บทนำ
ชื่อของฉันคือ จิราภรณ์...
คนที่รู้จักฉันส่วนใหญ่จะคิดว่าชีวิตคุณหนูจากตระกูลไฮโซไซตี้ ทำไมถึงตกอับได้ขนาดนี้...
เมื่อก่อนถ้าเอ่ยถึงตระกูลทรัพย์ไพบูลย์ เจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่มากมาย ถือหุ้นธุรกิจนำเข้าส่งออกอาหารแช่แข็งรายใหญ่ระดับโลก รวมทั้งถือครองอสังหาริมทรัพย์และที่ดินผืนงามทั่วประเทศ ในวงสังคมคนรวยไม่มีใครไม่รู้จักครอบครัวทรัพย์ไพบูลย์ ใครๆ ต่างเรียกฉันว่าเจ้าหญิง แต่ตอนนี้เหรอคะ... ขนาดยกมือไหว้ คนอื่นเขายังทำเป็นไม่เห็นเลยจ้า
พี่ชายฉันบอกว่ามันเกิดจากสงครามค่าเงิน ธุรกิจของเรามีพื้นฐานจากการกู้เงินหมุนเวียนในระบบ เป็นเหมือนพีระมิดกลับหัวที่พร้อมจะถล่มลงมาตลอดเวลา เมื่อต่างชาติเทเงินบาท หนี้ที่มีอยู่ก็ฟูขึ้นสองเท่าโดยอัตโนมัติ เพียงเวลาไม่ถึงเดือนหลังจากพยายามยื้อและวิ่งเต้นหาเงินทุน พ่อกับแม่ต้องทยอยขายทรัพย์สินเพื่อใช้หนี้ ขายบ้านขายรถ หั่นเลือดหั่นเนื้อและถูกฟ้องล้มละลาย จนกระทั่งในที่สุดก็เหลือธุรกิจดั้งเดิมของบ้านเราเพียงอย่างเดียว
อาบ อบ นวด...
อ๊ะๆ ลืมภาพอาบอบนวดแถวรัชดาไปได้เลย เพราะน้องๆ ที่ทำงานอยู่ที่นี่อยู่ในวัยเกษียณมาสามรอบแล้วจ้า ที่นี่ตั้งอยู่ในซอยลึกลับย่านบางแค ตัวอาคารสี่ชั้น ชั้นหนึ่งเป็นฟิตเนตสไตล์ประเวศยิม โนแอร์โนเทรนเนอร์ มีแค่ลู่วิ่งเรียงเป็นตับแต่ใช้ได้แค่สามเครื่อง ส่วนที่เหลือเอาไว้แขวนผ้า อุปกรณ์ยกน้ำหนักออกกำลังกายทุกชิ้นสนิมเขรอะ ปลวกแทะกรอบประตูจนพรุนแล้วแต่บ้านเราไม่มีงบซ่อม ค่าสมาชิกก็ถูกแสนถูกแค่ปีละสองพัน ดังนั้นลูกค้าที่มาก็เลยมีแต่อาแปะ อากงมานั่งเม้ามอย ชั้นหนึ่งจึงอุดมไปด้วยกลิ่นน้ำมันมวยผสมกลิ่นคนแก่
ชั้นสอง ชั้นนี้เป็นแหล่งรายได้สำคัญ เพราะเปิดให้บริการแช่ออนเซ็น ห้องซาวน่า สตรีมอบไอน้ำ พวกสูงวัยและเหล่าผู้รักสุขภาพจะชอบกันมาก
ส่วนชั้นสาม... บริการนวดแผนโบราณ เด็กนวดที่อายุน้อยที่สุดคือหกสิบค่ะ ประมาณว่าเกษียณมาจากที่อื่นแล้วไม่มีที่ไป ที่นี่ก็รับทำงานหมด ลูกค้าที่มาใช้บริการนวดกับคนนวดก็ต้องประคองกันขึ้นไปเอง ฮ่าๆ
และชั้นที่สี่ มีบ้านหลังเล็กๆ บนดาดฟ้า เวลากลางวันโคตรจะร้อนตับแตก แต่ที่นี่คือบ้านที่ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ตอนนี้นี่เอง พ่อบอกว่าตอนที่ฉันเพิ่งเกิด พ่อซื้อตึกหลังต่อมาจากเพื่อนในวงเหล้า ซื้อมาขำๆ ยี่สิบล้าน กิจการฟู่ฟ่าหรูหรามาก เมื่อก่อนชั้นล่างเป็นห้องอาหารหรู มีนักร้องคาเฟ่ มีวงตลกมาขึ้นโชว์คืนหนึ่งไม่ต่ำกว่าสิบคณะ ที่จอดรถเต็มแล้วเต็มอีกจนล้นออกไปริมถนนด้านนอก พ่อเห็นว่าไปได้ดีจึงตั้งชื่ออาบอบนวดแห่งนี้ให้เป็นเกียรติเป็นศรีตามชื่อฉันว่า
‘จีจี้ เลิฟเลิฟ’
โคตรน่าอาย แต่! มัน! คือ! แหล่งรายได้!
