บทที่ 7 บอสใหญ่กลายเป็นหมาเลียแข้งเลียขา
จากนั้นทุกคนในงานพากันตกตะลึงระนาว ต่างจ้องหน้ากันด้วยความอึ้ง
สิ่งที่ทำให้อึ้งอันแรกคือการมาเยือนของนายท่านซ่ง ต่อมาก็เป็นเหรียญทองแดงของเต้าเหยินบัวเขียว ทั้งสองเรื่องเสมือนค้อนที่ทุบใส่หัวตระกูลเหยาอย่างจัง
คล้ายกับกำลังบอกว่า พวกเขามีตาแต่หามีแววไม่ ทำไข่มุกหลุดลอยต่อหน้าต่อตา
“ถึงของขวัญนี้จะเป็นสิ่งของของเต้าเหยินบัวเขียวแล้วยังไง ผมว่าคงโชคดีเก็บมาจากไหนสักแห่งแน่”
หยาวฮั่นเอ่ยด้วยความไม่สบอารมณ์ เขากุมหน้าที่โดนคุณปู่ตบเมื่อครู่ด้วยความรู้สึกเดือดดาล
สวะทำให้เขาโดนตบหน้า!
หลี่ชุ่นเหลียนกระซิบเสียงเบา“ฉันไม่เชื่อว่าไอ้สวะจะมีวิชาแพทย์ ไม่มีคุณสมบัติเป็นสัตวแพทย์ด้วยซ้ำ ฉันว่าเขาต้องเชิญตาเฒ่าคนนี้สร้างฉากแน่”
ถึงแม้เสียงไม่ได้ดัง ทว่าทุกคนกำลังพากันเงียบอยู่ ดังนั้นจึงได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
ซ่งเจิ้นไห่กับเซียวชุ่นไม่มีการแปรเปลี่ยนทางสีหน้า ทว่าเหยาเจิ้นชูกลับหน้าเปลี่ยนสี สบถด่าว่า
“หุบปาก!เธอจะไปรู้อะไร?”
หลี่ชุ่นเหลียนตกใจจนตัวขด หุบปากด้วยความโกรธเคือง จากนั้นก็กลอกขาวมองบนใส่เซียวชุ่น
หลังจากที่เหยาเจิ้นชูด่าหลี่ชุ่นเหลียนเสร็จ ก็รีบหมุนกายเอ่ยกับซ่งเจิ้งไห่ด้วยความนบนอม
“นายท่านซ่งโปรดอย่างถือสาเลย เชิญนั่งเลยครับท่าน” ระหว่างที่พูด เขาก็ผายมือเชิญซ่งเจิ้งไห่มานั่งตำแหน่งตน
คนอื่นไม่รู้ว่าสามพยางค์ของซ่งเจิ้นไห่หมายถึงอะไร แต่เขาจะไม่รู้ได้หรือ?
เมื่อก่อนซ่งเจิ้นไห่เคยโลดแล่นอยู่ในวงการธุรกิจอย่างมีหน้ามีตา เขา เหยาเจิ้นชูกับเหยาเหอฉางยังติดตามคุณพ่อเที่ยวทำการตลาดไปทั่ว
ผ่านมาหลายสิบปี อย่าว่าแต่ไล่ตามตระกูลซ่งให้ทันเลย แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ นับว่าก็ยิ่งห่างชั้นกันมากขึ้น
ซ่งเจิ้นไห่ยิ้มพร้อมกับหันหน้ากลับไป ก่อนจะพูดกับเซียวชุ่นว่า“ผู้เพื่อนเซียว มา ฉันว่าพ่อมหนุ่มต่างหากที่คู่ควรนั่งตำแหน่งนี้”
สิ่งเสียง ซ่งเจิ้นไห่ก็ละลายใบหน้าอันแข็งกระด้างของเหยาเจิ้นชู ดึงตัวเซียวชุ่นมานั่งตำแหน่งประธานงานในค่ำคืนนี้ ซึ่งเซียวชุ่นก็ไม่ได้เกรงใจ เริ่มทิ้งก้นลงมาไปดังโป๊ง
ส่วนซ่งหลิงเอ๋อร์นั้นนั่งเบะปากอยู่ด้านข้างคุณปู่ของตน
ซ่งเจิ้นไห่ชี้ไปยังที่นั่งด้านข้างเซียวชุ่นพร้อมเอ่ยว่า“หลิงเอ๋อร์ไปนั่งตรงนั้นสิ”
“คุณปู่!”
