บทที่ 1-2 ชะตาของคนจะมีผัวแก่
ตอนแรกฉันก็นึกว่าพี่โตจะพาไปเที่ยวผับทั่วไป แบบที่มีเวทีเล่นดนตรีสด แล้วก็เปิดแสงสีแดนซ์ๆ แต่ปรากฎว่าผับที่พี่โตพาไปเป็นผับหรูระดับไฮเอนท์ ตั้งอยู่บนชั้นดาดฟ้าของตึกสูงระฟ้า ตกแต่งเรียบหรูหราหมาเห่า เปิดเพลงคลาสสิกคลอเบาๆ แบบผู้ดี๊ผู้ดี พี่โตเคยมาบ่อยตอนบ้านยังรวย ส่วนฉันเพิ่งจะเคยมาที่นี่ครั้งแรกก็เลยตื่นๆ มองซ้ายมองขวาดูล่อกแล่ก การ์ดของผับเลยเข้ามาเช็คก่อน
ปกตินางเอกมาเที่ยวต้องแสดงแสนยานุภาพความงาม เดินเข้ามาในผับอย่างสวย ออร่าเปล่งแสงเทพธิดาจนมนุษย์รวมไปถึงสัมภเวสีตะลึงไปสามโลก แต่สำหรับฉัน การ์ดของผับเช็คบัตรประชาชนโดยดูรูปสลับกับตัวจริงอยู่นาน ก่อนจะส่งบัตรคืนพลางผายมือ เชิญเข้าเหรอ เปล่าค่ะ เชิญออก
“ที่นี่งดเรี่ยไรนะครับแม่ชี”
“เดี๋ยวแม่หยิกหัวนมขาด ว่าใครมาเรี่ยไรยะ”
แทนที่พี่โตจะช่วยพูด พี่ท่านเดินกลั้นหัวเราะลิ่วไปโน่นแล้ว ทิ้งนางพญาชุดขาวไว้ที่ด่านทางเข้า ไอ้พี่เชรี่ย ฉันเคี้ยวฟันกรอด นี่ถ้าไม่เห็นแก่เนื้อย่างเนยกับโอมากาเสะสุดหรูแล้วล่ะก็ ฉันกระโดดถีบพี่โชว์การ์ดไปแล้ว แค่ห้อยพระมาเยอะก็ห้ามเข้าด้วยเหรอวะ ฉันควักกระเป๋าจะเปิดให้ดูว่าแม่ยัดเงินมาให้เป็นฟ่อนเลยนะ นี่ไงๆ มีตังค์จ่าย แต่พอเปิดกระเป๋าดูมีแต่เหรียญ
การ์ดของผับก้มดูเหรียญเป็นกำๆ แล้วมองหน้าแม่ชีจีจี้ เขาคงนึกสงสารเลยหยอดแบงค์ยี่สิบให้แล้วโบกมือไล่ลงลิฟต์ไป
ก็กูบอกแล้วไงว่าไม่ได้มาเรี่ยไร!!
ระหว่างที่ฉันกำลังปะทะสายตากับไอ้พวกการ์ดจนเส้นเลือดขมับปูด เสียงแจ๋นๆ ของชะนีนางหนึ่งก็แปร๋นแทรกเข้ามา
“ต๋ายยย... นึกว่าใคร ที่แท้ก็คุณหนูจิราภรณ์นี่เอง ไม่ได้เจอกันตั้งแต่เรียนจบม.ปลายเลยนะ”
นางชะนีนมโตควงผัวเด็กเข้ามาเย้ย นางคือเพชรกันยา แต่ฉันเรียกนางพากันเฮ็ด นางคือลูกสาวของตระกูลคหบดีร่ำรวย วงศาคณาญาติเป็นคนใหญ่คนโตมากมาย ฉันไม่ค่อยกินเส้นกับนางตั้งแต่เรียนด้วยกันแล้ว แถมนางเพิ่งได้งานตำแหน่งเลขา CEO บริษัทอะไรสักอย่าง คุณหนูเพชรกันยาจึงมองเหยียดใส่ฉันเต็มที่ จีบปากจีบคอคุย
“ก็อย่างว่าแหละเนอะ ฉันอ่ะฉลาดกว่าเธอก็เลยได้งานดีๆ ทำ อีกแค่ไม่กี่เดือนฉันก็จะได้เลื่อนตำแหน่งด้วยนะ เนี่ย เงินเดือนก็ไม่มากหรอก แค่แปดหมื่นเอง ซื้อกระเป๋าเบอร์กิ้นไม่ได้เลยสักใบ รู้จักมั้ยอ่ะกระเป๋าเบอร์กิ้นน่ะ”
“เหรอๆ แล้วไงต่อ” ฉันกอดอกฟังนางพล่าม ฉลาดกับคิดว่าตัวเองฉลาดมันแตกต่างกันนะ
“ฉันนึกสงสารเธอจัง เมื่อก่อนบ้านเราก็อยู่ติดกัน บ้านเธอหลังใหญ่ที่สุดเลยด้วยซ้ำ ตอนที่มีหมายศาลมาแปะหน้าบ้าน ฉันปวดใจแทนเธอมว๊ากกก... แล้วนี่ขนของหนีหนี้ไปอยู่ที่ไหนกัน เธอได้งานทำแล้วใช่มั้ย งานอะไรล่ะ แล้วมีแฟนแล้วยัง อ้วนขึ้นนะ ลดน้ำหนักหน่อยสิ ฉุแบบนี้ทุเรศสายตา อุ้ย ขอโทษนะถ้าฉันถามอะไรไปแล้วทำให้เธอไม่สบายใจ”
ตบกันเลยจะสบายใจกว่ามั้ยคะมึง ฉันคิด แต่พระมารดากำชับหนักหนาว่าห้ามสวมวิญญาณสก๊อย ฉันจึงฉีกยิ้มแล้วตอบเสียงนิ่มๆ
“ไม่ เป็น ไร”
“เนี่ย ผัวฉันเอง หล่อมั้ย เขาเป็น...”
