ง ไม่ต้องเตือนหรอกหนูเอาอยู่” พิมพ์ลภัสเอ่ยบอกก่อนที่จะถูกฝ่ามือฟาดลงที่แขน
“เวลาพูดกับผู้หลักผู้ใหญ่ต้องมีหางเสียง” คนเคยสอนมารยาทไทยเอ่ยบอก
“ค่ะ หนูจะจดจำใส่ใจค่ะ แต่ที่หนูพูดหนูพูดจริงนะคะ หนูเอาอยู่” เด็กสาวเอ่ยบอกพรางเอามืออีกข้างขึ้นลูบไปลูบมาให้หายเจ็บ 'เรื่องหางเสียงนี่เหมือนกันทั้งย่าทั้งหลาน พิธีรีตองกันจัง '
“หนูเอาอยู่ แต่ที่เห็นเมื่อกี้นี่ถ้าย่าไม่เข้าไปขวางไม่โดนลากลงไปกินในน้ำรึ” กิ่งกานต์เอ่ย พิมพ์ลภัสใบหน้าแดงก่อนที่จะแสร้งหัวเราะ “555 ย่ากิ่งคะ อีตัวที่ลากลงไปกินในน้ำมันไม่ใช่คนน๊า “
“ย่ะแม่คุณ ย่าแค่เปรียบเทียบ ถ้าขืนย่าไม่ไปเห็นเรานะโดนจูบปากเจ่อไปแล้ว ยิ่งอ่อนเดียงสาพ่อคนนั้นน่ะชักจูงให้คล้อยตามไม่อยากหรอก” ย่ากิ่งยังเตือนอย่างหวังดีทำให้คนที่หัวเราะอยู่หุบปากฉับ
“เราน่ะยังเด็ก ยังไม่เคยผ่านเรื่องรักๆใคร่ๆมาก่อนจะไปทันพ่อคนนั้นได้ยังไง “ คนเป็นย่าของพ่อคนนั้นเอ่ย
“ย่ากิ่งพูดแบบนี้ สื่ออะไรคะ” พิมพ์ลภัสเอ่ยถาม
“แสนรู้” ย่ากิ่งของพิมพ์ลภัสเอ่ยทำให้หลานสะใภ้ทำปากยื่นอย่างน่ารักได้ข่าวว่าแสนรู้ใช่กับสัตว์เลี้ยงนะ
“ย่าอยากให้เราระมัดระวังตัว เคยได้ยินไหมว่า ของบางอย่างยิ่งได้ยากยิ่งมีค่า เลือกเอานะจะเป็นของไร้ค่าได้มาง่ายๆ หรือจะเป็นของล้ำค่าที่กว่าจะได้มาเลือดตาแทบกระเด็น ของที่ได้มายากมักจะมีค่ามีความหมายกับผู้ได้มา” กิ่งกานต์เอ่ยบอก เด็กสาวนั่งคิดตามอย่างเข้าใจ
“ก็เมื่อกี้ย่ากิ่งว่าหนูไม่ทันพี่เค๊าหรอก แล้วจะไปรอดเหรอคะ” เด็กสาวเอ่ยถามอย่างสงสัย หญิงชราจึงเอ่ยบอก”ย่าไม่ได้แค่เตือนซะหน่อย มีวิธีจัดการพ่อคนนั้นมาบอกด้วย”
“วิธีจัดการยังไงคะ” พิมพ์ลภัสทำหน้าทำตาสงสัยจนหญิงชรานึกเอ็นดู
“หลานย่าคนนี้ ออกจะเจ้าเล่ห์ร้ายเงียบภายใต้หน้านิ่งๆนั้นมีความร้ายกาจแฝงไว้ จะจัดการให้อยู่หมัดก็ต้องร้ายกว่า ย่าคุยกับแม่เราแล้วเห็นว่ามีสัญญงสัญญากัน พ่อคนนั้นคงไม่คิดจะล่วงเกินเราตอนนี้หรอกแค่กอดหอมเท่านั้น แต่นั้นแหละคือสิ่งที่เราต้องอย่ายอม ไม่ยอมซะอย่างตาคนนั้นก็ทำอะไรไม่ได้สุดท้ายก็จะยอมเราทุกอย่าง” กิ่งกานต์เอ่ยบอกก่อนที่จะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก
“ว่าแต่หลานร้ายเงียบ เจ้าเล่ห์แสนกล ย่ากิ่งเองก็ใช่ย่อย นี่กะจะทำให้พี่ธามยอมศิโรราบแทบเท้าหนูเลยรึไง” เด็กสาวเอ่ยบอกก่อนจะหัวเราะ
“หึ ถ้ารู้จักมีลูกล่อลูกชนพ่อคนนั้นจะไปไหนเสีย อยากได้อะไรประเคนมาให้เลยแหละต่อให้เราไม่เอาอะไรไปแลก” อดีตครูสอนมารยาทไทยเอ่ยบอก
“โอ๊ย!!! หนูว่าหนูไม่ใจแตกเพราะพี่ธามหรอก จะใจแตกเพราะแต่ละอย่างที่ย่ากิ่งสอนนี่แหละ “ เด็กสาวเอ่ยบอกอย่างขำขัน
“เกิดเป็นหญิงเด็กๆก็พึ่งพิงพ่อแม่ พอออกเรือนก็ต้องพึ่งพิงสามี ถ้าไม่วางมนต์เสน่ห์ไว้ให้รักให้หลงหัวปักหัวปำได้แอบไปมีเมียน้อยสิ เรานะยอมรึยิ่งมีนิสัยหวงของอยู่นิ” อดีตครูสอนมารยาทไทยเอ่ยบอก เด็กสาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“แล้วหนูต้องทำไงค่ะ หนูไม่ยอมหรอก” เด็กสาวว่า
“อยากรู้ก็ขอพ่อคนนั้นอยู่ฉลองปีใหม่ที่นี่สิอีกสักสี่ห้าวันสิ ย่าจะสอนให้ “ หญิงชราเอ่ยบอก
“จริงสิพรุ่งนี้ก็30แล้ว ว่าแต่มันได้ผลจริงอ่ะ เอ้ย จริงเหรอคะ” เด็กสาวเอ่ย
“เห็นตาแก่ธานินทร์มั้ยล่ะ ขนาดย่าตีเรากับพ่อหลานรักยังไม่กล้าจะห้าม” คนเป็นย่าเอ่ยบอก พิมพ์ลภัสถึงกับหลุดขำออกมา
“แสดงว่าย่ากิ่งใช้กับปู่ธารมาแล้ว ได้ผลเกินร้อยใช่มั้ยค่ะ” เด็กสาวยังเอ่ยถาม กิ่งกานต์ได้แต่พยักหน้า พิมพ์ลภัสหัวเราะก่อนที่จะนึกไปถึงถ้อยคำที่หญิงชรากระซิบบอก เธอเชื่อย่ากิ่ง เวลาจะทำให้สิ่งที่ย่ากิ่งพูดปรากฏชัดเจนเอง ว่าจริงหรือไม่
