บทที่ 1
เส้นทางหลวงสายนั้นทอดตัวเหยียดยาวเป็นแนวโค้งไปตามภูมิภาพของสกีเบซิ่น พื้นน้ำราบเรียบ สะท้อนสีครามสดใสของท้องฟ้าแห่งมอนตาน่าเป็นประกายเลื่อมลายระยับ แองจี้ ฮอลล์ชะลอรถพินโตสีน้ำเงินของเธอลง การกระทำนั้นมิได้หมายถึงว่า เธอได้ขับรถเข้ามาใกล้ย่านธุรกิจแห่งร็อคพอร์ทหรือว่าจะต้องขับในอัตราความเร็วที่กำหนดไว้ ขณะที่เธอหมุนกระจกหน้าต่างข้างคนขับลงนั้นกลิ่นไอแห่งท้องทะเลก็โชยผ่านเข้ามา นกนางนวลตัวหนึ่งกรีดร้องเสียงแหลม ซึ่งเป็นเสียงที่แตกต่างกว่าเสียงของยวดยานที่สัญจรอยู่บนท้องถนนมากนัก
มือที่จับอยู่บนพวงมาลัยรถกำแน่นจนข้อนิ้วเป็นสีขาว เมื่อถึงทางแยกบนถนนสายนั้น แองจี้เลือกใช้เส้นทางสายธุรกิจแทนที่จะใช้เส้นทางที่ตัดออกสู่นอกเมือง เธอจอดรถลงตรงแห่งแรกที่พอจะหาที่จอดได้ แต่ยังคงนั่งนิ่งอยู่หลังพวงมาลัยนั้นเป็นเวลานาน จับตาดูภูมิภาพซึ่งแทบจะมิได้เปลี่ยนแปลงเลยตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา
ใครคนหนึ่งเดินมาตามบาทวิถี และหันมามองในรถอย่างแปลกใจซึ่งปลุกให้แองจี้ตื่นจากภวังค์ และนึกขึ้นมาได้ว่า เธอได้นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานานเกินไปแล้ว เอื้อมมือไปดึงกุญแจรถออกเหลือบมองออกไปทางหน้าต่างเพื่อดูรถที่ตามมา ก่อนที่จะเปิดประตูก้าวลงโดยที่ไม่สนใจที่จะล็อกประตูด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่าไม่มีรถวิ่งมาทางนั้น เธอก็รีบออกเดินข้ามถนน เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะไปตามทางเดิน สะท้อนต้องอยู่ทางเบื้องหลังฟังดูคล้ายกับว่ามีใครคนหนึ่งกำลังตามเธอมา แต่ทว่านั่นมันเป็นเพียงอดีตและความทรงจำเท่านั้น แองจี้หยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินช้าๆ มุ่งหน้าไปทางท่าเรือเล็กๆ กางเกงยีนสีขาวแบบทันสมัยทำให้มองเห็นรูปขาที่เพรียวงามรับกับสะโพกผายกลมกลึง เสื้อแขนสั้นที่ตัดเย็บด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงเนื้อนุ่ม ราวจะเพียงซ่อนเร้นความอวบอิ่มของเนินทรวงไว้เท่านั้น
สายลมอ่อนที่โชยพัดอยู่เหนือพื้นน้ำในอ่าวพากลิ่นไอเค็มของทะเลด้วยราวจะทักทายด้วยความยินดีที่ได้พบกันอีก มีความอ่อนละมุนคละเคล้าอยู่ในสายลมนั้นราวจะซอนไซ้ตัวมันเข้าไว้ในเรือนผมสีอำพันยาวสลวย และกระซิบกระซาบอยู่กับนวลผิวบนใบหน้า ลึกลงไปในใจ แองจี้กำลังต่อสู้อยู่กับความรู้สึกอันลึกล้ำ ในขณะที่ความรู้สึกบนใบหน้าเรียบเฉยราวไว้อารมณ์อย่างประหลาดแม้จะได้ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไม่สำแดงความรู้สึกตึงเครียดภายในออกมา แต่แววทุกข์ใจก็ยังฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่ดำสนิทของเธอ มันบอกทั้งความไม่แน่ใจและความหวาดหวั่น