ดีที่อย่างน้อยพี่ชายฉันยังได้ทำงานบริษัทตำแหน่งกรรมการบริหาร ช่วยดูแลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้าน ส่วนพี่สาวฝาแฝดเพิ่งได้งานบัญชี ส่วนฉันเรียนจบปุบ ตกงานปับเพราะดันเรียนสายธุรกิจการบิน เจอโควิดเข้าไปก็ตายสนิท จากคุณหนูเล็บเจล มาวันนี้กลายสภาพเป็นอีแจ๋วพนักงานทำความสะอาดอาบอบนวดไปแล้วค่ะ
“ปีนี้อายุเท่าไรแล้วนังหนู”
“ยี่สิบสี่ค่า สัดส่วนสามสิบสี่ ยี่สิบสี่ สามสิบห้า สูงร้อยกว่าๆ ชอบมะๆ”
“อีหนูจีจี้มีแฟนแล้วยังจ๊ะ” อากงรุ่นแปดสิบแซวเด็ก พอคนแรกเปิดประเด็น อาแปะอากงทั้งหลายก็รุมเต๊าะ “สวยๆ น่ารักๆ แบบนี้มีแฟนแล้วแน่เลย”
“ยังจ้า”
“แล้วทำไมไม่หาแฟน”
“ทำไมหนูต้องหาแฟนฝ่ายเดียวด้วยอ่ะ ทำไมไม่ให้แฟนหาหนูบ้าง หนูไม่อยากหาแล้วอ่ะ เหนื่อย”
“ฮ่าๆ เออๆ ขาวหมวยน่ารักแบบนี้เดี๋ยวแฟนก็หาลื้อเจอเอง เดี๋ยวอั๊วะช่วยหาให้อีกแรงเอามั้ย”
“ต้องหล่อรวย น่ารัก ใจป้ำนะ อายุไม่เกี่ยง ถ้าไม่รวยไม่เอา”
“งั้นอั๊วะก็ผ่านเกณฑ์สิ”
“แปะมีเมียแล้ว หนูไม่เอาจ้า” ฉันขยิบตาหยอกเหล่ากง ถึงจะโสดหอยแห้งผากเป็นทะเลทรายก็เถอะ อย่างน้อยก็ป๊อปปูล่าในหมู่คนชราแปดสิบอัพนะจ๊ะ ฉันสวมรองเท้ายางหุ้มข้อ สับขาเดินถูไม้รีดน้ำรอบอ่างออนเซ็นด้วยอินเนอร์บียอนเซ่ อาแปะอากงแต่ละคนผ่านการมีเมียเล็กเมียน้อยมาแล้วโชกโชน แถมขยันหยอกแต่ไม่ขยันจ่ายทิป นางสาวจีจี้จึงมิชายตาแลมอง ถ้าคิดว่าไม่มีผัวชีวิตนั้นแย่แล้ว ลองไม่มีเงินดูค่ะ ชีวิตนี้ดิฉันจะอยู่เป็นโสดแบบคันๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ นั่นแหละ
แล้วงานก็เริ่มเข้าหลังจากแม่วางหูโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เสี่ยฤทธิ์ชาติเริ่มให้คนมาทวงหนี้มาแล้วนะเฮีย”
“เท่าไหร่”
“ยอดสามสิบสองล้าน ไม่รวมยอดเก่าของปีก่อน รวมๆ แล้วก็ห้าสิบกว่าล้าน” แม่นั่งดีดตัวเลขแล้วถอนหายใจ ส่วนพ่อมองมาที่ลูกสาวผู้นุ่งกางเกงเจเจลายดอก ปากแดงแจ๋ เดินลากไม้รีดน้ำ ปาดน้ำเจิ่งนองบนพื้นห้องออนเซ็นให้แห้ง แม่มองตามสายตาพ่อไป เห็นลูกสาวหัวฟูหน้าสดก็อบรมไปหนึ่งกรุบ
“ยัยจีจี้อยู่บ้านก็ทำตัวสวยๆ หน่อย อย่าปล่อยโทรม เข้าใจมั้ย!”
“ค่า” ฉันเงยหน้าสบตาแม่ น้ำตาไหลย้อย เพราะแม่พูดหลังจากฉันแต่งหน้าแต่งตัวแล้วอ่ะ ฉันต้องรู้สึกยังไงกับสถานการณ์นี้เหรอคะ ฉันเดินกดเกมคุกกี้รันไปลากไม้รีดน้ำไปท่ามกลางดงอากงนุ่งผ้าขนหนู แม่จึงคุยซุบซิบกับพ่อเรื่องเสี่ยฤทธิ์ชาติ
“เฮียๆ เมื่อกี้ได้ยินที่มันบอกสเปกผัวมั้ย”
“ได้ยิน”
“งั้นก็เสี่ยฤทธิ์ชาติไง ปีนี้เพิ่งสี่สิบ หล่อรวย ใจป้ำแถมยังโสด” แม่คุยไปคุยมา พ่อก็ชักจะตาโตแต่ยังส่ายหน้า
“จะดีเหรอ”
“ก็ดีกว่าปล่อยให้มันขลุกอยู่ในดงอากงขี้เต๊าะแบบนี้ เรายกมันให้เสี่ยเลี้ยงเลยดีกว่า”
“มันคงยอมหรอก! เธอก็รู้ว่ายัยจีจี้นิสัยมันห่ามขนาดนี้ อยู่ดีไม่ว่าดีเสี่ยจะเอาตัวภาระไปเลี้ยงทำไม เสี่ยเขาคงจะเอาหรอก”
“ถ้าเป็นยัยอ้อแอ้ล่ะ รายนั้นมีหน้าที่การงานมั่นคง น่าจะขายออกง่ายกว่า”
“ยัยอ้อแอ้ยิ่งไม่ยอมใหญ่ มีอย่างที่ไหนจะเอาลูกไปขัดดอก”
“ฉันก็ไม่ได้บังคับสักหน่อยนี่เฮีย ถ้าไม่ชอบใจกันก็ต่างคนต่างไปแค่นั้นเอง ถ้าเกิดสองฝ่ายถูกตาต้องใจกัน อย่างน้อยลูกสาวเราคนใดคนหนึ่งก็สบายมีเสี่ยเลี้ยง ค่าสินสอดก็หักหนี้กันไปแล้วแต่ต่อรอง เอาเป็นว่าลองทาบทามให้เสี่ยมาดูตัวก่อนก็แล้วกัน”
“แน่ใจนะว่าจะชวนเสี่ยมาดูมันที่นี่”
“เอิ่มม...” แม่หันมาพิจารณาสังขารลูกสาวคนเล็กอีกทีก่อนจะถอนหายใจ “ให้มันแต่งตัวสวยๆ ไปหาเสี่ยดีกว่า... อ้าว แล้วนั่นเฮียจะโทรหาใคร”
“โทรเตือนให้เสี่ยหนีไป”