๑ ค่าตัวกี่บาท (๑)
๑
ค่าตัวกี่บาท
ผู้ชายที่อยู่ตรงข้ามหล่อนท่าทางมาดดี เสื้อผ้าที่สวมใส่บ่งบอกสถานะทางการเงิน ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาเอาการชวนให้ใจเต้น ทว่าตอนนี้เธอไม่มีความรู้สึกเหล่านั้นเพราะพะวงเรื่องที่ต้องไปทำงานให้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นอาจถูกหัวหน้าหักเงินเดือน
ออกมาจากบ้านเธอก็นั่งรถเมล์เพื่อเข้ามายังแหล่งเศรษฐกิจของเมืองหลวง ถึงจะอายุ 24 ปีแต่ก็ไม่มีงานประจำทำ เลือกจะทำพาร์ทไทม์เพื่อหารายได้หลายทาง
การเป็นคนรายได้ต่ำในประเทศที่ค่าครองชีพสูงต้องประหยัดแทบทุกทาง หล่อนอยู่กับมารดาเพียงสองคนและพยายามถีบตนเองให้สูง ทว่าการเงินไม่เอื้ออำนวย แถมยังเรียนไม่เก่งจึงไม่สามารถขอทุนได้ หลังจบมัธยมปลายก็ออกมาทำงานและเรียนมหาวิทยาลัยเปิด เพิ่งจบเมื่อปีก่อนสร้างความภาคภูมิใจให้ครอบครัวยิ่งนัก
คราวแรกก็ไปสมัครงานตามบริษัท แต่เมื่อเห็นยอดเงินที่ได้รับก็ตัดสินใจออกมาทำงานข้างนอกดีกว่า ถ้าจ่ายหนี้หมดค่อยไปทำงานบริษัทเหมือนเดิม
“เรารีบคุยเลยได้ไหมคะ ฉันจะไปทำงาน” ไม่เห็นเขาพูดอะไรสักคำเอาแต่จ้องหล่อนเหมือนต้องการหาคำตอบทางคณิตศาสตร์ ซึ่งหน้าเธอไม่เหมือนข้อสอบสักนิด
มือหนาคว้าแก้วกาแฟมาจิบ ใจเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือ ต่างจากร่างบางที่ร้อนใจกลัวไปทำงานสายต้องยกนาฬิกาขึ้นมองหลายรอบ
หลังลงจากรถเมล์ก็เจอชายหนุ่มมายืนรอที่ป้ายรอรถ เขายื่นรูปของคนที่หล่อนรู้จักให้ดูบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยจึงยอมเดินตาม
คิริน รัฐปรีดา ชายที่อยู่ในรูปและเป็นเจ้าหนี้ของหล่อน ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีความคิดอยากเป็นหนี้ใครเพราะรู้ว่าต้องตามมาด้วยการตรากตรำทำงานอย่างหนัก
ทว่าคราวนี้จำต้องรับความช่วยเหลือเพราะมารดาเป็นโรคลิ้นหัวใจต้องเข้าผ่าตัดเพื่อซ่อมลิ้นหัวใจ ค่ารักษาค่อนข้างแพงทั้งพวกเธอยังไม่มีเงินเก็บ ถึงจะใช้สวัสดิการของรัฐแต่ก็มีค่าใช้จ่ายบางส่วนต้องออกเอง
เหตุผลนี้ทำให้คิรินยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เขาเป็นเจ้านายเก่าของหล่อนที่บริษัท ยังคงติดต่อพูดคุยเสมอ ถ้าไม่เข้าข้างตนเองจนเกินไปก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะชอบเธอ
“ฉันอยากให้เธอเลิกยุ่งกับเพื่อนของฉัน อีกไม่นานคิรินก็ต้องแต่งงานกับคนที่คู่ควร” ไม่ได้เสียใจที่เขากำลังจะแต่งงาน แต่กลับคุกรุ่นในอกที่โดนปรามาสว่าตนไม่คู่ควรกับคิริน
โดยวัดเพียงแค่ฐานะทางสังคม
เค้นยิ้มยอมจำนนต่อความเป็นจริง เธอไม่เหมาะสมกับเขาเพราะคิรินเป็นถึงหัวหน้าฝ่ายการตลาดของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นของครอบครัว อีกไม่นานก็ขึ้นแท่นผู้บริหาร ทรัพย์สินถือครองมีมากกว่าร้อยล้าน
พอหันมามองตนเองที่อยู่บ้านเช่าราคาถูก เสื้อผ้าตามตลาดนัดหรือบางทีก็ใช้มือสอง เงินเก็บไม่มีรายได้หลักหมื่นแต่ละเดือน เหมาะสมแล้วที่จะโดนดูถูกว่าหวังสูงคิดอาจเอื้อมเด็ดดอกฟ้า
ทั้งที่ความจริงหล่อนไม่ได้ชอบเขาสักนิด
“พูดตามความจริงฉันไม่ได้ยุ่งกับเพื่อนของคุณเลยค่ะ ฉันไม่เคยโทรหาหรือขอร้องให้เขามาหาฉันสักครั้ง แต่เป็นเขาเองที่ตามตื้อฉันจนน่าเบื่อ ถ้าจะบอกใครให้เลิกยุ่งก็ไปบอกเพื่อนคุณเถอะ” คำพูดมั่นอกมั่นใจ กับท่าทางไม่แยแสของหล่อนทำให้เลือดขึ้นหน้าคนฟัง
กัดฟันแน่นเมื่อเห็นว่าเธอไม่คิดว่าตนเองเป็นคนผิดที่ทำให้คู่รักร้าวฉาน คิรินมีแฟนที่คบหากันมานานหลายปี และกำลังจะแต่งงานในเร็ววัน ทว่าต้องพังลงเพราะติดพันหญิงอื่นถึงขั้นพูดเรื่องอยากยกเลิกงานแต่ง
ร้อนถึงเพื่อนสนิทอย่างเขียนฟ้า ประดุจเมฆาต้องหาตัวคนที่ทำให้หนุ่มบริหารเปลี่ยนไป
ก็ได้ความว่ากำลังติดพันอดีตพนักงานเก่า ถึงขั้นจ่ายเงินหลายแสนให้หล่อน แถมยังโดดงานเพื่อมาเฝ้าไม่ยอมให้ห่างสายตา ล่าสุดได้ข่าวจะซื้อคอนโดมิเนียมราคาหลายล้านให้อีกต่างหาก
แล้วอย่างนี้จะให้เขายอมได้อย่างไร เพื่อนกำลังจะพังเพราะผู้หญิงเห็นแก่เงินคนเดียว
“ถ้าผู้หญิงไม่เสนอผู้ชายมันคงไม่สนองหรอก ต้องการเท่าไหร่ถึงจะออกจากชีวิตของเพื่อนฉัน อย่างเธอหนึ่งแสนน่าจะพอ” ถูกตีค่าเป็นราคาเงิน มือเล็กกำเข้าหากันแน่นไม่คิดว่าตนจะโดนดูถูกศักดิ์ศรีมากขนาดนี้
ถึงตนจะจนแต่ไม่เคยสักครั้งที่คิดจะขายเรือนร่าง การที่ถูกคนแปลกหน้ามาตีราคาทำให้เดือดจนเกือบหยิบแก้วน้ำมาสาดใส่เขา แต่เพราะยังเกรงสายตาของคนรอบข้างถึงได้กำหนดลมหายใจเข้าออก ระงับโทสะอย่างสุดความสามารถ
“คุณจะโทษผู้หญิงฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ฉันทั้งปฏิเสธทั้งขอให้เขาหยุดมาหาฉัน แต่ทำยังไงได้ล่ะคะสงสัยแฟนของเขาคงน่าเบื่อมากจนเขาต้องมาให้ฉันช่วยคลายเหงา ถ้าคุณต้องการอีกคนก็บอกได้นะ เอาไว้ฉันว่างจะมาเล่นด้วย ถ้ามีธุระแค่นี้ฉันขอตัว!”
หยิบกระเป๋าแล้วกำลังจะลุกจากเก้าอี้ หล่อนไม่ลืมคว้าแก้วน้ำมาถือไว้ทำเอาคนตรงข้ามสะดุ้ง
ทว่าร่างบางเลือกที่จะดื่มน้ำเปล่าจนหมดแล้ววางลงที่เดิม แสยะยิ้มให้ฝ่ายชายอย่างรังเกียจก่อนเอ่ยแนะนำ
“อ้อ แล้วสุนัขที่อยู่ในปากกับความคิดต่ำตมช่วยไปหาหมอรักษาด้วยนะคะ ก่อนที่มันจะส่งกลิ่นเหม็นเน่ามากกว่านี้” รีบเดินออกจากร้านเพราะกลัวไปทำงานไม่ทัน ปล่อยเขามองตามอย่างแค้นเคืองไม่คิดว่าจะโดนตอกกลับเช่นนี้
มือหนากำเข้าหากันแน่น โกรธจนควันออกหูจนต้องคว้ากาแฟมาดื่มรวดเดียวหมด ทำเอาร้อนจนต้องคว้าน้ำเปล่ามาดื่ม
ฝากไว้ก่อนเถอะ เขาจะทำให้ท่าทางหยิ่งยโสของเธอเปลี่ยนเป็นสลดในสักวัน!
“ขอโทษที่มาสายค่ะ ขอโทษค่ะ” วิ่งเข้ามาในโซนห้างสรรพสินค้าแล้วเข้าร้านอาหารเพื่อเปลี่ยนชุดและเตรียมของสำหรับเปิดร้าน หญิงสาวกล่าวกับผู้จัดการที่ดูแลสาขานี้พลางก้มศีรษะสำนึกผิด
ยังดีที่เป็นครั้งแรกจึงโดนตักเตือนแล้วปล่อยให้ไปเปลี่ยนชุด เธอจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกที่รอดตัวไม่ต้องถูกหักเงินเดือนเหมือนเพื่อนที่มาสายประจำ
พลอยบัว เจริญพงษ์ หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาสะสวยที่เลือกมาทำงานพาร์ทไทม์เพื่อจะได้มีเวลาหางานอย่างอื่นทำด้วย มันอาจจะหนักได้เงินน้อยแต่ก็ยังพอจุนเจือครอบครัวที่มีสองคนแม่ลูก
ช่วงนี้เธอให้แม่พักอยู่บ้านไม่ต้องทำอะไรเพราะเพิ่งออกจากโรงพยาบาลได้สองเดือน ต้องดูอาการไปก่อนจึงทำได้เพียงงานไม่หนักอย่างถักกระเป๋าผ้าขาย ได้กำไรใบล่ะสิบยี่สิบบาทพอซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารกิน
หลังทำงานเสร็จก็วิ่งรอกไปงานอีกที่ เป็นพนักงานของร้านเครื่องเขียนในห้างเดียวกัน ถึงจะเหนื่อยแต่พอเห็นเงินก็คุ้มกับหยาดเหงื่อที่เสียไป
“บัว ทางนี้” ตกเย็นก็ไปหาเพื่อนสนิทที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยมัธยมปลายและคอยช่วยหล่อนหางานมาตลอด พวกเธอนัดกินหมูกระทะกันที่ร้านใกล้ห้างสรรพสินค้า
พอเห็นเพื่อนโบกมือก็รีบเดินไปหาพร้อมรอยยิ้มสดใส วางกระเป๋าสะพายไว้เก้าอี้ข้างตน แล้วมองอาหารตรงหน้าตาวาว หล่อนมาถึงช้าเลยบอกให้อีกฝ่ายกินรอไปก่อนเลย
“ขอไปล้างมือก่อนนะ แล้วจะมาจัดชุดใหญ่” รับไปจัดการล้างมือที่ห้องน้ำของร้านแล้วมานั่งกินอาหารกับเพื่อน
ไม่บ่อยที่พวกเธอจะเจอกันเพราะอีกฝ่ายเป็นเซลต้องออกต่างจังหวัดบ่อย แต่ก็มีเพื่อนพ้องและเส้นสายมากพอตัว ทำให้หล่อนได้อานิสงค์ในเรื่องการงานไปด้วย บางคราวก็ได้งานพาร์ทไทม์ช่วงสั้นอย่างการไปนั่งประชุมหรือตอบแบบสอบถามได้เงินสองสามร้อย
“คราวนี้อยู่กรุงเทพฯนานไหม” คีบเนื้อที่สุกแล้วมากิน หิวจนท้องร้องแต่ไม่กล้าหยิบกินอะไรเพราะอยู่ในเวลางาน และคิดว่าตอนเย็นต้องมากินข้าวกับเพื่อนด้วย
อัยยา วิเศษกมล เพื่อนรักเพียงคนเดียวที่ยังติดต่อเสมอ ส่วนคนอื่นก็แยกย้ายไปใช้ชีวิตของใครของมัน ไม่ค่อยได้ติดต่อหรือถามไถ่เท่าไหร่
“อีกสองสามวันอ่ะแก ต้องไปโคราชแล้วก็อุดร เหนื่อยมากแต่พอเห็นเงินก็หายเหนื่อย ฉันบอกให้แกมาทำงานด้วยก็ไม่ยอม” แกล้งทำหน้าบึ้งทั้งที่รู้เหตุผลของเพื่อนว่าไม่ต้องการทิ้งมารดาไว้ตามลำพัง
“แกก็รู้ฉันไปไหนไกลได้ซะที่ไหน” เสียดายโอกาสที่เข้ามาเหมือนกัน แต่หล่อนเลือกครอบครัวที่เหลือเพียงคนเดียว ซึ่งอัยยาก็รับรู้และไม่เซ้าซี้มากมาย
“ฉันรู้จักกับพี่ที่เขาทำงานร้านอาหารอิตาเลี่ยน เขาต้องการพนักงานเสิร์ฟหนึ่งคนฉันก็เลยจัดการแนะนำแกไป เขาอยากให้แกไปหาที่ร้านพรุ่งนี้ตอนบ่าย ว่างไหม” ดวงตาเปล่งประกายและพยักหน้าเร็วยิ่งกว่าตุ๊กตาสปริงหน้ารถ เรียกรอยยิ้มให้คนมองนึกเอ็นดู
“ว่าง ว่างมาก โอ๊ยเพื่อนรัก เพื่อนประเสริฐ ฉันยิ่งกว่าถูกหวยอีกที่คบกับแก ขอบคุณมากนะอัย” รีบลุกจากเก้าอี้แล้วไปสวมกอดเพื่อนอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว
“จริงเหรอ คบฉันยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเหรอ” ถามจบคนฟังก็นิ่งคิด แล้วค่อยผละออกกลับไปยังที่เดิม
“ไม่อ่ะ ถูกหวยรางวัลที่หนึ่งดีกว่า” แกล้งพูดจนได้รับสายตาเขียวปัด ถึงได้ฉีกยิ้มกว้างพลางหัวเราะมีความสุขที่ได้แกล้งเย้า
“ล้อเล่นน่า มีแกสิดีกว่า ขอบคุณมากเลยนะที่หางานให้ฉันตลอด ถ้าแกมีเรื่องอะไรบอกได้เลยฉันพร้อมช่วยเต็มที่” ไม่ว่าอัยยาจะเจออะไรเธอก็พร้อมอยู่เคียงข้างเสมอ แต่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะจัดการทุกอย่างเองได้ ขนาดเจอแฟนนอกใจยังเอาคืนด้วยการถลุงเงินฝ่ายชายจนเกือบหมด แล้วค่อยมานั่งร้องไห้กับเธอเพราะเสียดายเวลาที่คบกับคนพรรค์นั้น
“แกเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ฉันน่ะสบายมากอยู่แล้ว ว่าแต่ทำไมแกไม่คบกับคุณคิรินไปเลยวะ หล่อรวยเอาใจเก่ง แถมเปย์ไม่อั้นอีกต่างหาก” รับรู้เรื่องของฝ่ายชายจากการที่พลอยบัวเล่าให้ฟัง ถึงได้วิเคราะห์แล้วคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนน่าคบหาพอสมควร อย่างน้อยก็เรียนรู้นิสัยใจคอ หรือเป็นคอนเนคชั่นก็ไม่เสียหายอะไร
“เฮ้อ อย่าให้พูดเลย เขามีแฟนอยู่แล้วแถมกำลังจะแต่งงานกันด้วย แล้วเรื่องสดๆ ร้อนๆ ที่ฉันเจอคือเพื่อนของเขาเสนอเงินให้ฉันเลิกยุ่งกับเขา” ถึงกับหูผึ่งแล้วรีบวางตะเกียบพลางจ้องคนตรงหน้าตาโต เคยได้ยินแต่ในละครพอเจอในชีวิตจริงก็อดตื่นเต้นไม่ได้ อยากรู้เหมือนกันว่าพลอยบัวจะตอกกลับคนพวกนั้นว่าอย่างไร
“เท่าไหร่” แต่เรื่องนี้สำคัญที่สุด
“หนึ่งแสน” เค้นเสียงหัวเราะยามนึกถึงเรื่องเมื่อเช้า ผู้ชายคนนั้นช่างดูถูกหล่อนเสียเหลือเกิน คิดว่าเอาเงินฟาดหัวแล้วจะได้ดั่งใจทุกเรื่องหรือไง