บทที่ 3
แองจี้ออกจากรถเดินข้ามถนนไปยังประตูด้านหน้า ขณะนั้นเป็นเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน สนามหญ้าหน้าโรงเรียนเต็มไปด้วยเสียงเอะอะเกรียวกราวของนักเรียนตัวน้อยๆ เสียงหัวเราะ เสียงตะโกนนั้นเหมือนจะฉุดรั้งเธอไว้แองจี้อ้อยอิ่งจับตามองดูพวกเด็กๆ ที่กำลังเล่นกันอยู่ มองดูใบหน้าที่ไร้เดียงสาเหล่านั้นอยู่เป็นครู่ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในตัวอาคารเรียน
จุดแรกที่เธอเดินเข้าไปคือห้องอาจารย์ใหญ่ แองจี้รู้สึกใจสั่นเมื่ออาจารย์เลขานุการลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน ใบหน้าอ้วนกลมของอาจารย์ผู้นั้นยิ้มแย้มแจ่มใสแต่บอกแววถามอยู่
“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อ แองจี้...สมิทค่ะ ดิฉันเคยเรียนหนังสือที่นี่ตอนเล็กๆ”
ซึ่งมันก็เป็นความจริงเพียงแค่ครึ่งเดียวเหมือนที่เธอได้ตอบคำถามคนอื่นๆ มาแล้ว แองจี้พยายามบังคับน้ำเสียงให้แจ่มใสไว้ เพื่อปิดบังความรู้สึกตึงเครียดในใจใกล้จะระเบิดออกมา
“ก็เลยอยากจะได้มาเยี่ยมเพื่อระลึกถึงความหลังเก่าๆ นะคะ จะเป็นไรไหมคะถ้าจะขอเดินชมตามท้องเสียหน่อย?”
เมื่อเห็นอาจารย์ผู้นั้นมีท่าที่ลังเลอยู่ แองจี้ก็เสริมว่า
“ดิฉันไม่อยู่นานหรอกค่ะ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำแล้วก็รับรองว่าจะไม่รบกวนหรือล่วงล้ำเข้าไปในห้องไหนเลย”
หลังจากที่พิจารณาตามคำพูดของเธอแล้ว อาจารย์ผู้นั้นก็ยิ้มให้
“คิดว่าคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
แองจี้ตอบอย่างยิ้มแย้ม เดินออกจากห้องนั้น ความตึงเครียดเพิ่มความเขม็งขึ้นในช่องท้อง
ห้องโถงใหญ่ดูจะตกอยู่ในความเงียบ ขณะที่เธอเดินไปตามช่องทางเดินระหว่างตึกนั้นเสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นดังก้องราวจะล้อเลียน วูบหนึ่งที่แองจี้บังเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าเธอควรจะออกไปเสียจากที่นี่ก่อนที่มันจะสายเกินไป ควรจะลืมเสียให้หมดในทุกสิ่งทุกอย่าง ออกไปเสียให้พ้นในขณะที่ยังทำได้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในด้านเหตุผล ความถูกต้อง หรือประสบการณ์ที่ผ่านมาทุกส่วนของประสาทในร่างกายเร่งเร้าให้เธอทำเช่นนั้น แต่ทว่าสัญชาตญาณภายในอันเป็นตัวชักนำมีพลังเหนือกว่ามากมายนัก จนเธอเหลือที่จะต่อสู้หรือขัดขืนได้
ฝีเท้าของเธอชะลอลงเมื่อเดินมาถึงประตูห้องชั้นประถมปีที่ 1 ประตูบานนั้นเปิดกว้างอยู่ แองจี้ลังเลใจอยู่นานด้วยภาวะตึงเครียดที่เกิดขึ้นก่อนที่จะตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องซึ่งขณะนี้ไม่มีใครอยู่เลย แต่ก็มองเห็นชัดว่าความว่างเปล่าในห้องนั้นเป็นเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แองจี้เดินไปตามแถวของโต๊ะเรียน ไล่นิ้วไปตามโต๊ะที่ผ่าน และในยามที่อยู่ในภวังค์เช่นนี้ทำให้เธอมิได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นตรงหน้าห้อง
“ไฮ?”