เมื่อเดินใกล้ท่าเรือเล็กๆ นั้นเข้ามาอากาศที่สดชื่นเริ่มอวลด้วยกลิ่นคาวปลาฉุนๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลิ่นที่มาจากร้านขายเหยื่อที่ตั้งเป็นแถวอยู่ในบริเวณนั้น แต่ก็มีอยู่บ้างที่กลิ่นจากเรือหากุ้งลำเล็กซึ่งจอดอยู่ในอ่าวโชยผสมมา แองจี้เดินเข้าไปใกล้ราวจะถูกพลังบางอย่างฉุดรั้งเข้าไปนกกินปลาสีน้ำตาลเกาะอยู่บนขอบเรือหากุ้งลำหนึ่ง แต่แองจี้แทบจะมิได้สังเกตเห็นมัน หรือแม้แต่นกนางนวลที่บินไขว่อยู่เหนือศีรษะเลย
ช่วงแขนยาวๆ ซึ่งจับอวนเล็กๆ สำหรับลงกุ้งถูกยกขึ้น มีความมั่นใจปรากฏอยู่ แต่ความคิดคำนึงของเธอหวนกลับไปสู่ฤดูร้อนเมื่อ 7 ปีก่อน เมื่อเรือชนิดและขนาดเดียวกันนี้ได้รับการตกแต่งด้วยมาลัยดอกไม้ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในเทศกาลซึ่งเรียกว่า “ชริมโฟรี” ในชุมชนอันใหญ่โตแห่งอารานซัสพาสส์ ซึ่งอยู่ตรงสุดปลายทางของร็อค พอร์ทนี่เอง กรกฎาคมเป็นเดือนแห่งความสนุกร่าเริงที่สุดของฤดูร้อนปีนั้น ทุกคนสามารถจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ประพฤติตนตามบัญชาของซาตาน ยามที่ผู้หญิงอยู่ในวัยเพียง 17 มันเป็นการง่ายที่จะลืมว่ายังมีวันพรุ่งนี้อีก
แองจี้เบือนหน้าเสียจากเรือหากุ้งลำนั้นในทันใด ใคร่ที่จะให้สมองของตนเองเลิกคิดถึงสิ่งที่ตามมาหลังจากงานเฉลิมฉลองในครั้งนั้นแล้ว และเธอก็ได้ใช้เวลาตลอด 7 ปีที่ผ่านมาปิดกั้นความคิดคำนึงนั้นไว้...แต่...ก็แล้วเธอมาที่นี่ทำไมเล่า? แต่แองจี้ก็ปฏิเสธที่จะยอมรับในคำถามนั้นอนุสติต่างหากที่สามารถบัญชาให้ทำไปตามความรู้สึกดั้งเดิมในใจได้
อาจจะเป็นเพราะความตึงเครียดภายในก็ได้ ที่ทำให้เธอยกมือขึ้นปัดปอยผมสีบลอนด์ที่ระอยู่บนนวลแก้มออก ขณะที่แองจี้เริ่มเดินเรื่อยๆ ไปหยุดอยู่ตรงหน้าร้านขายเหยื่อและเบ็ดตกปลา ซึ่งรับจองที่นั่งในเรือหาปลาสำหรับออกท่องเที่ยวด้วย เธอเดินเลยไปอ่านรายการต่างๆ ที่เขียนไว้บนกระดาน แต่ดูเหมือนจะอ่านไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่คำเดียว แสงอาทิตย์ในยามสายกับภูมิอากาศแนวฝั่งทะเลใกล้เขตร้อนของรัฐเท็กซัสค่อนข้างจะร้อน แม้จะอยู่ในเดือนพฤศจิกายนแล้วก็ตาม
“สนใจที่จะออกไปเที่ยวด้วยกันไหมครับ มิส?”
เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นทางด้านซ้าย
“เราโชคดีมากนะครับที่มีเรือหาปลาแบบออกทะเลลึก”
ผู้ชายในวัยกลางคนอ้วนลงพุงคนหนึ่งยืนท้าวศอกอยู่ตรงเค้าท์เตอร์ด้านในห่างจากแองจี้ไม่กี่ก้าว หมวกแก๊ปสีขาววางอยู่บนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนสีดำแกมเทา เสื้อกันฝนสีน้ำเงินที่สวมไว้มิได้รูดซิป ใบหน้าของเขาบอกแววสุภาพ และคล้ำด้วยต้องสู้กับสายลมแสงแดดในท้องทะเลมาเป็นเวลานานปี คำถามนั้นบอกถึงการเริ่มชวนสนทนาฉันมิตรมากกว่าที่จะฉวยโอกาสเอากับเธอ
และแองจี้ก็ตอบคำถามนั้นตามอัธยาศัย
“เห็นจะยังหรอกค่ะ”
เธอยิ้มให้เขาเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าชั้นที่วางเบ็ดตกปลา
“แต่ที่จริงวันนี้ก็เป็นวันที่อากาศดีนะคะ”
เธอแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือศีรษะ
“ดีมากทีเดียวละครับ”
ผู้ชายคนนั้นตอบอย่างเห็นด้วย แต่แล้วก็มองเธออย่างจะถาม
“คุณอยู่แถวนี้หรือครับ หรือว่ามาพักผ่อน?”
