ตอนที่ 6 ต่างแดน
เพ็ญพักตร์นั่งหน้างอมาตลอดทางกลับบ้านของเธอ แฟนหนุ่มหันไปมองหน้าแฟนสาวอย่างเห็นใจ “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับคนดี”
“ไม่ให้พักตร์โกรธได้ไงคะ คุณแม่ของคุณพูดจาเหมือนกับด่าพักตร์ตรงๆถึงท่านจะไม่เอ่ยชื่อก็ตามพักตร์รู้ว่าท่านไม่ชอบพักตร์” เพ็ญพักตร์หันมาระบายอารมณ์ใส่กับชายหนุ่ม วราวุธจับมือหญิงสาวขึ้นมากุมไว้
“โธ่...พักตร์ครับ ท่านก็พูดแบบนั้นเองอย่าไปถือสาท่านเลยนะครับ ผมรักพักตร์นะครับและจะรักตลอดไปด้วยเอาแบบนี้แล้วกันถ้าแต่งงานกันแล้วเราก็ย้ายออกไปอยู่บ้านของเรา”คำพูดของชายหนุ่มทำให้เพ็ญพักตร์ยิ้มออกมาได้
“จริงหรือคะ แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนล่ะคะ”
“ผมซื้อบ้านเอาไว้หลังหนึ่งอยู่ในตัวเมืองเพราะคิดว่าจะเอาไว้เป็นเรือนหอของตัวเองและผมก็คิดถูก” วราวุธมองหญิงสาวนัยน์ตาพราว เพ็ญพักตร์ยิ้มอย่างเอียงอายก่อนจะเอียงหน้าไปหอมแก้มของชายหนุ่ม
“เราไปต่อที่คอนโดของผมนะครับที่รัก” ชายหนุ่มยิ้ม
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำและยิ้มหวานให้เขา วราวุธกระหยิ่มในใจเขาเองก็พอใจในตัวของหญิงสาวคนนี้มากทั้งสวยและเร่าร้อนที่สำคัญยังเป็นถึงหลานสาวคุณหญิงน้อมจิตเศรษฐีนีของจังหวัดเชียงใหม่ครอบครัวของเขากำลังประสบปัญหาเรื่องเงินเพราะพิษเศรษฐกิจในปัจจุบัน ถึงจะมีเชื่อเจ้าทางเหนือก็ตาม เงินทองที่มารดาของเขาเอาไปเล่นการพนันแล้วเสียเกือบทุกครั้งแถมธุรกิจของบิดายังขาดทุนอีกด้วย เขาจึงต้องการเงินเพื่อมาช่วยพยุงฐานะทางครอบครัวของเขาและหล่อนก็คือเหยื่อคนสำคัญของเขา เขานึกเคืองมารดายิ่งนักที่พูดจาให้หญิงสาวไม่พอใจ ดีที่เขาใช้คำหวานพูดปลอบโยนเอาไว้เขารู้ดีว่าหญิงสาวอย่างเพ็ญพักตร์ต้องใช้การเอาใจและตามใจเหมือนกับเด็กๆเขารู้จุดอ่อนข้อนี้ดี ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนทิศทางจากทางไปบ้านของหญิงสาวเป็นทางไปคอนโดมีเนียมของเขาที่ออกไปทางชานเมือง
แล้ววันที่ชุติกาญจน์และจิรดาต้องเดินทางไปคูลฮาร์นก็มาถึงสองสาวลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้าเพื่อเตรียมพร้อมเดินทางพวกเธอต้องไปถึงสนามบินให้ทันเวลา 3 โมงเช้าเพื่อขึ้นเครื่องบินส่วนตัวที่ทางคูลฮาร์นส่งมารับ ชุติกาญจน์และจิรดาเดินเข้ามากราบประภาสและวรรณนาที่ห้องรับแขก
“กำลังร่ำลากันอยู่เหรอ” คุณหญิงน้อมจิตพูดเหน็บก่อนจะเดินไปนั่ง
“คุณแม่ครับ” ประภาสเรียกมารดาเพื่อห้ามปราม
“ป้าขอให้หนูทั้งสองเดินทางด้วยความปลอดภัยและทำงานได้สำเร็จ” วรรณนาอวยพรหลานสาว ชุติกาญจน์ก้มกราบอีกครั้งก่อนจะหันไปยกมือไหว้คุณหญิงน้อมจิตที่นั่งทำเป็นไม่สนใจและหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
