ตอนที่ 9 สิงห์ทะเลทราย
ยานะเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำสะอาดในอ่างทองคำ ชุติกาญจน์ลืมตาขึ้นมองและหันไปมองนอกหน้าต่าง
“รีบปลุกทำไมกันล่ะยานะฉันยังง่วงอยู่เลยเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลย” หญิงสาวลุกขึ้นนั่งมองนางกำนัลสาวผสมน้ำหอมลงในอ่างล้างหน้า
“ไม่ได้นะคะต้องลุกแล้ว ลืมแล้วหรือคะว่าวันนี้พระชายาทรงนัดกับคุณไว้ เราต้องรีบไปนะคะเดี๋ยวไม่ทันเข้าร่วมในงานพิธีและวันนี้ก็เป็นวันพิเศษของคุณด้วย” ยานะหัวเราะเบาๆ
คิ้วเรียวของชุติกาญจน์ขมวดเข้าหากัน “พิเศษยังไงฉันไม่เข้าใจ”
“ฮิ ฮิ ฮิ บอกไม่ได้ค่ะ” ยานะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเตรียมน้ำให้หญิงสาวอาบ
“บอกนิดเดียวก็ไม่ได้หรือยานะ” หญิงสาวเดินตามเข้ามา
“ไม่ได้ค่ะต้องรอฟังเอาเอง” นางกำนัลตอบยิ้มๆ
ชุติกาญจน์ทำหน้าบึ้งก่อนจะถอดชุดนอนออกและก้าวลงไปนอนในอ่างอาบน้ำที่มีกลิ่นหอมของเครื่องหอมและกลีบดอกไม้ใส่เอาไว้ หญิงสาวหลับตาลงปล่อยให้ยานะทำหน้าที่ในการขัดถูเนื้อตัวของเธออย่างสบายใจ
ชุติกาญจน์เดินตามยานะมาถึงที่ตัวตำหนักของพระชายาราจาตลอดทางมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนาและคบไฟก็ถูกจุดเอาไว้ตลอดทางทำให้สว่างเหมือนตอนกลางวัน
“กานรอด้วย” จิรดาร้องเรียกเมื่อเห็นหญิงสาวกำลังจะก้าวเข้าไปด้านใน
“เพิ่งมาถึงเหมือนกันเหรอ” ชุติกาญจน์หยุดรอ
“ใช่เมื่อคืนฝันร้ายน่ะก็เลยนอนไม่ค่อยหลับ” จิรดายิ้มและพากันเดินเข้าไปด้านในตัวตำหนัก
“ฝันร้ายเหรอฝันว่าอะไรบอกได้ไหม” ชุติกาญจน์ถามอย่างสนใจ
“ฝันว่าถูกทิ้งไว้กลางทะเลทรายน่ะมองไปทางไหนก็มีแต่ทรายน่ากลัวจังเลย” จิรดาตอบ
“สงสัยจะมองทะเลทรายมากไปหรือเปล่า” ชุติกาญจน์หัวเราะ จิรดามองค้อนอีกฝ่าย
“มากันแล้วเหรอคะพระชายาทรงรออยู่พอดีเลยค่ะ” นางกำนัลต้นห้องส่งยิ้มให้สองสาวก่อนจะเปิดประตูและพาทั้งสองเข้าไปด้านใน ชุติกาญจน์มองหญิงสูงศักดิ์ตรงหน้าอย่างตกตะลึงชุดสีทองเดินดิ้นสีแดงและสีน้ำเงินตรงชายผ้า ผ้าคลุมหน้าสีทองบางใสกับมงกุฎสีทองที่สวมอยู่บนศีรษะทำให้ดูสง่างามยิ่งขึ้นถึงจะมีอายุที่มากแล้วแต่ความงามยังคงปรากฏอยู่
“ทรงงามมากเพคะ” ชุติกาญจน์ยิ้มหวานให้อีกฝ่าย