กูไม่ได้อยากรู้ค่ะ อีกะโหลกหนาสมองเรียบ... ฉันคิดในใจแต่เผลอหลุดพูดออกไปมั้ง นังพากันเฮ็ดก็เลยชักสีหน้า ทำท่าจะเข้ามาตบ ฉันก็ถกกระโปรงรอ มาสิ แน่จริงมึงเข้ามา ฉันไม่ได้สนใจฟังโปรไฟล์ผัวนางหรอก เมื่อกี้เห็นนางเป็นคนควักเงินจ่ายนั่นจ่ายนี่ก็รู้แล้วว่าเป็นสายเปย์ผู้ชาย ฉันอยากหาทางเข้าไปข้างในเพื่อทำภารกิจให้เสร็จสิ้นแล้วไปซัดเนื้อย่างเร็วๆ มากกว่า แต่ถ้าจะให้ขอร้องยัยชะนีให้พาเข้าไป เอาเกิบมาฟาดหน้าฉันเสียยังดีกว่าค่ะ
“แล้วนี่เธอมากับใคร อย่าบอกนะว่า...” ยัยพากันเฮ็ดมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วหัวเราะเสียงสูง ฉันชักจะมีน้ำโหจึงคว้าแขนใครได้ก็คว้า แล้วประกาศออกไปว่า
“ฉันมากับผัว”
ยัยพากันเฮ็ดกับบรรดาการ์ดของผับมองเจ้าของแขนที่ฉันคว้ากันตาค้าง ฉันไม่ได้สนใจหรอกว่าใคร แค่เห็นยัยชะนีเสียงแปร๋นอ้าปากเหวอ ฉันก็ยิ้มร่า โบกมือตอแหลให้งามๆ พลางควงแขนกำยำ ตีเนียนเข้าไปข้างในผับแบบเนียนๆ เรานี่มันจีเนียสจริงๆ วะฮะฮ่าๆ
“ขอบคุณที่ช่วยตีเนียนกับฉันนะคะ อ่ะนี่”
ฉันนึกว่าเด็กเสิร์ฟ พอดีติดนิสัยชอบให้ทิปก็เลยหยิบเหรียญสิบให้แล้วเดินเฉิดฉายตามหาอีพี่ชายตัวดี ขอเบิ้ดกะโหลกสักทีแล้วจะเป็นเด็กดี ส่วนคนที่เพิ่งได้เงินสิบบาททำหน้างงๆ ก่อนจะก้มดูเหรียญสิบในมือ เออ เพิ่งรู้ว่าค่าตัวเขามีค่าแค่สิบบาท ดูถูกกันซะจริงๆ
“เดี๋ยว”
เสียงทรงอำนาจเรียกเหมือนจะขอทิปเพิ่ม ฉันจึงเอี้ยวหน้ากลับและทำท่าจะควักเหรียญให้อีกห้าบาท แต่ฉันก็ชักจะเอะใจเพราะเมื่อมองระดับสายตาก็จะเห็นเสื้อสูทสั่งตัด ดูดีมีรสนิยมไร้ที่ติ เด็กเสิร์ฟคงไม่ใส่สูทสั่งตัดหรอกมั้งนะ ฉันจึงเลื่อนสายตาสูงขึ้น คนอะไรไหล่กว๊างกว้าง ลำคอล่ำสัน ร่างกายกำยำล้ำเลิศกล้ามเนื้อก่อเกิดทุกแห่งหน แม้จะยืนอยู่ห่างกัน แต่ฉันอุตส่าห์สังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เห็นแผงอกองอาจตึงแน่นอยู่ภายใต้ชุดที่เขาสวม เห็นสันกรามคมเข้มที่เพิ่งโกนหนวดใหม่ๆ เห็นแม้กระทั่งฝ่ามือสากระคายที่เคลื่อนขึ้นมากอดอกช้าๆ และเมื่อฉันสบตาคนผู้นั้น
โลกหยุดหมุนไหม ก็ไม่
มีไฟฟ้าลัดวงจรอ่อนระทวยไหม ก็ไม่