“ไปเถอะหลานเดี๋ยวจะสาย”ประภาสบอกกับหลานสาวทั้งสองเมื่อเห็นว่ามารดาของเขาไม่ได้สนใจที่จะอวยพรให้กับหญิงสาวทั้งสอง ชุติกาญจน์ลุกขึ้นและเดินคู่ไปกับวรรณนา จิรดาหันไปมองทางผู้เป็นย่าก่อนจะคลานเข้าไปแล้วก้มกราบที่เท้าแต่อีกฝ่ายกับชักเท้าหนี
“ถึงคุณหญิงจะไม่นับดาเป็นหลานแต่คุณหญิงก็เป็นผู้ใหญ่กำเนิดพ่อของดา ดาขอโทษที่เถียงและทำให้คุณหญิงโกรธ ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะคะ” หญิงสาวลุกขึ้นและเดินนำหน้าประภาสออกไป
เพ็ญพักตร์จอดรถพอดีเมื่อหญิงสาวทั้งสองเดินลงมาจากบ้านเพื่อจะไปขึ้นรถ วรรณนายืนมองลูกสาวอย่างไม่พอใจเพราะเพ็ญพักตร์หายออกจากบ้านไปตั้ง 5 วันเต็มๆมีเพียงโทรศัพท์มาบอกเท่านั้นว่าไปเที่ยวภูเก็ตกับแฟน
“กลับมาได้แล้วหรือยัยพักตร์” ประภาสมองลูกสาวด้วยสายตาที่ไม่พอใจ
“ก็กลับมาแล้วสิคะหรือคุณพ่อไม่อยากให้พักตร์กลับมา” หญิงสาวย้อนถาม
“หยุดหยอกย้อนได้แล้วยัยพักตร์ พ่อกับแม่จะไปส่งน้องๆแกจะไปด้วยหรือเปล่า” วรรณนาทำเสียงดุและถามบุตรสาว เพ็ญพักตร์ทำท่าห้าว
“ไม่ล่ะค่ะพักตร์ง่วง แล้วสองคนนี้ก็ไปแค่ไม่กี่วันทำไมต้องไปส่งด้วยคะ ไม่เห็นจำเป็นเลย”
“ยัยพักตร์ฉันไม่คิดเลยว่าแกจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวขนาดนี้นั้นน้องไปทำธุระแทนแกแท้ๆแกไม่คิดที่จะอวยพรให้บ้างหรือไง” ประภาสเดินลงมาประจันหน้ากับบุตรสาว
“ไม่เห็นจำเป็นเลยค่ะ ไม่เอาแล้วพักตร์ง่วงขอตัวนะคะ” พอพูดจบหญิงสาวก็รีบเดินเข้าไปในบ้าน
วรรณนาและประภาสหันมามองสบตากัน “อย่าไปสนใจพี่เขาเลยนะลูก” วรรณนายิ้มให้ชุติกาญจน์
“ไม่เป็นไรค่ะคุณป้าพี่พักตร์เขาคงเหนื่อย” ชุติกาญจน์หันมายิ้มให้ผู้เป็นป้า
“งั้นเราก็ขึ้นรถเถอะเดี๋ยวจะสาย” ประภาสบอก ทั้งหมดจึงก้าวขึ้นรถมุ่งตรงไปยังสนามบินกลางของจังหวัดเชียงใหม่
สนามบินกลางเชียงใหม่
ประภาสและวรรณนาโอบกอดหลานสาวของตนเองด้วยความห่วงใย วรรณนาถึงกับน้ำตาคลอเบ้า 2 ปีที่ผ่านมาชุติกาญจน์ไม่เคยไปไหนไกลจากเธอแบบนี้มาก่อนเลย
“คุณป้าอย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะกานไม่สบายใจเลย” ชุติกาญจน์มองหน้าผู้เป็นป้าแล้วยิ้มให้
“ก็หนูไม่เคยไปไหนนานๆแบบนี้นี่ลูกแถมยังไปต่างบ้านต่างเมืองอีก”
“คุณอย่าห่วงเลยผมขอให้ทางสถานทูตไทยที่ประจำอยู่ที่คูลฮาร์นช่วยดูแลพวกเขาให้แล้ว ท่านทูตกับผมรู้จักกันเขารับปากว่าจะดูแลสองสาวให้เรา” ประภาสบอกและทำให้ทั้ง 3 คนใจชื่นขึ้นมาได้