คำทักทายที่ดังขึ้นมีสำเนียงถามอยู่ในตัวนั้นเป็นเสียงผู้หญิง แองจี้หันขวับไปทันทีอดสะดุ้งตกใจไม่ได้ แต่แล้วก็คลายใจลง เมื่อเห็นผู้หญิงสาวร่างเพรียวเรือนผมสีดำยืนอยู่ตรงหน้าประตู
“มาหามิสเกรฟสหรือคะ?”
“มิสเกรฟส?”
ชื่อนั้นมิได้มีความหมายอะไรกับแองจี้เลย เป็นครูที่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้จึงได้คิดว่าเธอจะต้องมาหาใครคนนั้น
“ค่ะ ก็มิสเกรฟสสอนชั้นประถม 1 นี่คะ”
คำอธิบายนั้นตามมาด้วยการมองแองจี้อย่างสงสัย
“คือดิฉันเห็นคุณเข้ามาอยู่ในห้องนี้ก็เลยคิดว่าคุณคงจะมาหาเธอ”
“เปล่าหรอกค่ะ ดิฉัน...”
แองจี้อึ้งไป แต่แล้วก็ออกเดินช้าๆ ตรงไปยังประตูที่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ ท่าทางจะแก่กว่าแองจี้ไม่กี่ปี
“คือดิฉันเคยอยู่ที่นี่มาก่อนนะคะ”
เธอทวนคำอธิบายซึ่งได้ให้ไว้แก่อาจารย์เลขานุการซ้ำอีกครั้ง
รอยยิ้มอย่างเข้าใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้หญิงสาวผมดำคนนั้นทันที
“อ๋อ...อยากมาระลึกถึงความหลังครั้งเด็กอย่างนั้นใช่ไหมคะ?”
“ค่ะ จะพูดอย่างนั้นก็ได้”
แองจี้คล้อยตาม
“ดิฉันชื่อ มิสซิสลูซี่ กอนซาเลสค่ะ สอนอยู่ชั้นประถมปีที่ 2” ครูสาวแนะนำตัวเอง
“ดิฉันแองจี้ สมิท ค่ะ”
เธออึ้งไป เกือบจะลืมชื่อสกุลเดิมที่เคยใช้มา แม้ว่าไม่มีใครที่นี่จำแองจี้ ฮอลล์ได้ก็ตาม
“คุณมาเยี่ยมญาติหรือคะ?”
คำถามของครูสาวนั้นมิได้บอกถึงความอยากรู้อยากเห็นเพียงแต่แสดงความสนใจฉันมิตรเท่านั้น
เรือนผมสีบลอนด์ยาวสลวยระอยู่บนไหล่เมื่อแองจี้ส่ายศีรษะปฏิเสธ
“เปล่าหรอกค่ะ ฉันอยู่ในระหว่างพักร้อน แล้วก็บังเอิญผ่านมาทางเมืองนี้เท่านั้น”
“แล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนล่ะคะ?”
“บริษัทที่ฉันทำงานอยู่มีคำสั่งย้ายฉันจากสำนักงานในฟีนิกซ์มาอยู่ที่ฮิวสตันได้ 7 เดือนแล้วละค่ะ”
ดูเหมือนจะเป็นคำพูดประโยคแรกที่เธอตอบไปตามความเป็นจริง
“บริษัท เกี่ยวกับอะไรคะ ถ้าคุณไม่รังเกียจ?”
น้ำเสียงของครูสาวผมสีดำผู้นั้นบอกความเกรงใจอยู่ เมื่อนึกว่าตัวเองออกจะถามวุ่นวายเกินไป
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เป็นบริษัทขายเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ชื่อ ดาต้า คอร์ป”
แองจี้รู้สึกสบายใจขึ้นบ้างเมื่อได้พูดถึงเรื่องงาน อย่างน้อยมันก็ไม่ขัดแย้งอยู่ในอารมณ์
“อิเล็กทรอนิกส์...”
คู่สนทนาเบิกตาโพลงด้วยความแปลกใจ เห็นได้ชัดว่ามันห่างไกลจากความคิด ของเธออยู่มาก
“เป็นบริษัทใหญ่นี่คะ”
“ค่ะ แล้วก็เป็นงานที่ท้าทายด้วย”
แองจี้ตอบ
“แถมยังเงินเดือนดีด้วยนะคะ ดิฉันออกจะโชคดีอยู่ที่ได้งานทำทันทีที่เรียนสำเร็จ”
“อริโซน่า ยูนิเวอร์ซิตี้ใช่ไหมคะ?”
“ใช่ค่ะ”
เธอพยักหน้ารับ
“ฉันเรียนเอกคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยนั่น”
“ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่คุณเดินทางกลับมาเยี่ยมหลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ย้ายไปสินะคะ?”
ครูสาวถามขณะที่เดินเคียงข้างกันออกไปยังประตูห้องโถงกลาง
“ก็ทำนองนั้นล่ะค่ะ”
แองจี้แบ่งรับแบ่งสู้ในคำตอบ
“พ่อแม่ฉันเสียชีวิตหมอแล้วรถชนกันในบราซิล ตอนนั้นฉันเพิ่งอายุ 16 เอง พ่อกับแม่เดินทางไปฮันนี่มูนครั้งที่สองนะคะ หลังจากนั้นฉันก็เลยต้องอยู่กับญาติ ไปๆ มาๆ จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย”
“แหม...น่าเห็นใจจริงๆ”
ครูสาวแสดงน้ำใจออกมา
“ค่ะ...เอ้อ...แต่ฉันก็ผ่านมาจนได้”
แองจี้พูดพร้อมกับสูดลมหายใจลึก เหลียวกลับไปมองประตูห้องเรียนที่เปิดไว้อีกครั้ง เธอเพียงแต่มิได้บอกให้ใครได้รับรู้เลยว่าการที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวนั้นมันขมขึ้นและว้าเหว่เพียงไร
“แล้วคุณแวะไปเยี่ยมเพื่อนร่วมโรงเรียนบ้างหรือเปล่าคะ?”
คู่สนทนาของเธอเปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องอื่น ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นความทรงจำที่สดใสกว่า
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ เพราะเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ก็โยกย้ายไปอยู่ที่อื่นกันหมด มีอยู่คนเดียวที่พอจะจำได้คือ แบล๊ควู๊ดเพราะครอบครัวของเขาฝังรกรากอยู่ที่นี่ จะเปรียบก็เหมือนต้นไม้ใหญ่นั่นแหละ”
แองจี้หมายเลยไปถึงต้นโอ๊คในสวนสาธารณะ กู๊ส ไอร์แลนด์ สเตท ปาร์ค ซึ่งมีอายุกว่า 2,000 ปีมาแล้ว
“ค่ะ รู้สึกครอบครัวแบล๊ควู๊ดอยู่ที่นี่มานานมาก”
ครูสาวพูดปนหัวเราะ
“แล้วก็คงจะต้องอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ด้วยทายาทของแบล๊ควู๊ดก็เรียนอยู่ในชั้นที่ฉันสอนนะคะ ชั้นประถม 2”
สีเลือดบนใบหน้าของแองจี้เฝือดลง รู้สึกเข่าอ่อนขึ้นมาทันที คำพูดประโยคนั้นของครูสาวเหมือนจะฉีกทิ้งทำลายเธอให้ขาดออกเป็นเสี่ยง แต่ครูสาวผมดำดูจะไม่รู้ถึงอิทธิพลในวาจาของตัวเอง
“อันที่จริง ถ้าจะเรียกลินดี้ให้ถูกต้องก็จะต้องเรียกว่าทายาทหญิง”
ลูซี่ กอนซาเลสว่า
“ผู้หญิงหรือคะ? ถ้าอย่างนั้นพ่อของแกก็คือเดคแบล๊ควู๊ดสินะ?”
ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในใจทำให้น้ำเสียงที่ถามออกไปกระด้างขึ้นกว่าเดิม ราวกับต้องการคำยืนยัน
“ใช่ค่ะ...”
ลูซี่ขยับปากเหมือนจะพูดต่อ แต่ทันใดเสียงระฆังเรียกนักเรียนให้เข้าห้องก็ดังกังวานขึ้น จึงรออยู่จนเมื่อสิ้นเสียงระฆังแล้วจึงได้พูดต่อ
“ระฆังหนึ่งนะคะ อีก 3 นาทีเด็ก ๆ ทุกคนต้องเข้าห้องแล้ว อีกประเดี๋ยวเถอะเสียงโครมครามจะดังลั่นไปหมดเลย”
เธออธิบายซึ่งพอสิ้นเสียง เสียงฝีเท้าที่วิ่งตามกันมาก็ดังขึ้น
“มิสซิสกอนซาเลสคะ...มิสซิสกอนซาเลส”
เสียงหนูน้อยคนหนึ่งร้องเรียกคุณครู
ขณะที่แองจี้กำลังจะหันไป เธอก็มองเห็นศีรษะของเด็กน้อยคนหนึ่งโผล่เข้ามาใกล้ตัวแล้ว เสียงครูสาวดังขึ้นข้างๆ ตัวว่า
“นี่ละค่ะ ลินดี้ แบล๊ควู๊ดละ”
แองจี้ตะลึงงันมองแม่หนูที่กำลังวิ่งเข้ามาหาครูอยู่เป็นครู่ ความเจ็บปวดรวดร้าวทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจ ในปอด สมองตื้อตันหายใจแทบไม่ออก เรือนผมของแม่หนูสลวยราวไหมข้าวโพดผูกเป็นพวงด้วยริบบิ้นไหมสีทองสองข้าง รูปร่างระหงแบบบาง แต่ผิวพรรณบอกให้รู้ว่าเป็นเด็กที่มีสุขภาพสมบูรณ์และกับดวงตาของแก....ดวงตาคู่นั้นเป็นดวงตาของเดคโดยแท้บริสุทธิ์สดใส เป็นสีเทาเข้ม ล้อมกรอบด้วยแผงขนตาสีดำ
“ดูสิคะว่าหนูได้อะไรมา มิสซิสกอนซาเลส”
ลินดี้แบล๊ควู๊ดคลายมือที่กำอยู่ออกเพื่อให้คุณครูได้ดูสิ่งที่แกถืออยู่ในมือ
“ใบไม้ที่เปลี่ยนเป็นหินไงคะ”
แม่หนูน้อยภาคภูมิใจกับความรู้ของแกยิ่งนัก
“ใช่จริงๆ ด้วย”
ลูซี่ กอนซาเลสตอบหลังจากที่พิจารณาวัตถุชิ้นนั้นแล้ว
“หนูไปพบเข้าโดยบังเอิญค่ะ โชคดีไหมคะ?”
ใบหน้าของแม่หนูบอกความปิติยิ่งนัก
“โชคดีมากเลยจ๊ะ”
ความตึงเครียดในเรือนกายและจิตใจของแองจี้คลายลงจนสามารถจะก้มลงมองแม่หนูได้
“ขอฉันดูหน่อยได้ไหมจ๊ะ ลินดี้?”
น้ำเสียงของเธอถูกบังคับให้แจ่มใสขึ้น