“ขอบใจเจ้ามากแต่เรารู้ตัวดี เราอายุมากแล้วสวยสู้เด็กสาวๆอย่างพวกเธอไม่ได้หรอก”ราจามองหญิงสาวทั้งสองอย่างเอ็นดูนางอยากมีธิดามากเช่นเดียวกับองค์สุลต่านแต่เพราะหลังประสูติเจ้าชายเรฮานมานางก็มีสุขภาพไม่แข็งแรงหมอจึงสั่งห้ามนางตั้งครรภ์อีก นางเคยบอกให้องค์สุลต่านมีชายาอีกองค์แต่องค์สุลต่านก็ทรงรับสั่งว่าไม่จำเป็นมีพระนางเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้วเรื่องพระธิดาไม่จำเป็นเลยทำให้นางรักพระสวามีมาก
“พวกเจ้าสวยน่ารักและอ่อนหวานทำให้ข้านึกอยากมีลูกสาวบ้างแต่ก็ไม่ไว้ซะแล้ว” ราจาบอกพร้อมกับยิ้มอย่างขบขัน
“แต่พระนางก็กำลังจะได้มีจริงๆไม่ใช่หรือเพคะ” จิรดาหันมามองทางชุติกาญจน์
“จริงของเจ้า น่าเสียดายที่เราไม่มีโอรสอีกสักองค์จะได้ขอเจ้ามาเป็นลูกสะใภ้ด้วยอีกคน”
“อย่าเลยเพคะขืนให้หม่อมฉันสองคนอยู่รวมกันมีหวังวังแตกแน่เพคะ” จิรดาหัวเราะออกมาบ้าง ชุติกาญจน์หยิกเข้าที่ต้นแขนของจิรดา
“โอ๊ย เจ็บนะกาน” จิรดาถอยหนี
“หึ หึ อยู่กับพวกเจ้าสบายใจดีจังเราหัวเราะได้บ่อยขึ้นจริงๆ” ราจาหัวเราะและเดินมานั่งที่เก้าอี้ก่อนจะสั่งให้นางกำนัลพาหญิงสาวทั้งสองไปแต่งตัวที่ห้องแต่งตัว
ชุติกาญจน์ยืนมองตัวเองในกระจกบานใหญ่ที่นางกำนัลจัดมาให้เสื้อผ้าที่เธอใส่ดูแล้วเหมือนกับชุดของสาวอาหรับในเทพนิยายที่เธอเคยอ่านตอนเด็กๆเลยตัวเสื้อมีสีชมพูเข้มแค่ครึ่งตัวเผยช่วงหน้าท้องขาวเนียน กางเกงเป็นแบบขาบานจั๊มตรงขอเท้าและช่วงเอวมีสีชมพูอ่อนบางพลิ้วแต่มีซับในสีขาว เครื่องประดับทั้งสร้อยคอ ต่างหู สร้อยข้อมือเป็นทองทั้งหมดและปิดท้ายด้วยผ้าคลุมหน้าบางใสสีชมพูอ่อน ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางค์เล็กน้อยทำให้ใบหน้าเนียนดูงดงามมากยิ่งขึ้น
“งามมากคะคุณ”ยานะมองหญิงสาวอย่างชื่นชม
“มันสวยแน่นะคือว่าฉันไม่เคยแต่งแบบนี้เลย แล้วเพื่อนฉันล่ะจะแต่งแบบนี้หรือเปล่า” ชุติกาญจน์ถามถึงจิรดาที่อยู่ที่ห้องแต่งตัวอีกห้อง
“ค่ะ งามที่สุดเลย เพื่อนของคุณก็แต่งแบบเดียวกันค่ะผู้หญิงสาวที่นี่จะแต่งตัวแบบนี้ทุกคนค่ะแต่จะมีอะบียาคลุมอีกชั้นเมื่อออกจากห้องไม่ต้องอายนะคะ ออกไปด้านนอกกันเถอะค่ะพระชายาคงรอดูคุณอยู่”
“อะบียาคืออะไร” หญิงสาวถามอย่างไม่เข้าใจ
“ชุดคลุมค่ะเป็นเสื้อตัวยาว”ยานะบอกและจูงมือหญิงสาวออกมาจากห้องแต่งตัวซึ่งอยู่แยกกับห้องนอน
“งามมาก เรฮานเห็นคงต้องตกตะลึงแน่ ไม่สิไม่เฉพาะเรฮานเท่านั้นหนุ่มๆในงานต้องมองเจ้าเป็นตาเดียวกันแน่” หญิงสูงศักดิ์ลุกขึ้นและมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพอใจ
“พระชายาหม่อมฉันไม่ออกไปแบบนี้นะเพคะ” จิรดาเดินออกมาจากอีกห้องพร้อมกับใบหน้าที่บึ้งตึงแล้วก็เปลี่ยนเป็นตะลึงเมื่อเห็นชุติกาญจน์ยืนอยู่อย่างสง่างามส่วนอีกฝ่ายก็ยืนมองมาทางเธออย่างตะลึงเช่นกัน
“สวยจังเลยกาน นั่นเธอแน่เหรอ” จิรดาเดินเข้ามาหาหญิงสาว
“ใช่สิยะ เธอก็สวยจนจำไม่ได้เลยชุดสีน้ำเงินเหมาะกับเธอมากนะดาขับผิวขาวขึ้นดีจัง”
“พวกเจ้าสวยทั้งคู่นั้นแหละ” ราจาโบกมือเรียกสาวใช้ให้เอาเสื้อคลุมมาให้หญิงสาวทั้งสอง
“พวกเจ้าเอาเสื้อคลุมมาให้ทีใกล้ได้เวลาแล้ว” นางกำนัลรีบทำตามส่งเสื้อคลุมให้หญิงสาวทั้งสองสวมทับ
“พร้อมกันหรือยัง” องค์สุลต่านรับสั่งถามเมื่อเข้ามาที่ห้องของพระชายา
“โอ้ นี่มันบนสวรรค์หรือไงดูสิเทพธิดาเต็มไปหมด” อาซิมหัวเราะอย่างชอบใจ
“เจ้าพี่ล่ะก็ดูสิหน้าแดงกันหมดแล้ว”
“คงไม่คุ้นกับชุดแบบนี้แต่ก็ขอบใจที่พวกเจ้าแต่งเพื่อข้า” ชายสูงวัยยิ้มอ่อนโยน
“พวกหม่อมฉันก็ดีใจเพคะที่มีส่วนมาถวายพระพรให้พระองค์ในครั้งนี้” ชุติกาญจน์ย่อตัว
“เดี๋ยวท่านทูตไทยก็คงจะมา เห็นว่ามีเรื่องจะคุยกับพวกเจ้าด้วย” อาซิมบอกก่อนจะประคองชายาออกไปที่ท้องพระโรงกลาง หญิงสาวทั้งสองจึงเดินตามไปด้วย
ท้องพระโรงกลาง
องค์สุลต่านนั่งอยู่บนบัลลังก์สีทอง ด้านขวามือของพระองค์คือเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางทั้งหลายที่เป็นผู้ชายและด้านซ้ายมือก็คือพระชายา เชื้อพระวงศ์ที่เป็นหญิงและนางกำนัล ชุติกาญจน์และจิรดาก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย
“พี่แทบไม่เชื่อสายตาเลยนางงามมากนะวันนี้เป็นพี่ๆจะไม่ลังเลเลยที่จะต้องแต่งกับนาง” มาริคกระซิบบอกน้องชาย
“งั้นท่านพี่ก็แต่งแทนข้าสิ ข้าไม่สนใจความงามภายนอกนั่นหรอก” เรฮานบอกและเบนสายตาไปทางอื่น
“ระวังเถอะคนอื่นจะคว้าไป เจ้ายาจิลมันมองนางยังกับจะกลืนกิน” คำพูดของพี่ชายทำให้ชายหนุ่มหันไปมองยาจิลญาติผู้พี่ตาขวาง ทำให้มาริคแอบลอบยิ้ม เขาเข้าใจน้องชายดีที่สุดตั้งแต่หญิงผู้นั้นเดินเข้ามาน้องชายของเขาก็มองตาแทบไม่กระพริบแต่ความแค้นครั้งเก่าทำให้ปิดกั้นจิตใจจากความรัก เขาเองก็รู้ดีว่าการสูญเสียสิ่งที่รักมันเจ็บปวดเพียงใดแต่เขาจำเป็นต้องแต่งงานอีกครั้งเพื่อจะได้ขึ้นครองราชแทนพระบิดาที่จะสละราชสมบัติในอีก 2 ปีข้างหน้า
ชุติกาญจน์มองเจ้าชายเรฮานอย่างลืมตัวเช่นกันจนจิรดาต้องลอบยิ้ม “ยิ้มอะไรดา” หญิงสาวถามเมื่อหันมาเห็นเพื่อนสาวยิ้มและมองมาทางตนเอง