“เอาล่ะคนของเขาเดินมาตามแล้วเราไปหาเขากันเถอะ” ประภาสพาทั้งหมดเดินไปที่เครื่องบินโดยสารขนาดกลางที่จอดอยู่ที่ลานเวย์ ตรงบันไดเดินขึ้นเครื่องมีชายหนุ่มใส่สูทผิวคล้ำ 2 คนยืนรออยู่ ประภาสกล่าวทักทายเป็นภาษาอังกฤษ ชายทั้งสองมองมาทางหญิงสาวทั้งสองก่อนจะหันไปคุยกับประภาสต่อ
“ได้เวลาแล้วลูก” ประภาสหันมาบอกหลานสาวทั้งสอง
“เขาไม่พอใจพวกเราหรือเปล่าคะคุณลุง” จิรดาถามอย่างสงสัย
“เขาแปลกใจที่เห็นหนูทั้งสองคนเขาก็เลยสงสัยว่าใครคือคู่หมั้นของเจ้าชายแต่ลุงบอกเขาไปแล้ว”
“คุณแน่ใจนะคะว่าหลานของเราจะปลอดภัย” วรรณนาถามย้ำสามี
“แน่ใจสิ” ประภาสโอบไหล่ภรรยาเอาไว้ ชุติกาญจน์และจิรดาจึงยกมือไหว้ผู้อาวุโสทั้งสองอีกครั้งก่อนจะเดินหายเข้าไปในตัวเครื่อง
“เชิญคุณทั้งสองนั่งตรงนี้ก่อนพอเครื่องขึ้นแล้วค่อยเข้าไปพักผ่อนที่ห้องด้านใน” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น สองสาวพยักหน้ารับและนั่งลงที่เก้าอี้และรัดเข็มขัดนิรภัย อีก 2 นาทีต่อมาเครื่องก็ทยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
“ผมขอแนะนำตัวก่อนผมชื่อ ยัสซา ส่วนคนนั้นชื่ออับดุล พวกเราเป็นองครักษ์ขององค์สุลต่านอาซิม” ยัสซาแนะนำตัวเองเมื่อพาหญิงสาวทั้งสองเข้าไปนั่งที่ห้องรับแขกภายในตัวเครื่อง จิรดามองไปรอบๆทุกอย่างที่ห้องนี้จัดเหมือนกับห้องรับแขกตามบ้านไม่มีผิดข้าวของเครื่องใช้มีอยู่อย่างครบครัน ชุติกาญจน์สะกิดจิรดาเมื่อยัสซามองอย่างสงสัย
“พวกเราเพิ่งเคยนั่งเครื่องบินส่วนตัวเป็นครั้งแรกน่ะค่ะ” จิรดาตอบยิ้มๆ
“พวกคุณเป็นแขกพิเศษจึงได้รับโอกาสนี้” อับดุลมองหน้าหญิงสาวด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจ
“ค่ะ ขอบคุณพวกคุณมากค่ะ” ชุติกาญจน์ยิ้มให้องครักษ์ทั้งสอง
“เป็นหน้าที่ของพวกเราเชิญพักผ่อนกันตามสบายนะครับ” อับดุลตอบและเดินออกไปนอกห้อง ยัสซาหันมาโค้งหญิงสาวทั้งสองก่อนจะเดินตามอับดุลออกไป สองสาวมองดูวิวด้านล่างจากหน้าต่างเครื่องบินอย่างเพลิดเพลินถึงจะเป็นการเดินทางแบบนี้ครั้งแรกแต่พวกเธอก็ตื่นเต้นไม่ใช่น้อย จนเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงอาการง่วงก็เกิดขึ้นทั้งสองจึงเผลอหลับไปและมารู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อยัสซาเข้ามาปลุกให้พวกเธอออกไปนั่งที่เก้าอี้ด้านนอกอีกครั้ง
“เรากำลังจะลงจอดครับ” เขาพูดสั้นๆแล้วเดินไปนั่งที่ของตนเอง อีก 5 นาทีต่อมาล้อเครื่องบินก็แตะกับลานเวย์ของสนามบินคูลฮาร์น ใจของสองสาวเต้นระทึกด้วยความกังวลต่อเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในภายหน้า
หญิงสาวทั้งสองถูกพาไปที่ห้องรับรองพิเศษเพื่อพักผ่อนก่อนจะเดินทางเข้าไปในพระราชวัง และในห้องนี่ นายนที
