บท
ตั้งค่า

๑.๑ ละอองฝนริมทาง

ละอองฝนริมทาง

หยาดพิรุณเม็ดใสๆ โปรยปรายลงมากระทบหลังคาโรงนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงบ่าย หน้าต่างบานเล็กถูกเปิดทิ้งไว้เพราะคนเปิดเจตนาให้ไอละอองเย็นชุ่มของสายฝนสาดกระเซ็นเข้ามาข้างใน สาวน้อยรูปร่างบอบบางวัยย่างยี่สิบกำลังยืนกอดอกอยู่ข้างๆ หน้าต่างบานนั้นโดยไม่ได้อนาทรต่อความเปียกชื้นของเสื้อผ้าแต่อย่างใด ริมฝีปากอิ่มเต็มรูปกระจับสีชมพูระเรื่อคลี่ยิ้มน้อยๆ ดวงตากลมโตซึ่งประดับด้วยแพขนตางอนยาวเพ่งมองหยดน้ำใสๆ และปล่อยตัวปล่อยใจให้ดื่มด่ำไปกับม่านฝนที่พร่างพรมลงมาไม่ขาดสาย

‘ละอองฝน’ ชื่นชอบไอเย็นๆ ของสายฝนมาตั้งแต่เด็กๆ อาจเป็นเพราะเธอเกิดเดือนมิถุนายนในวันที่ฝนตกปรอยๆ ตลอดทั้งวันทั้งคืนกระมัง

และแล้วเวลาอันแสนสุขนั้นก็มีอันต้องจบลง พร้อมๆ กับที่พิรุณเม็ดสุดท้ายหลั่งรินลงมา ท้องฟ้าซึ่งมืดครึ้มอยู่เมื่อครู่ใหญ่ๆ ก่อนหน้านี้เริ่มเปิดโล่งพร้อมกับปรากฏรุ้งกินน้ำทอดตัวโค้งยาวพาดผ่านเหนือทุ่งกว้าง สาวน้อยรู้ตัวว่าได้เวลาที่เธอจะต้องออกจากโรงนาแสนสวยและเงียบสงบหลังนั้นแล้ว

ละอองฝนจึงรีบจูงม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ที่แอบขโมยออกมาขี่เล่น ซึ่งตอนที่ฝนเริ่มตกเธอผูกมันไว้กับเสาโรงนาไปส่งคืนที่คอกม้า เพื่อจะได้กลับไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ให้ทันก่อนเวลาพลบค่ำ ด้วยรู้ตัวดีว่าหากกลับช้าคงถูกคนที่เป็นผู้ปกครองดุเอาเป็นแน่

หลังจากส่งม้าถึงคอกแล้ว เท้าเล็กๆ ก็ก้าวฉับๆ ในลักษณะเดินแกมวิ่งลัดเลาะผ่านเนินหญ้าเพื่อไปให้ถึงคฤหาสน์โดยเร็วที่สุด แต่พื้นหญ้าที่เปียกชื้นจากการถูกสายฝนพร่างพรมใส่เมื่อครู่ใหญ่ๆ ที่ผ่านมานั้นก็เป็นอุปสรรคพอสมควร

รองเท้าแตะแบบคีบเปียกชุ่มเพราะถูกน้ำจากยอดหญ้ากระเด็นใส่ ทำให้การเคลื่อนไหวแต่ละย่างก้าวเป็นไปอย่างยากลำบากยิ่งกว่าเดิม ไม่ต่างอะไรกับการเดินย่ำบนพื้นลื่นๆ และในที่สุดเธอก็ล้มหัวคะมำจนได้ มือเรียวเล็กตะครุบลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยโคลนตมเละๆ เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนมอมแมม สายรองเท้าก็ขาดร่องแร่งอย่างไม่เหลือสภาพให้สวมใส่ได้อีกต่อไป

“บ้าจริง!”

เจ้าของเสียงหวานใสบ่นพึมพำคนเดียวขณะค่อยๆ ประคองกายให้ลุกขึ้น ตอนนั้นเองที่รู้สึกว่ามีอาการเจ็บแปล๊บๆ ที่ข้อเท้า แต่ก็ยังพยายามเดินโขยกเขยกด้วยเท้าเปล่าอย่างทุลักทุเล จนกระทั่งถึงคฤหาสน์หลังสีขาวสองชั้นที่ตั้งตระหง่านสวยเด่นอยู่บนเนินหญ้าสีเขียวขจีซึ่งตอนนี้เปิดไฟสว่างไสวเพราะฝนที่ตกลงมาตั้งแต่ช่วงบ่ายทำให้ความมืดมิดของรัตติกาลสยายตัวเข้าปกคลุมทั่วทั้งอาณาบริเวณเร็วกว่าทุกวัน