ซ่งหลิงเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ ทว่ากลับนั่งแต่โดยดี จากนั้นก็ทำท่าดุเชิงน่ารักใส่เซียวชุ่น
เห็นภาพนี้แล้ว เหยาเสินที่อยู่ตรงข้ามเซียวชุ่นตัวแข็งทื่อ รู้สึกบีบหัวใจอย่างไรไม่รู้
นายท่านซ่งจะให้หลานสาวครองคู่กับเซียวชุ่นจริงหรือ?แต่เธอกับเขายังไม่ได้หย่ากันนะ
โอหยางเจิ้งนั่งยิ้มประจบอยู่ด้านข้างซ่งเจิ้นไห่
เมื่อเทียบกับตระกูลซ่งแล้ว ตระกูลโอหยางก็ไม่นับว่าเป็นอะไร
บัดนี้เหยาเจิ้นชูคล้ายกับกินอะไรผิดสำแดง รู้สึกทรมานอย่างยิ่งยวด ทว่าก็ได้แต่นั่งฝืนยิ้มอยู่อย่างนั้น เพราะซ่งเจิ้นไห่อยู่ตรงนี้ เขาคงกระชากตัวเซียวชุ่นไปทิ้งไม่ได้
คนอื่นก็มีหน้าตาไม่อภิรมย์สักนิด นั่งเงียบๆไม่ส่งเสียง บรรยากาศจึงพะอืดพะอมยิ่ง
ณ ขณะนี้ใครยังริอ่านคุยเรื่องหย่าอีก?
เริ่มเข้าสู่โหวดงานเลี้ยงทั่วไปอีกครั้ง และโต๊ะที่เซียวชุ่นนั่งตกเป็นเป้าสายตาอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้คนที่ก่อนหน้านี้เอาแต่ดูหมิ่นเขา ตอนนี้ก็ได้มีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นหนิวจุ้นเผิงผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ หรือโฮ๋จินหย่งที่เป็นนักธุรกิจด้านบันเทิงตัวยง ตอนนี้หันมายกแก้วยิ้มสอพลอแล้ว
แม้แต่คนโง่ดักดานก็ยังดูออกว่า ซ่งเจิ้นไห่กับเซียวชุ่นมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา หากเข้าไปเยาะเย้ยตอนนี้ก็เท่ากับแกว่งเท้าหาเสี้ยน
หนิวจุ้นเผิงยกสุราขาวใสขึ้นมาหนึ่งแก้ว จากนั้นก็กระแอมเสียงพูด
“เห้อ! ถึงอายุผมจะมากแล้ว แต่สายตาก็ไม่ดีจริงๆ ไม่รู้ว่าคุณเซียวรู้จักกับมหาอำนาจอย่างนายท่านซ่ง ก่อนหน้านี้ได้ล่วงเกินคุณชายเซียวชุ่น ต้องขออภัยด้วยจริงๆ หวังจะคงไม่ถือสากัน ผมขอดื่มหมดเพื่อแสดงความเคารพ”
สิ้นเสียงเขาก็กระดกสุราดื่มจนหมด จากนั้นก็รีบเติมใหม่อีกครั้ง“นายท่านซ่ง ผมของดื่มคารวะท่านครับ!”
ซ่งเจิ้นไห่กลับไม่มีการตอบสนอง กระทั่งหน้าก็ไม่เงย พูดเพียงว่า
“แก่แล้ว ฉันไม่ดื่มเหล้าหรอก”
“คิกคิก!ดีครับ ไม่เป็นไรครับ” หนิวจิ้นเผิงยิ้มหน้าเจื่อน เพื่อกลบเกลื่อนความอึดอัดใจจึงดื่มสุราในแก้วจนหมด จากนั้นก็ปลีกตัวไปอีกด้าน
จากนั้นโฮ๋จินหย่งหมุนดวงตา เปลี่ยนหัวข้อสนทนามายังตระกูลเหยา
“ผมว่าคุณเซียวช่างเป็นคนมากความสามารถจริงๆ คุณเหยากับคุณหยิงหลิวสายตาดีมาก แบบซุนซวนต้องชิดซ้ายเลย”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมา
เหยาเสินกับหลิวหยุนเซียงก็เกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อยากหาที่ซอกมุดเข้าไปจริงๆ
ยังมีหน้ามีพูดแบบนี้อีก เมื่อครู่ยังพูดจากสบประมาทเซียวชุ่นอย่างถึงพริกถึงขิงอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?