เตชะกิจ เอกอัครราชทูตประเทศไทยประจำคูลฮาร์นได้รอพบหญิงสาวทั้งสองอยู่แล้ว
“ขอต้อนรับสู่ราชอาณาจักรคูลฮาร์นครับ” นทีร้องทักอย่างเป็นกันเอง
“คุณคงเป็นท่านทูตที่คุณลุงบอกสิน่ะคะ” ชุติกาญจน์ยกมือไหว้ และตามด้วยจิรดา
“ครับ” นทีรับไหว้หญิงสาวทั้งสอง
“เชิญพวกคุณนั่งคุยกันไปก่อนทางเราจะส่งข่าวไปทางพระราชวังก่อนว่าคุณ 2 คนเดินทางมาถึงแล้ว” ยัสซาบอกก่อนจะเดินตามอับดุลออกไปจากห้องรับรอง
“ผมยินดีกับคุณด้วยนะครับที่” นทีมองหน้าหญิงสาวทั้งสองคนสลับไปมา
“คนนี้ค่ะที่เป็นว่าที่พระชายาของเจ้าชาย”จิรดาชี้ไปทางชุติกาญจน์ นทียิ้มให้เด็กสาวทั้งสอง
“ขอบคุณค่ะ” ชุติกาญจน์บอกและนั่งลง
“เรียกผมว่าลุงก็ได้ครับเพราะผมเป็นเพื่อนกับคุณประภาส ฟังดูแล้วเป็นกันเองดีครับ” นทีบอก
“หนูคงต้องการคำปรึกษาจากคุณลุงอีกมากเลยนะคะ เพราะพวกเราไม่รู้จักที่นี่เลยคงต้องรบกวนคุณลุงนทีแล้ว” ชุติกาญจน์ยิ้มตอบให้ผู้อาวุโส
“คุณลุงมาประจำที่นี่นานหรือยังคะ” จิรดาถามบ้าง
“ประมาณ 5 ปีแล้ว ลุงคงจะแนะนำได้เท่าที่รู้นะแต่ถ้าเรื่องธรรมเนียมและประเพณีของที่นี่คงต้องศึกษาจากในวังอีกที” นทีบอก แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ก๊อก! ก๊อก!
ยัสซาเปิดประตูเข้ามาและบอกให้หญิงสาวทั้งสองไปขึ้นรถที่เตรียมไว้ “เชิญคุณทั้งสองไปขึ้นรถได้แล้วครับ”
ชุติกาญจน์หันไปมองหน้าจิรดาที่หันมาทางเธอเช่นกัน “ไม่ต้องกลัวลุงจะไปด้วย” นทีบอกและลุกขึ้น
“คงไม่ได้ครับท่านทูตเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครับ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ต้องให้คุณผู้หญิงทั้งสองไปกันตามลำพังก่อนแล้วจะเชิญท่านทูตไปที่หลัง” ยัสซาบอกเสียงเรียบ
“แต่พวกเธอเป็นคนไทยผมต้องดูแลพวกเธอครับ” นทีบอกอีกฝ่าย
ชุติกาญจน์ลุกขึ้นยืน “ไม่เป็นไรค่ะคุณลุงพวกเราดูแลตัวเองได้ค่ะคุณลุงไม่ต้องห่วงนะคะ”
“ใช่ค่ะ” จิรดาลุกขึ้นจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา ยัสซานับถือในความกล้าหาญของหญิงสาวทั้งสอง เขาเพิ่งเคยเจอผู้หญิงกล้าแบบนี้เป็นครั้งแรกจริงๆสายตาดุจนางสิงห์สาวถ้าเขายังวัยรุ่นอยู่ล่ะก็เป็นต้องจีบคนใดคนหนึ่งแน่
“เชิญครับ” ยัสซาเดินนำหน้าหญิงสาวทั้งสองไปก่อนเมื่อถึงรถก็เปิดประตูให้ทั้งสองขึ้นไปนั่งก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งด้านหน้าคู่กับอับดุล ชุติกาญจน์สังเกตข้างทางทั้งสองซึ่งมีบ้านเรือนและตึกสูงตั้งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบตรงเกาะกลางถนนมีต้นปาล์มปลูกอยู่เป็นระยะๆ