มีนกกระจิบนกกระจอกร้องเจี๊ยวจ๊าวหรือมีพร็อบกลีบดอกไม้โปรยปรายหรือเปล่า ก็ไม่ แต่ที่ฉันแน่ใจคือเขาหล่อระยำตำใจชะนี มีลูกน้องเดินตาม แววตาคมกริบของเขาดูน่ากลัวชอบกล บ่งบอกว่าเขาเป็นบุคคลอันตรายและทรงอำนาจ คุ้นชินกับการประเมินผู้คนภายในเวลาสั้นๆ รอบตัวเขาเหมือนมีอะไรบางอย่างว่ายวน เกิดเป็นความรู้สึกเย็นเยือกถึงขั้วกระดูก
สองขาแข็งแกร่งก้าวตรงมาที่ฉัน จังหวะการก้าวเดินของเขาหนักแน่นมั่นคง มีเป้าหมายชัดเจนและพร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางทาง เขาเป็นผู้ใหญ่วัยฉกรรจ์อย่างไม่ต้องสงสัย และเขามีบางสิ่งที่ฉันไม่มีก็คือ สติ
“จะไปไหน มากับผัวก็มานั่งกับผัวสิ”
“...”
“มานี่”
ผัวใคร? ฉันชี้นิ้วที่ตัวเอง เขาก็พยักหน้า ฉันกะพริบตาปริบๆ และเริ่มพิจารณาคนตัวสูงใหญ่ตรงหน้าอีกครั้ง เขาตัวใหญ่กว่าฉันสักสองเท่าได้ ซึ่งฉันชอบนะเพราะเวลาอยู่ด้วยแล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นต้าวเด็กน้อย อีกทั้งกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ของเขาดูทรงพลังและแข็งแกร่ง เป็นส่วนผสมที่แสนจะอันตราย แค่เขายิ้มก็ตกผู้หญิงได้เป็นพรวนแล้ว และเขากำลังชวนฉันไปนั่งด้วย
“ไม่เอาอ่ะ จะหาที่เล่นเกม”
“มาเถอะ”
เขาคงจะไม่อยากให้นางชีเดินร่อนไปร่อนมา เสียบรรยากาศผับหรูหมด ถามว่าดิฉันแคร์ไหม ไอด้อนท์แคร์ค่ะ
ฉันบอกปฏิเสธชัดเจนขนาดนี้ แต่ฝ่ามือแข็งแรงยังคงยื่นมาอย่างใจเย็น
อืมม... คนเยอะแยะ พี่โตก็ไม่รู้หายไปไหน เงินก็ไม่มี จะเดินเรี่ยไรเดี๋ยวโดนดีดออกไปอีก ทุกคนในผับเรียกเขาว่าเสี่ย เวลาเดินไปทางไหน ฝูงคนก็แหวกให้เป็นทาง แถมพออยู่กับเขา พวกการ์ดของผับก็ไม่มาวอแวเลยค่ะ ดีจัง
ฉันสบตาเขาแล้วตัดสินใจยื่นมือให้ อีกฝ่ายก็มิได้ฉวยโอกาสจับไม้จับมือ แค่มอบฝ่ามือของเขาให้ฉันเป็นฝ่ายกุมเอาไว้แล้วเดินไปด้วยกัน ฉันก็ไม่ใช่คนใจง่ายนะบอกก่อนเลย แค่ถามว่าเขาจะเติมเกมให้จริงๆ ใช่มั้ย พอเขาตอบว่าใช่ ฉันก็เลยไปกับเขาเท่านั้นเองค่ะ
“น้ำส้มหรือนมปั่น” เขาถามหลังจากสั่งวิสกี้ให้ตัวเองแล้ว ฉันกะพริบตาหนักขึ้น นี่มากินเหล้าค่ะ ไม่ได้มารับน้ำปาณะ
“ทุกคนรู้ โลกรู้ นี่ลูกหลานลำยองค่ะ”