ซุนกั๋วลี่หน้าเขียวคล้ำ ลุกขึ้นยืนแล้วสะบัดมือ“เหอะ ดูเหมือนว่าฉันคงไม่จำเป็นต้องร่วมงานเลี้ยงวันนี้อีกต่อไปแล้ว นายท่านซ่ง นายท่านโอหยาง ฉันไปก่อนล่ะ”
สิ้นเสียง เขาก็ประสานมือให้พวกเขาสองคน โดยเห็นเหยาเจิ้นชูเป็นอากาศธาตุ จากนั้นก็หันหน้าเดินออกไป
ขืนอยู่ต่อ เขาเกรงว่าตัวเองจะเป็นโรคหัวใจเอา
คนอื่นก็พากันประจบไม่หยุดปาก ชมเซียวชุ่นจนไม่มีข้อติ ทั้งยังไม่ลืมพูดลดค่าซุนซวนอีกด้วย
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันบอกแล้วว่าคุณเซียวเป็นยอดคน แต่พวกนายก็ไม่เชื่ออีก”
“ขนาดนายท่านซ่งยังชมเลย แสดงว่าเป็นยอดคนแบบไม่มีใครเทียบเทียม”
“ตระกูลเหยาโชคดีจังเนอะ ได้ลูกเขยดีๆแบบนี้”
……
เมื่อได้ยินถ้อยคำยกยอปอปั้นของแต่ละคน เซียวชุ่นก็รู้สึกขบขัน
ถึงตัวเขาจะพูดมากแค่ไหนก็เทียบกับซ่งเจิ้นไห่ผู้มากบารมีเลย แต่ละคนเป็นคนประเภทสรรเสริญในลาภยศเสียจริง
หากซ่งเจิ้นไห่มาไม่ทันการณ์ ตอนนี้เขาคงสั่งสอนทุกคนในงานจนต้องคลานอยู่บนพื้นแล้ว
การมาเยือนของซ่งเจิ้นไห่เป็นการช่วยเหลือคนเหล่านี้ให้รอดพ้นจากหายนะ
“ทุกท่าน วันนี้ฉันมาเพื่อหาผู้เพื่อนเซียว หากมีธุระก็เชิญไปหาฉันที่บ้านวันอื่น ช่วงนี้ฉันจะอยู่ที่เจียงไห่”
ระหว่างที่เซียวชุ่นดำดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิด ซ่งเจิ้นไห่ก็รู้สึกรำคาญกับผู้ที่เข้ามาหา จึงเอ่ยถ้อยคำไล่คนออกมา
เมื่อกลุ่มผู้มีอิทธิพลในเมืองเจียงไห่ได้ยินเช่นนี้ ก็ได้แต่ถือแก้วนั่งลง
แค่ประโยคเดียว แต่กลับมีผลขนาดนี้ คนตระกูลเหยาจึงได้รับรู้บารมีของซ่งเจิ้นไห่ก็ครั้ง
หลิวหยุนเซียงอดถามเสียงเบากับผู้เป็นสามีไม่ได้“เจี้ยนกั๋ว ทำไมฉันไม่เคยได้ยินตระกูลซ่งมีอำนาจในเมืองเจียงไห่มาก่อนล่ะ?”