“ไม่น่าเชื่อนะคะว่าจะเป็นเมืองแห่งทะเลทราย” ชุติกาญจน์หันไปมองคนที่นั่งอยู่ด้านหน้า
“ถัดจากเมืองหลวงไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตรก็จะเป็นทะเลทรายทั้งหมดครับการเดินทางก็ยังต้องใช้ม้าและอูฐเหมือนเดิมครับ พวกคุณคงได้เห็นถ้ายังอยู่ที่นี่” ยัสซาพูดเสียงเรียบแต่ทำให้ใจของหญิงสาวกระตุกขึ้นมาได้
“กาน เธอคิดว่าเราจะรอดไปจากประเทศนี่หรือเปล่า” จิรดาหันมากระซิบถามเพื่อนสาวที่นั่งข้างๆ
“ฉันก็ไม่รู้แต่ถึงยังไงเราก็ต้องทำตามที่ตั้งใจไว้ไม่งั้นคนที่เดือดร้อนก็คือคุณลุงกับคุณป้านะ” ชุติกาญจน์กระซิบตอบ
“เฮ้อ เอาไงเอากันลงเรือลำเดียวกันแล้วตายเป็นตาย” จิรดาถอนหายใจก่อนจะหันไปมองชายทั้งสองที่นั่งอยู่ด้านหน้า
ชุติกาญจน์หวนคิดไปถึงหนุ่มชาวต่างชาติที่พรากความสาวไปจากเธอถ้าเธอเดาไม่ผิดจากรูปร่างหน้าตาเขาก็น่าจะเป็นชาวอาหรับเหมือนกัน ตั้งแต่คืนนั้นเธอไม่เคยนอนหลับอย่างเต็มตาเลยพอหลับตาทีไรภาพใบหน้าของผู้ชายคนนั้นก็ปรากฏขึ้นมาทุกครั้ง ความแค้นสะสมขึ้นทุกวันจนบางครั้งทำให้เธอต้องนั่งเหม่อลอยและกำมือแน่นเพื่อระงับความแค้นที่มีในใจ
“กาน กาน” จิรดากระซิบเรียกแต่อีกฝ่ายยังเงียบเฉย เธอจึงเขย่าตัวให้อีกฝ่ายรู้ตัว “กาน”
“อะไร” ชุติกาญจน์หันมามองพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“เธอกำลังคิดอะไรอยู่”
“เปล่า ไม่มีอะไร” อีกฝ่ายปฏิเสธ
“ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันเรียกตั้งหลายคำ”
“เปล่าจริงๆจ้ะ ฉันมัวแต่ดูวิวข้างทางเพลินไปหน่อย”
“รู้หรือเปล่าว่าเธอโกหกไม่เก่งเลย เอาล่ะไม่บอกก็ไม่เป็นไรถ้าอยากระบายหรืออยากบอกก็คิดถึงฉันแล้วกัน” จิรดาหันไปมองนอกรถตามเดิม
“ขอบใจจ้ะ” ชุติกาญจน์กระซิบบอก
“ถึงแล้วครับ” ยัสซาหันมาบอกสองสาวที่นั่งอยู่ด้านหลัง ความงามของพระราชวังที่ถูกตกแต่งอย่างดีและการใช้สีที่กลมกลืนทำให้น่ามองยิ่งขึ้น การจัดตกแต่งต้นไม้และดอกไม้ก็จัดวางได้อย่างลง
“สวยงามมากเหมือนกับเรื่องอาหรับราตรีที่ฉันเคยอ่านมาเลย” จิรดากระซิบบอกหญิงสาวอีกคน
“ใช่ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความน่ากลัวเธออย่าลืมสิ”
“คงจะใช่อย่างที่เธอพูด”
“องค์สุลต่านพร้อมด้วยพระชายาและพระโอรสทั้งสองรอคุณทั้งสองคนอยู่แล้วครับที่ห้องรับแขกเชิญตามผมมาด้านนี้ครับ” ยัสซาหันมามองสองสาวที่กำลังคุยกัน
“ค่ะ พาพวกเราไปพบพระองค์ได้เลยค่ะ” ชุติกาญจน์ยืดอกขึ้น เธอพร้อมแล้วไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นแบบไหน จิรดาหันมาพยักหน้ารับ พอรถจอดทหารที่หน้าประตูพระตำหนักก็เข้ามาเปิดประตูรถให้กับหญิงสาวทั้งสอง