ละอองฝนรีบย่ำเท้าขึ้นบันไดเตี้ยๆ ที่หน้าคฤหาสน์ผ่านห้องอาหารซึ่งอยู่ติดกับห้องโถง ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะเดินผ่าน แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากมันเป็นทางไปยังห้องนอนของเธอนั่นเอง

สาวน้อยรู้สึกเหมือนตนเองตัวลีบลงกว่าเดิมไปถนัดตา เพราะตอนนี้ที่โต๊ะอาหารมีคนนั่งรายล้อมเพื่อจะรับประทานมื้อเย็นอย่างพร้อมเพรียงกันแล้ว และเมื่อเธอก้าวเข้าไปทุกคนก็มองมาเป็นตาเดียวกันทันที

“ไปไหนมาออม ทำไมถึงได้กลับมาซะมืดค่ำแถมเนื้อตัวยังมอมแมมแบบนั้น...”

‘คุณ’ เป็นคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ห่างเหินและไว้ตัว แต่ละอองฝนก็ชินชากับน้ำเสียงและท่าทีแบบนั้นของผู้ให้กำเนิดเสียแล้ว

ละอองฝนต้องเรียก ‘แม่’ ว่า ‘คุณ’ ตั้งแต่เด็ก เพราะแพรวดาวแม่ของเธอเคยเป็นนางแบบชื่อดัง มีชีวิตที่หรูหราไฮโซในวงสังคมชั้นสูง แต่เกิดตั้งท้องโดยไม่ได้ตั้งใจกับนายแบบคนหนึ่งทั้งที่ยังเรียนมหาวิทยาลัย จึงต้องแอบหลบไปคลอดลูกและปิดข่าวไว้อย่างเงียบเชียบ หลังจากนั้นก็นำลูกน้อยไปให้ผู้เป็นแม่กับน้องสาวเลี้ยงดูส่วนตัวเองกลับเข้าสู่วิถีชีวิตไฮโซหรูหราและแสงสีดังเดิม

เด็กหญิงตัวน้อยใบหน้าจิ้มลิ้มเติบโตมาในบ้านเล็กๆ ย่านชุมชนแออัดมีความเป็นอยู่อย่างสมถะกับยายและน้าสาว โดยที่แพรวดาวแวะมาเยี่ยมเยือนบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่ก็ไม่ยอมให้บุตรสาวเรียกว่าแม่ เมื่อสามเดือนก่อนคุณได้แต่งงานกับมหาเศรษฐีวัยห้าสิบชาวสหรัฐอเมริกา ตอนนั้นละอองฝนเพิ่งจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง แต่ก็ถูกบังคับให้ลาออกเพราะคุณต้องการให้เดินทางมาอยู่สหรัฐอเมริกากับคุณในฐานะหลานสาว โดยบอกว่าจะมาหาที่เรียนที่นี่ให้

“ออมไปที่โรงนามาค่ะคุณ พอดีติดฝนก็เลยกลับมาช้า” สาวน้อยตอบคำถามของผู้เป็นแม่เบาๆ

“คุณบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าไม่จำเป็นไม่ให้ออมออกไปไหน” เสียงของคุณดุขึ้นกว่าเดิม ดวงตาก็ตวัดมองอย่างตำหนิและเคืองขุ่นที่ละอองฝนฝ่าฝืนคำสั่งของตน

“ไม่เอาน่าที่รัก อย่าดุหนูออมเลย หนูออมคงอยากออกไปเที่ยวเล่นบ้างตามประสาเด็กๆ” ไวแอตแทรกขึ้นก่อนที่ผู้เป็นภรรยาจะดุหลานสาวไปมากกว่า นั้น

“ไวแอตคะ...”แพรวดาวทำท่าจะไม่ยอม เพราะแต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยยอมให้ใครให้ท้ายลูกสาว

ด้านเจ้าของคฤหาสน์จึงรีบหันไปบอกสาวน้อยที่ยืนทำหน้าเจื่อนๆ อยู่ข้างโต๊ะ

“ไปอาบน้ำสิหนูออม แล้วมากินข้าวด้วยกัน”

“เชิญคุณลุงกับทุกคนตามสบายเลยค่ะ ออมทานในครัวเหมือนเดิมจะดีกว่า...”