“เปล่าอยากยิ้มก็ยิ้ม” อีกฝ่ายตอบและหันไปมองทางอื่นแทน ชุติกาญจน์จึงหยิกที่สะโพก
“อุ้ย !” จิรดาอุทานออกมาเบาๆเอามือลูบที่สะโพก
“สมน้ำหน้า” ชุติกาญจน์ยิ้มเยาะ
“ฝากไว้ก่อนแล้วกัน” จิรดายิ้มใส่ตาเพื่อนรักและหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งข้างๆกับเจ้าชายเรฮาน เธอจำได้ว่าเขาชื่อซาอินวันนี้ดูเขาหล่อมากจนทำให้ใจของเธอเต้นผิดจังหวะได้.แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจเธอเลย
“เฮ้อ..”หญิงสาวถอนหายใจ ชุติกาญจน์มองเพื่อนสาว “เป็นอะไรดาเหมือนหนักใจอะไร”
“เปล่า กานถามหน่อยสิ ถ้าฉันจะสนใจใครสักคนเขาจะสนใจฉันหรือเปล่ากาน” จิรดากระซิบถามเพื่อนสาว
“สวยแบบเธอใครไม่สนใจก็ต้องเป็นเกย์แน่ๆ” หญิงสาวบอก จิรดาได้แต่ยิ้มน้อยๆศรรักคงปักอกเธอเข้าให้แล้วตั้งแต่เห็นชีคซาอินครั้งแรกเธอก็ตกหลุมรักเขาเข้าอย่างจังแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจเธอเลย
พิธีการเริ่มขึ้นโดยองค์สุลต่านประทับยืนขึ้นเหนือบัลลังก์ทุกคนจึงเงียบและมองไปที่พระองค์เป็นจุดเดียวกัน
“เราขอบใจพวกท่านทุกคนมากที่มาอวยพรให้ข้าในวันนี้ข้าดีใจเป็นอย่างมากและวันนี้ก็เป็นวันดีที่ข้าจะประกาศข่าวสารสำคัญให้ทุกคนได้ทราบ อีก 1 เดือนจะมีอภิเษกสมรสระหว่างของบุตรชายคนเล็กแห่งข้าเกิดขึ้น”
เรฮานและชุติกาญจน์มองสบตากันอย่างอัติโนมัติ ชุติกาญจน์รู้สึกเย็นวาบที่สันหลังเมื่อเห็นสายตาเคียดแค้นมองมายังเธอแต่คนอย่างเธอก็ไม่คิดจะหลบสายตาของใครเช่นกันหญิงสาวมองตอบกลับไปก่อนจะยิ้มให้
“กานเดี๋ยวก็ท้องหรอกมองกันอยู่นั่นแหละ” จิรดาเอ่ยแซว
“บ้าสิ ทำไมฉันจะต้องหลบสายตาเขาด้วยในเมื่อฉันก็ยินดีกับการแต่งงานในครั้งนี้” ชุติกาญจน์หันมาบอกเพื่อน
“เธอแน่ใจแล้วนะว่าต้องการแก้แค้นเจ้าชายแบบนี้” จิรดาถามเพื่อนสาวอีกครั้ง
“แน่ใจสิ” ชุติกาญจน์ตอบอย่างแน่วแน่
งานเลี้ยงฉลองเริ่มขึ้นเมื่อองค์สุลต่านรับสั่งเสร็จ ชุติกาญจน์ถูกเจ้าชายเรฮานดึงตัวออกมาจากห้องจัดเลี้ยงต่อหน้าจิรดาตอนแรกเธอก็คิดจะตามไปแต่ก็เปลี่ยนใจ
“ลองปล่อยไปดีกว่าเผื่อจะมีอะไรดีขึ้น” จิรดารำพึงกับตัวเองและปลีกตัวออกมาจากห้องจัดเลี้ยง
เรฮานดึงข้อมือหญิงสาวออกมาอย่างแรงและไม่คิดปราณีจนอีกฝ่ายนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“ฝ่าบาทหม่อมฉันเจ็บนะ ปล่อยได้แล้วเพคะ” ชุติกาญจน์ดึงข้อมือตัวเองออกมาจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย
“เจ็บเหรอนี่แหละคือสิ่งที่เราต้องการ ทำให้เจ้าเจ็บไง” น้ำเสียงที่ดุดันกับแววตาเกลียดชังแสดงออกมาอย่างเด่นชัด
“โกรธหรือเพคะ หรือว่ากลัวหม่อมฉัน” หญิงสาวทำเสียงเยาะ
“เราเนี่ยนะกลัวเจ้า ช่างน่าขัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ชายหนุ่มหัวเราะออกมา
“แล้วถ้าไม่กลัวทำไมต้องทำสีพระพักตร์ไม่พอใจเมื่อรู้วันแต่งงานล่ะเพคะ” หญิงสาวยังยิ้มเยาะอยู่
“แล้วเจ้าล่ะตกใจเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มย้อนถาม
“หึ ที่ตกใจเพราะไม่คิดว่าวันงานจะมาถึงเร็วขนาดนี้แต่หม่อมฉันก็พอใจมาก”
“งั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวแค่แต่งงานกับเจ้าเฉยแต่เจ้าไม่มีสิทธิ์มาขัดขวางข้าไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น”
“ผิดแล้วเพคะอย่าลืมว่าหม่อมฉันเป็นคนไทยถึงพระองค์จะไม่สนใจหม่อมฉันๆก็ทำให้พระองค์เสียหน้าได้เหมือนกันและยิ่งหม่อมฉันเป็นที่พอพระทัยขององค์สุลต่านและพระชายาด้วยแล้วเรื่องแค่นี้ก็ง่ายสำหรับหม่อมฉันจริงไหมเพคะ”
“หน้าด้านที่สุด ข้าเพิ่งเคยเจอผู้หญิงแบบเจ้าผู้ชายปฏิเสธแล้วยังจะดื้อดึงอยู่อีกหรือเพราะเจ้าต้องการเรียกร้องสิ่งที่เจ้าเสียไป” ใบหน้าคมของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาอยากบีบคอหญิงสาวตรงหน้าเสียให้สาแก่ใจ
“ใช่เพคะ พระองค์ทรงเลือกเอาว่าจะแต่งงานกับหม่อมฉันดีๆหรือว่าจะให้หม่อมฉันเล่าเรื่องที่พระองค์ขืนใจหม่อมฉันที่เมืองไทยให้องค์สุลต่านและพระชายาฟัง เลือกเอาแบบไหนเพคะ” ชุติกาญจน์ยิ้มยั่วอีกฝ่าย
“เจ้าต้องการเงินเท่าไรเพื่อแลกกับการที่เราไม่ต้องแต่งงานกัน” เรฮานบอกอย่างตรงไปตรงมา
“รับสั่งตรงดีนี่เพคะ ตอนนั้นฝ่าบาทให้คนเอาเช็คไปให้หม่อมฉันตั้ง 5 ล้านหม่อมฉันยังไม่เอาเลยศักดิ์ศรีของหม่อมฉันมีค่ามากกว่านั้นเพคะ”
“ผู้หญิงอย่างเจ้ามีศักดิ์ศรีด้วยหรือ”
“เพียะ” ชุติกาญจน์ฟาดฝ่ามือลงไปบนใบหน้าคมของเจ้าชายเรฮานเต็มแรง
“เจ้ากล้าตบเราเชียวเหรอ” ชายหนุ่มหันกลับมา เขาขบกรามเข้าหากันแน่นและดึงตัวหญิงสาวเข้าไปหาก่อนจะกัดลงที่ลำคอของหญิงสาว
“โอ๊ย ปล่อยนะเพคะเจ็บ” หญิงสาวผลักชายหนุ่มออกเต็มแรงและใช้มือลูบที่ต้นคอของตนเอง
“นี่คือการลงโทษที่เจ้ากล้าตบหน้าเราแค่นี่ยังถือว่าน้อย”
“หึ แค่นี่หม่อมฉันไม่ว่าหรอกเพคะดีเสียอีกจะได้มีร่องรอยไปยืนยันกับองค์สุลต่านว่าฝ่าบาทต้องการหม่อมฉันมากแค่ไหน” หญิงสาวยิ้มหวานให้และเดินเข้าหาชายหนุ่มสูงศักดิ์อย่างยั่วยวน
“เจ้า...แล้วเจ้าจะต้องเสียใจที่กล้าเล่นกับคนอย่างเรา” เรฮานผลักหญิงสาวจนล้มลงกับพื้นและเดินหายไปทางท้ายวัง
“เป็นไงบ้างกาน เจ็บมากหรือเปล่า” จิรดาเดินออกมาจากมุมตึกและเข้ามาช่วยพยุงเพื่อนรักให้ลุกขึ้น ชุติกาญจน์เม้มปากมือกำหญ้าที่พื้นไว้แน่น
“ฉันได้ยินหมดแล้วไม่ได้แอบฟังนะแค่จะออกมาสูดอากาศข้างนอกก็เลยได้ยินเข้าพอดี ใจร้ายที่สุดเลย” จิรดาบ่นออกมา
“ฉันไม่เป็นไรฉันมันหน้าด้านหน้าทนอยู่แล้วแค่นี้ไม่เจ็บหรอก” ชุติกาญจน์บอกเสียงเรียบ
“ฉันว่าเธอล้มเลิกวิธีแก้แค้นแบบนี้ดีกว่า เธอมีแต่จะเจ็บตัวดีไม่ดีเธอจะต้องเจ็บปวดมากกว่านี้นะ” จิรดาเตือน
“ขอบใจมากนะดาฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เขายิ่งเกลียดยิ่งโกรธฉันมากเท่าไรฉันยิ่งชอบและสะใจมากเท่านั้น”
“เฮ้อ...ตามใจไปเดินเล่นที่สวนกันไหมฉันไม่อยากเข้าไปข้างในแล้วล่ะเบื่อไม่ชอบด้วย” จิรดาเอ่ยชวนหญิงสาวพยักหน้า
ดอกไม้ที่บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณสองสาวใช้ร่มไม้ใหญ่เป็นที่นั่งคุยกันที่นี่ห่างจากห้องจัดเลี้ยงพอสมควรและเงียบสงบมาก จิรดานอนหงายลงกับพื้นหญ้าอย่างสบายใจ
“ดา..ฉันขอโทษที่พาเธอมาลำบากใจด้วยแบบนี้” ชุติกาญจน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบา
“อย่าคิดมากสิกานรู้ไหมว่าฉันเจอเธอครั้งแรกฉันก็ถูกชะตากับทันทีเลยนะผิดกับญาติแท้ๆของฉันเสียอีก” จิรดาหลับตาลง
“ขอถามอะไรหน่อยสิดา” ชุติกาญจน์ชันเข่าขึ้น
“อะไรล่ะ”
“เธอสนใจคุณซาอินใช่หรือเปล่า”
จิรดาลืมตาขึ้นเธอไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังชุติกาญจน์ “ใช่ แต่เขากับฉันเหมือนอยู่คนละโลก เขาเป็นถึงชีคผู้ยิ่งใหญ่ปกครองคนตั้งมากมายแต่ฉันเป็นแค่เด็กกะโปโลไม่ใช่เจ้าหญิงอะไรไม่คู่ควรกับเขาเลยแม้แต่น้อย” จิรดาฝืนยิ้ม
“ไม่แน่นะดาฉันเห็นชายหนุ่มในงานมองเธอกันเป็นตาเดียวเลย เธอไม่คิดสนใจใครบ้างเหรอ”
“ไม่ล่ะไม่มีใครสะดุดใจฉันได้เหมือนกับเขา เมื่อก่อนฉันไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลยนะกานชีวิตฉันมีแต่เรื่องเรียนเท่านั้นแต่กับคุณซาอินกลับรู้สึกใจเต้นยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก”
“สงสัยเธอจะตกหลุมรักแล้วล่ะ” ชุติกาญจน์หัวเราะ จิรดาจึงลุกขึ้นนั่ง
“หัวเราะฉันไปเถอะระวังตัวเองนั่นแหละจะตกหลุมรักเจ้าชายโดยไม่รู้ตัว”
“ไม่มีทาง”
“เธออย่าลืมสิว่าเธอต้องแต่งกับเขาในอีก 1เดือนแล้วก็ต้องอยู่ห้องเดียวกัน สามีภรรยากันอยู่ใกล้ชิดกันมันก็ต้องมีรู้สึกหวั่นไหวกันบ้างล่ะ” จิรดามองหน้าเพื่อนสาว
“เขาเกลียดฉันเธอก็เห็นอยู่ไม่มีทางที่เขาจะยอมให้งานแต่งเกิดขึ้นหรอก” ชุติกาญจน์ใช้นิ้วจิ้มที่หน้าผากของจิรดา
“หึ หึ ฉันอยากรู้จังระหว่างสิงห์ทะเลทรายอย่างเจ้าชายกับแม่สิงห์สาวชาวไทยใครจะชนะ” จิรดาหัวเราะชอบใจแต่การสนทนาของทั้งสองก็ต้องจบลงเมื่อมีชายหนุ่มเดินออกมาจากพุ่มไม้ใหญ่ หญิงสาวมองหน้ากันเพราะไม่เคยเห็นหน้าเขาเลย
“สวัสดีครับสาวน้อยหรือว่าจะเป็นเทพีลงมาจุติเพื่อแกล้งผม” ยาจิลเดินเข้ามาหาหญิงสาวทั้งสอง ชุติกาญจน์และจิรดาลุกขึ้นยืนพร้อมกัน
“คุณเป็นแขกที่มาวันนี้หรือคะ” ชุติกาญจน์เอ่ยถามอย่างเป็นมิตร
“ครับ ผมขอแนะนำตัวนะครับผมชื่อ ยาจิล อันลามายา ซินบาลัค” ชายหนุ่มยิ้ม
“คุณเป็นอะไรกับคุณซาอินหรือคะ” หญิงสาวถามอย่างสนใจ
“ผมเป็นน้องชายของเขาครับ” ชายหนุ่มตอบ
“ดิฉันชื่อ...” ชุติกาญจน์จะแนะนำตัวแต่เขารีบพูดขึ้นก่อน
“ไม่ต้องหรอกครับผมรู้ว่าคุณเป็นคู่หมั้นของเรฮาน เขาโชคดีมากที่มีคู่หมั้นที่สวยราวกับเทพีแบบนี้” ยาจิลส่งสายตากรุ่มกริ่มมายังหญิงสาว จิรดาไม่ชอบสายตาที่ชายหนุ่มมองมายังชุติกาญจน์เลยเขาควรจะให้เกียรติเธอมากกว่านี้
“เรากลับไปข้างในกันเถอะกาน” จิรดาเอ่ยชวนและจูงมือหญิงสาวเดินหนีชายหนุ่มแต่อีกฝ่ายก็มาดักหน้าไว้
“เดี๋ยวสิครับผมอยากคุยกับคุณไม่รู้ว่าคุณไปชอบเจ้าเรฮานได้ยังไง เสือผู้หญิงเชียวนะครับคุณไม่กลัวเหรอครับ”
ชุติกาญจน์ขมวดคิ้วเธอชักไม่ชอบหน้าผู้ชายคนนี้เสียแล้ว “แต่เขาก็อาจจะมีข้อดีอยู่คนเรามีทั้งข้อดีและข้อเสียขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองข้อไหนของเขาเท่านั้นแล้วคุณล่ะคะมีข้อดีมากหรือข้อเสียมากคะ” ชุติกาญจน์ย้อนถามเล่นเอาชายหนุ่มหน้าเจื่อน จิรดายิ้มกับคำพูดที่สวนกลับไปของเพื่อนสาว
“พวกเราขอตัวนะคะ” จิรดายิ้มใส่หน้าชายหนุ่มก่อนจะเดินเคียงไปกับชุติกาญจน์ ยาจิลได้แต่มองอย่างไม่พอใจ
“ไม่ธรรมดาอย่างที่ท่านอาบอกจริงๆแต่แบบนี้สิน่าสนใจเหมือนม้าพยศดี” ชายหนุ่มลูบคางสากไปมาก่อนจะเดินตามหญิงสาวทั้งสองกลับไปที่งานเลี้ยง