“เชิญด้านนี้ครับ” ยัสซาเดินนำทั้งสองเข้าไปด้านในตรงไปยังห้องรับแขกที่องค์สุลต่านและพระชายาพร้อมกับเจ้าชายทั้งสองประทับอยู่ ชุติกาญจน์มือเย็นเฉียบเหมือนกับแช่อยู่ในน้ำเย็น
จิรดาดึงมือหญิงสาวมาจับไว้พร้อมกับยิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย ประตูห้องรับแขกเปิดออกทุกคนภายในห้องหันมามองที่สองสาวเป็นจุดเดียวกัน เจ้าชายเรฮานทรงเบิกพระเนตรกว้างเมื่อเห็นหญิงสาวที่เดินเข้ามา เขาจำนางได้ดีไม่เคยลืม นางคือคนที่เขาขืนใจในคืนนั้นคืนที่เขาเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นผู้หญิงบริการที่ทางโรงแรมจัดมาให้
“เรฮานเป็นอะไรตะลึงเลยหรือไง ว่าแต่คนไหนกันล่ะที่เป็นคู่หมั้นของเจ้า” มาริคกระซิบเรียก
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” เรฮานมองชุติกาญจน์อย่างไม่วางตา เขาอดคิดไม่ได้ว่านางคือคู่หมั้นของเขา ตั้งแต่คืนนั้นจนถึงวันนี้เขาเองก็รู้สึกผิดมาตลอดและอยากขอโทษนางในสิ่งที่เขาทำลงไป
ชุติกาญจน์กวาดสายตามองอย่างผ่านๆผู้ชายทุกคนที่นี่จะสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวทั้งตัวที่เรียกว่าคราฟต้าและโผกผ้าที่ศีรษะสีขาวมีผ้าคาดสีดำ ส่วนผู้หญิงก็สวมเสื้อตัวยาวสีดำถึงข้อเท้าแต่มีสีสันตรงที่มีเครื่องประดับสีต่างๆประดับไว้ที่ข้อมือ มีผ้าคลุมสีดำที่ศีรษะยาวลงมาถึงหลัง ชุติกาญจน์มองเลยไปที่ชายสูงวัยที่นั่งอยู่หัวโต๊ะท่าทางสง่างามมากถึงแม้จะสูงวัยแล้วก็ตาม หญิงสาวละสายตามาหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของเธอ คิ้วเรียวขมวดเข้ากันความรู้สึกชาไปทั่งร่างบังเกิดขึ้น เธอจำผู้ชายคนนี้ได้ดีคนที่ข่มขืนเธอที่โรงแรมคืนนั้น เขาเป็นใครแล้วมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจของเธอ ภาพครั้งเก่าหวนคืนมาอีกครั้งความแค้นเริ่มก่อตัวขึ้นภายในจิตใจของเธอๆจะแก้แค้นเขาไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม เขาจะต้องไม่มีความสุขไปชั่วชีวิตอย่างที่เธอเป็นอยู่ทุกวันนี้ จิรดามองเพื่อนสาวที่ยืนนิ่งกำมือแน่นมองไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ
“กาน ชุติกาญจน์” หญิงสาวกระซิบเรียกเบาๆ ชุติกาญจน์หันมามองเธอ
“เป็นอะไรหรือเปล่าหน้าเธอซีดๆนะ” จิรดาถามอย่างเป็นห่วง หญิงสาวส่ายหน้าเม้มปากแน่น
“ทูลฝ่าบาทหญิงสาวทั้งสองมาถึงแล้วพระเจ้าค่ะ” ยัสซารายงานและถอยหลังไปยืนข้างๆ ชุติกาญจน์และจิรดาถอนสายบัว
“เชิญนั่งก่อน”อาซิมยิ้มให้หญิงสาวทั้งสองพร้อมกับกล่าวเชิญ
“ขอบพระทัยเพคะ” หญิงสาวทั้งสองกล่าวพร้อมกันและนั่งลงที่เก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ให้