ตอบเสร็จละอองฝนก็รีบก้มหน้างุดอีกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะสบตาใครอีกคนซึ่งนั่งอยู่ด้านขวามือของไวแอต ถ้าเขารู้ว่าเธอแอบเอาม้าของเขาออกไปขี่โดยไม่ได้รับอนุญาต เธอคงจะถูกลงโทษหนักเป็นแน่ เขาดุและเด็ดขาดมากแค่ไหนสาวน้อยรู้ดีแก่ใจ ใครๆ ในไร่นี้ต่างก็เกรงกลัวกันหัวหด ตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่เธอยังไม่เคยเห็นเขายิ้มเลยสักครั้ง มิหนำซ้ำยามที่ดวงตาสีอำพันเฉียบคมคู่นั้นตวัดมองมา ละอองฝนรู้สึกเหมือนถูกใบมีดคมๆ กรีดเข้าที่เนื้อบางๆ จนเหวอะหวะไปหมด

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ซะ เนื้อตัวสกปรกมอมแมมเป็นลูกแมวเล่นโคลนแบบนั้นดูได้ที่ไหน” แพรวดาวยังไม่วายดุสำทับอีกหนึ่งคำรบ

“ค่ะ...” ละอองฝนรับคำเบาๆ ก่อนจะรีบเดินไวๆ ผ่านห้องอาหารตรงไปยังห้องพักของตัวเองซึ่งอยู่ด้านหลังของคฤหาสน์

ทันทีที่ประตูปิดลงสาวน้อยก็ระบายลมหายใจออกมายาวๆ ขณะกวาดสายตามองรอบๆ ห้อง นอกจากในทุ่งกว้างและโรงนาแล้ว สถานที่ที่เธอชอบมากที่สุดก็คือห้องนี้ แม้จะไม่ใช่ห้องที่หรูหราและกว้างขวางที่สุดในคฤหาสน์ แต่ก็จัดว่ากว้างพอควร ภายในห้องตกแต่งแบบยุโรปสมัยเก่า มีกลิ่นอายของอินเดียนแดงผสมผสานเช่นเดียวกับห้องอื่นๆ กว่าสิบห้องในคฤหาสน์หลังนี้ ตอนแรกไวแอตจะให้เธอพักชั้นบน แต่แพรวดาวกลับแย้งว่าให้พักชั้นล่างก็ได้ ซึ่งละอองฝนรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากที่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่ต้องไปอยู่ปะปนกับเจ้าของคฤหาสน์ แม้ไวแอตจะเอ็นดูเธอมากแค่ไหน แต่ ‘เมสัน แม็คไบรด์’ ลูกชายของเขากลับไม่ได้แสดงท่าทางเป็นมิตรกับเธอและแม่ของเธอเลยแม้แต่น้อย

สาวน้อยยืนพิงประตูห้องอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยเข้าไปอาบน้ำสระผมในห้องน้ำ กลับออกมาอีกทีโดยมีผ้าเช็ดตัวพันเรือนร่างอยู่เพียงผืนเดียว จากนั้นก็ไปนั่งเช็ดผมที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง เนื้อตัวที่มอมแมมเมื่อครู่นี้ถูกชำระล้างออกจนสะอาดสะอ้าน ภาพที่สะท้อนออกมาเป็นหลักฐานได้อย่างดีว่าละอองฝนเป็นผู้หญิงที่หน้าตาน่ารักมากแค่ไหน ดวงหน้ารูปไข่นั้นช่างงดงามเย็นตาประดุจพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ รับกับนัยน์ตากลมโตสีนิลมณีที่มีเงานุ่มส่งประกายคล้ายดั่งแก้วเจียระไน ริมฝีปากอิ่มสวยราวกับกลีบกุหลาบเป็นสีชมพูอ่อนตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเสริมเติมแต่งลิปสติกให้ยุ่งยาก ผมดำขลับที่เปียกชื้นอยู่นั้นนุ่มสลวยไม่ต่างจากแพรไหม ตัดกับสีขาวนวลผุดผ่องของผิวกาย ซึ่งเนียนละเอียดไปทั่วร่าง ทั้งหมดนี้ล้วนถ่ายทอดมาจากผู้เป็นพ่อและแม่ แต่ทว่าละอองฝนก็ไม่เคยสนใจรูปโฉมโนมพรรณของตัวเองแต่อย่างใด

หลังจากที่เช็ดผมเผ้าจนแห้งหมาดๆ สาวน้อยก็ลุกขึ้นไปหยิบเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นมาสวมใส่ และรอเวลาจนแน่ใจว่าทุกคนขึ้นไปยังชั้นบนหมดแล้ว จึงออกไปหาอะไรกินในห้องครัว

พออิ่มก็กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง พร้อมกับจัดการล้างหน้าแปรงฟันใหม่ ก่อนจะคลานขึ้นไปนอนมองนาฬิกาอยู่บนเตียงจนเข็มชี้ว่าเป็นเวลาห้าทุ่มก็ดีดตัวขึ้นปิดไฟและแอบย่องออกจากห้องของตัวเองเงียบๆ ตรงไปยังห้องดูดาวบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องที่เธอแอบขึ้นไปเป็นประจำในยามค่ำคืน เพื่อชื่นชมความงดงามของเหล่าเดือนดารานับหมื่นนับล้านดวงที่มองเห็นได้อย่างแจ่มชัดในเวลานั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel