บทที่ 1
สายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายจากภายนอก แข่งกับเสียงสายน้ำจากฝักบัวที่ล่วงหล่นลงมากระทบพื้น มิได้มีผลทำให้ณชญาดารู้สึกหนาวเหน็บ
ตรงกันข้ามเธอยังคงเพลิดเพลินไปกับการอาบน้ำอุ่นสบาย ๆ พร้อมกับการฮัมเพลงรักคลอเบา ๆ อย่างคนอารมณ์ดี
ณชญาดาชโลมครีมอาบน้ำกลิ่นหอมละมุนบนเรือนร่างของตนเองอย่างช้า ๆ รอยยิ้มหวานปรากฏบนใบหน้า เมื่อครีมอาบน้ำกลิ่นหอมกรุ่นสัมผัสไปทั่วทุกอณูของร่างกาย สายน้ำที่ไหลรินรดร่างเพรียวบางอย่างต่อเนื่องนั้น ได้สร้างความรู้สึกสดชื่นให้กับเจ้าของเรือนร่างได้ไม่น้อย
ความสดชื่นที่ได้รับหลังจากการอาบน้ำ คลายความอ่อนเพลียของหญิงสาวไปจนหมดสิ้น ณชญาดานอนไม่หลับก็เลยเดินไปเปิดหน้าต่าง เพื่อรับลมหนาวที่มาพร้อมกับสายฝน เธอยื่นมืออกไปสัมผัสสายฝนที่กำลังเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายราวกับฟ้ารั่ว ทั้งที่ย่างเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่า ‘ฝนหลงฤดู’
บรรยากาศเงียบสงบ ราวกับโลกหยุดเคลื่อนไหวของไร่แห่งนี้ทำให้เธอนึกถึง ชายหนุ่มท่าทางป่าเถื่อนที่เป็นผู้นำเธอมาที่นี่
เขาเป็นใครกันนะ? ณชญาดาถามตัวเองในใจ
หลังจากโดนคำวิจารณ์จากบรรณาธิการว่าเป็นนักเขียนข้อมูลกูรู และนั่งเทียนจินตนาการทำให้ผลงานที่ออกมาไม่สามารถทำให้คนอ่านอินไปกับความรู้สึกได้ ณชญาดานักเขียนโลกสวยที่คิดอยากจะหาประสบการณ์จากชีวิตจริง และสถานที่จริง เธอจึงตัดสินใจควบหนูแดงคันเก่าขับจากกรุงเทพฯ มุ่งสู่ภาคเหนือหวังเติมเต็มประสบการณ์ชีวิต
และดูเหมือนเทวดาจะเห็นใจและเข้าใจจุดประสงค์ของเธอ เปิดโอกาสให้เธอได้เรียนรู้ชีวิต เพราะจู่ ๆ หนูแดงที่ขับมาก็ดับลงโดยไม่ทราบสาเหตุ สตาร์ทเท่าไรก็สตาร์ทไม่ติด ทำให้เธอต้องมายืนโบกรถเพื่อขอความช่วยเหลือ โบกอยู่นานก็ไม่มีรถคันไหนจอด สุดท้ายจึงต้องเสี่ยงตายด้วยการมายืนขวางถนนเพื่อหยุดรถของเขา
เอี๊ยดด!!
“เฮ้ย บรรลัยแล้ว” ชายหนุ่มลืมตัวเผลอสบถออกมา
ธนวรรธน์รีบก้าวลงจากรถเพื่อไปดูร่างของคนเจ็บ ที่จู่ ๆ ก็วิ่งพรวดพราดออกมายืนขวางหน้ารถเขา
“เป็นอย่างไรบ้างคุณ” เขาเอ่ยถาม พร้อมตรงเข้าประคองร่างเล็กบางที่ทรุดไปกองอยู่ที่พื้น ใบหน้าของเธอซีดเผือดด้วยความตกใจ
“ฉันยังไม่ตาย” ณชญาดาพูดรำพึงรำพันเบา ๆ
“ก็ใช่นะสิ นึกยังไงถึงได้เลือกฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้ รู้ไหมว่ามันทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน” ธนวรรธน์กล่าวตำหนิเธอด้วยน้ำเสียงเสียงดุดัน
คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน “ใครบอกว่าฉันจะฆ่าตัวตาย”
“ถ้าไม่อยากตายแล้ววิ่งออกมายืนขวางถนนทำไม”
“ฉันโบกรถเพื่อขอความช่วยเหลือต่างหาก ในเมื่อใช้วิธีอื่นแล้วมันไม่ได้ผล ไม่มีใครจอด ฉันก็เลยต้องเสี่ยงมาใช้วิธีนี้ ได้ผลจริงด้วย”
“ถ้าผมเบรกไม่ทัน คุณได้ไปเฝ้ายมทูตแล้ว คงไม่ได้มายืนเถียงผมแบบนี้หรอก แล้วคุณต้องการให้ผมช่วยอะไร” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าแม้จะไม่บึ้งตึงแต่ก็ไร้รอยยิ้ม
ณชญาดายิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำถามสุดท้ายจากปากของเขา
‘ถึงเขาจะหน้าตาดุไปหน่อย น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยเป็นมิตร แต่ก็ยังพอจะมีน้ำใจอยู่บ้าง’ เธอคิดในใจ
“รถฉันเป็นอะไรก็ไม่รู้ค่ะ จู่ ๆ ก็ดับไป สตาร์ทเท่าไรก็สตาร์ทไม่ติด”
ธนวรรธน์เดินไปดูอาการของเครื่องยนต์ เพราะเขาพอจะมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง เมื่อตรวจเช็คสภาพรถอยู่ครู่หนึ่งก็รู้เลยว่างานนี้ต้องถึงมือผู้เชี่ยวชาญ
“คงต้องให้ช่างมาดู คุณมีช่างประจำไหม”
อีกฝ่ายส่ายหน้าแทนคำตอบ ธนวรรธน์เดินกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือมาโทรหาช่างประจำของเขา เพื่อให้มาตรวจเช็ครถของหญิงสาวเจ้าปัญหาข้างตัว และอยู่เป็นธุระจัดการจนกระทั่งช่างลากรถของเธอไปซ่อมที่อู่
“หมดปัญหาแล้วก็ทางใครทางมัน” ธนวรรธน์หันไปพูดกับหญิงสาวข้างตัว
“เดี๋ยวสิคุณ...” ณชญาดาเอ่ยพร้อมกับเดินลากขาตรงไปยืนดักหน้าเขาไว้
“จะมาทิ้งกันง่าย ๆ แบบนี้ได้ยังไง อย่าลืมสิว่าคุณเป็นขับรถชนฉัน แล้วจะไม่รับผิดชอบอย่างนั้นหรือ”
คิ้วหนาเลิกสูงขึ้น “มันไม่ใช่ความผิดของผม คุณเองต่างหากที่เป็นคนวิ่งมาตัดหน้ารถ และผมก็เห็นว่าคุณก็ปลอดภัยดี ไม่มีอะไรบุบสลาย แล้วจะให้ผมรับผิดชอบอะไร”
“ใครบอกว่าฉันไม่เป็นอะไร ถ้าตาคุณไม่บอดก็ต้องเห็นว่าขาฉันเจ็บ”
“เอาเป็นว่าผมจะพาคุณไปส่งโรงพยาบาล”
“อาการของฉันไม่หนักหนาจนถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ อีกอย่างถ้าคุณพาฉันไปส่งโรงพยาบาล แล้วคุณเกิดชิ่งหนีไปฉันก็แย่นะสิ”
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง”
“คุณก็ต้องรับผิดชอบฉันจนกว่าขาของฉันจะหายเป็นปกติ”
“ทำไมผมจะต้องรับผิดชอบคุณทั้งที่มันไม่ใช่ความผิดของผม”
“ฉันผิดที่ไปยืนขวางรถคุณ จุดนี้ฉันไม่เถียง แต่คุณก็มีส่วนผิดเหมือนกันที่ขับรถชนฉัน”
“ผมเบรกทัน ถ้าเบรกไม่ทันป่านนี้คุณก็คงได้ไปทักทายยมบาลแล้ว” หางเสียงของธนวรรธน์กึ่งประชดประชัน “แต่ฉันเจ็บจริง ๆ หรือคุณไม่เห็นว่าขาฉันเจ็บ”
“เอาเป็นว่าผมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้”
“ฉันไม่ใช่พวกสิบแปดมงกุฎนะคะ และก็ไม่ได้ต้องการเงินค่าชดเชยจากคุณ”
“แล้วต้องการอะไร!” ธนวรรธน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ก็ต้องการให้คุณดูแลฉันจนกว่าขาของฉันจะหายเป็นปกติ” ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอพูดออกไปแบบนั้น
ณชญาดาจ้องมองสีหน้าที่เหมือนจะลำบากใจของเขา
“ผมเป็นผู้ชายนะ และเราก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คุณไม่กลัวหรือไง”
“ไม่กลัว...เพราะฉันเชื่อใจคุณ”
ด้วยความเป็นคนที่มีนิสัยมองโลกในแง่ดี ทำให้ณชญาดาพูดออกไปเช่นนั้น
“ใครสั่งใครสอนให้คุณเชื่อใจผู้ชายง่าย ๆ ทั้งที่เพิ่งจะพบกันได้ไม่กี่ชั่วโมง”
“ฉันพอจะมองออกนะคะว่าคุณเป็นคนดี”
ธนวรรธน์จ้องมองหญิงสาวร่างบอบบางด้วยสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “เอาเป็นว่าผมจะขับรถไปส่งคุณที่บ้าน บอกทางมาแล้วกัน”
“ฉันขับรถมาจากกรุงเทพฯ และก็เพิ่งจะเดินทางมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่มีบ้านหรือมีญาติอยู่ที่นี่หรอกค่ะ”
ชายหนุ่มถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นผมก็จะดูแลคุณ จนกว่าขาของคุณจะหายเป็นปกติ จากนั้นก็ทางใครทางมัน ตกลงไหม”
รอยยิ้มพราวระยับปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยหวานของณชญาดา ทันทีที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้น เธอขอบคุณในความมีน้ำใจของเขาที่เขาไม่ทอดทิ้งเธอ
“ยืนนิ่งอยู่ทำไม...มาขึ้นรถสิ”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินไม่สะดวก ธนวรรธน์จึงเดินตรงไปช่วยหิ้วกระเป๋าสัมภาระของเธอมาใส่ไว้ท้ายรถ จากนั้นก็เดินไปนั่งประจำที่คนขับ และขับเคลื่อนออกไปทันทีที่หญิงสาวขึ้นมานั่งบนรถ ขณะที่ชายหนุ่มขับรถไปด้วยความเร็วสูงก็ไม่มีใครพูดอะไร ต่างคนต่างเงียบ