ความระแวดระวังบังเกิดขึ้นกับแองจี้ทันที ราวกับเธอจะรู้ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังจะใช้คำถามเป็นเครื่องล่อ
“มาพักผ่อนนะคะ”
แต่แล้วก็รีบเสริมต่อว่า
“ฉันเพียงแต่ผ่านมาเท่านั้นกำลังจะไปคอร์พัสคริสติแล้วก็เลยลงไปที่หุบเขา”
อันที่จริงเธอไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายเกี่ยวกับแผนการเดินทางของตัวเองเลย ที่พูดออกมานั้นเพียงเพื่อจะเตือนตัวเองเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรจะใช้เวลาดูเมืองนี้เสียให้ทั่วก่อนที่จะขับรถเลยไปสิครับ มีอะไรน่าดูตั้งหลายอย่างนะครับ”
ผู้ชายคนนั้นยกย่องในตำบลที่เขาพำนักอาศัยอยู่
“อีกประการหนึ่งตอนนี้ผู้คนยังไม่มากเท่าไหร่นักด้วย อีกสัก 2 อาทิตย์เถอะครับพวก “สโนว์เบิร์ด” ก็จะต้องออกกันมาเต็มชายฝั่งทะเลไปหมด”
หลังจากที่หยุดไปเป็นครู่ เขาก็อรรถาธิบายต่อว่า
“สโนว์เบิร์ดที่ผมพูดน่ะ หมายถึงชื่อที่พวกเราตั้งให้นักท่องเที่ยวที่หลบความหนาวลงมาทางใต้น่ะครับ”
แองจี้ฝืนยิ้มให้เขา
“ฉันเคยได้ยินคำนี้แล้วละ”
และเธอก็ไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาถามต่ออีกว่ารู้มาได้อย่างไร รีบพูดไปถึงแผนการเดินทางท่องเที่ยว
“พอถึงบราวน์สวิลล์ ฉันก็คิดไว้ว่าจะข้ามเข้าไปในเม็กซิโกจะไปซื้อของสักหน่อย ได้ยินคนเขาพูดกันว่าของที่นั่นราคาถูกมากนี่”
“โดยเฉพาะมีของที่พวกผู้หญิงอดใจซื้อไม่ไหวด้วยนะครับ”
ผู้ชายคนนั้นยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
“ฉันก็ว่างั้นละค่ะ”
แองจี้ตอบอย่างยอมรับโดยมีได้สนใจกับความเป็นกุลสตรีตามเพศของเธอ แองจี้หมดความรู้สึกอยากจะคุยต่อ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าทำไมจึงคุยกับเขาเสียยืดยาว เธอจึงเริ่มเดินห่างออกมา
“ฉันเห็นจะต้องไปแล้วละค่ะ”
“ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยนะครับ”
กัปตันเรือหาปลาท่าทางเป็นมิตรผู้นั้นมิได้มีท่าทีจะเหนี่ยวรั้งเธอไว้ ยกมือขึ้นทำท่าคำนับ
“ขอบใจค่ะ”
คำตอบของเธอเป็นไปตามมรรยาทโดยแท้ แองจี้หันหลังเดินกลับไปยังที่ซึ่งจอดรถไว้
ขณะที่เธอยืนรออยู่ตรงมุมโค้งเพื่อจะรอให้รถที่กำลังวิ่งผ่านมาไปเสียก่อน เธอก็พยายามมองใบหน้าของคนขับในรถทุกคันนั้น ด้วยหวังว่าจะได้พบกับใบหน้าของบุคคลที่คุ้นเคยบ้าง แต่เมื่อไม่สมประสงค์เธอก็เลิกมอง... มันเป็นความบ้าแท้ๆ ไม่มีใครหรอกที่จะขับรถคนเดียวอยู่ถึง 7 ปี โดยเฉพาะเดค แบล็ควู๊ดคนนั้น....ลืมเสีย...ลืมเสียเถิด...ลืมเสียให้หมด...คำพูดประโยคนั้นก้องอยู่ในสมอง สะท้อนกลับไปกลับมาเหมือนจะย้ำเตือนตัวเองอยู่