“ข้าไม่คิดว่าพวกเจ้าจะมากันสองคน ข้าสั่งให้จัดเตรียมห้องแล้ว”
“ขอบพระทัยเพคะ” จิรดายิ้มให้เล็กน้อย
“การเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง” องค์สุลต่านรับสั่งถามต่อ จิรดาหันไปมองชุติกาญจน์ที่นั่งมองไปยังชายหนุ่มตรงข้ามอย่างไม่วางตา เธอจึงทำหน้าที่ตอบแทนเพื่อนสาว
“ราบรื่นดีทุกอย่างเพคะสะดวกสบายมากเพคะ”
“ข้าจะขอแนะนำให้รู้จัก คนนี้ชายาของข้า” อาซิมเริ่มแนะนำ ชุติกาญจน์และจิรดายกมือขึ้นไหว้พร้อมกัน
“ส่วนด้านนี้คือเจ้าชายมาริค และเจ้าชายเรฮานโอรสของข้า”
ชุติกาญจน์ตกใจอีกครั้งเมื่อรู้ว่าเขาเป็นเจ้าชายและเป็นคู่หมั้นของเพ็ญพักตร์ ความคิดบางอย่างแวบขึ้นมาในหัวสมองของเธอ ‘การแก้แค้นเริ่มแล้วเจ้าชาย’ หญิงสาวคิดอย่างโกรธแค้น จิรดามองชุติกาญจน์อย่างไม่เข้าใจและแนะนำตัวเอง
“หม่อมฉันจิรดาเพคะเราเป็นลูกพี่ลูกน้องกันเพคะ”
“หม่อมฉันชุติกาญจน์เพคะคู่หมั้นของเจ้าชายเพคะ” ชุติกาญจน์ยิ้มที่มุมปากให้กับเรฮาน
“เป็นพี่น้องกันหรือแต่ดูแล้วพวกเจ้าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันมากกว่า” มาริคถามอย่างสงสัย
“หม่อมฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องกันเพคะเกิดปีเดียวกัน ไม่ใช่พี่น้องกันเพคะเป็นญาติกัน” จิรดาเป็นฝ่ายตอบ
“เป็นแบบนี้เอง หน้าตาของพวกเจ้าก็คล้ายกันมากเหมือนกัน” ชายหนุ่มยิ้ม จิรดาไม่ชอบรอยยิ้มของเจ้าชายองค์นี้เลย
“เอาล่ะพวกเจ้าคงเดินทางกันมาคงเหนื่อยและเพลียเราจะให้นางกำนัลพาพวกเจ้าไปพัก” องค์สุลต่านรับสั่งและพยักหน้าเรียกนางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านหลังออกมา
“หม่อมฉันอยู่ห้องเดียวกันได้เพคะ” ชุติกาญจน์รีบบอกเพราะไม่อยากแยกห้องกับจิรดา
“เจ้ากลัวอะไรเหรอ” เรฮานถามเสียงเรียบ หญิงสาวหันมามองตาขวาง
“เรา 2 คนรักกันมากไม่เคยแยกห้องกันนอนเพคะ” หญิงสาวตอบเสียงห้วนๆ
“แต่ที่นี่มีกฎต้องทำตามกฎของเราถ้าอยากจะอยู่ที่นี่” เรฮานยิ้มที่มุมปาก ชุติกาญจน์เม้มปากเข้าหากัน
“ได้เพคะเพราะต่อไปหม่อมฉันก็ต้องอยู่ที่นี่” หญิงสาวยิ้มเยาะให้อีกฝ่ายก่อนจะหันไปยังองค์สุลต่านและพระชายา
“หม่อมฉันทูลลาเพคะ” ชุติกาญจน์และจิรดาลุกขึ้นถอนสายบัวพร้อมกันก่อนจะเดินตามนางกำนัลออกไป
เจ้าชายเรฮานมองตามหลังหญิงสาวไปอย่างไม่พอใจ..นี่ถ้าไม่ใช่พระองค์แต่เป็นคนอื่นก็คงคิดว่าผู้หญิงคนนี้ยังบริสุทธิ์ทั้งที่ไม่ใช่แต่เขาเองที่ทำให้นางต้องมีมลทินแล้วเขาจะทำยังไงดีจะยอมแต่งกับนางหรือว่าจะทำตามที่เขาคิดไว้แต่ผู้หญิงที่ด่าเขาเสียๆหายๆแบบนั้นเขาคงไม่ยอมรับมาเป็นชายาแน่ๆอย่างน้อยก็ให้นางเป็นแค่สนมก็ได้