“คุณไม่รู้ก็ไม่แปลก”
เหยาเจิ้นกั๋วกดเสียงต่ำพูดว่า“หลายปีก่อนนายท่านซ่งวางอำนาจในมือ แล้วส่งต่อให้ลูกหลานในตระกูล และไปใช้ชีวิตตอนแก่ที่อื่น ดังนั้นต้องเป็นคนเก่าหน่อยถึงจะรู้จักชื่อเสียงของท่านนี้”
“หากไม่มีเขาก็ไม่มีตระกูลซ่งที่ตอนนี้เป็นเจ้าในเมืองเจียงไห่”
หลิวหยุนเซียงได้ยินก็มองประเมินซ่งเจิ้นไห่สองปราด จากนั้นก็มีแผนในใจ เธอไม่เชื่อว่าเซียวชุ่นจะมีฝีมือจริงๆ ทว่าเมื่อมีโอกาสรู้จักซ่งเจิ้นไห่แล้ว อย่างไรเสียงก็ต้องคว้าโอกาสทองนี้ไว้
ประจวบกับเวลานี้ซ่งเจิ้นไห่พูดอย่างมีเมตตาและยิ้มแย้มกับเซียวชุ่น“ผู้เพื่อนเซียวมีฝีมือการแพทย์เก่งกาจปานนี้ งั้นก็ลองหาเวลาว่างดูสิ ฉันจะแนะนำปรมาจารย์เจียงไห่หวางเย๋ให้ คิดว่าพวกนายสองคนคงมีเรื่องให้คุยกันเยอะ”
ปรมาจารย์เจียงไห่หวางเย๋คือแพทย์ที่โด่งดังอย่างแท้จริง ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วประเทศ
ลือกันว่าเขาชำนาญเรื่องจับเส้นเอ็นมาก เขามีคนไข้ต่อแถวยาวเหยียดเลย
แต่เสียดายที่หมอท่านนี้มีเงื่อนไขสามประการ
รักษาเฉพาะคนดี ต้องจองคิวล่วงหน้า และจะรักษาแค่สามคนต่อวันเท่านั้น
และยังเปิดร้านตามอารมณ์เขาด้วย เมื่ออารมณ์แปรปรวน ร้านก็ไร้คนเปิดไปโดยปริยาย แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีคนจำนวนมากอยากรู้จักเขา
ส่วนเซียวชุ่นได้ยินก็ส่ายหัวด้วยท่าทางขี้เกียจ
ถึงจะเป็นเทพเซียนมาจากไหน เขาก็ไม่มีความสนใจทั้งนั้น
เขาเรียนวิชากับอาจารย์ ห้าคัมภีร์หกศาสตร์ เรียนแพทย์ฝึกบู๊ บุกน้ำลุยไฟ เป็นวิชามากมายยิ่งนัก ส่วนวิชาแพทย์นั้นเขาก็แค่เรียนฆ่าเวลาไปเท่านั้น
สำหรับเขาแล้ว การฝึกปรือวิทยายุทธถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ
ยิ่งไปกว่านั้นปรมาจารย์เจียงไห่ที่ว่า ก็มีฝีมือการแพทย์ที่ไม่คุ้มค่าให้เขาเหลียวมอง
เมื่อเห็นเซียวชุ่นส่ายหน้า หลิวหยุนเซียงก็ร้อนรน รีบพูดต่อว่า“นายท่านซ่งค่ะ เด็กคนนี้เสียมารยาทเป็นนิสัย และไม่รู้จักหมอเทวดาหวางเย๋ด้วยค่ะ เด็กคนนี้มีเวลาว่างเสมอ สามารถเข้าพบหมอเซียนได้ทุกเมื่อค่ะ”
เธอรีบเอ่ยด้วยใบหน้าเร่งร้อน
เหยาเจี้ยนกั๋วก็ตอบสนองทันรีบคล้อยตามว่า“ใช่ครับ ใช่ครับ นายท่านซ่งครับ หากหมอเทวดาหวางเย๋มาได้ก็จะเป็นเกียรติของตระกูลเหยาของพวกเราเลยครับ!”
สองสามีภรรยาผลักกันพูดคนละประโยค ซึ่งในใจได้ก่นด่าเซียวชุ่นเป็นพันรอบเห็นจะได้
เล่นตลกอะไนกัน หวางเย๋คือใคร?
หากตระกูลพวกเขาได้ประสานมิตรกับบุคคลเช่นนี้ ตำแหน่งตระกูลเหยาก็จะยกระดับสูงขึ้นหลายเท่า
สมองเซียวชุ่นมีปัญญาหรือป่ะ?
ส่วนเหยาเจิ้นชูไม่ส่งเสียง แค่ดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ เขายังคงหวาดหวั่นเมื่อได้ยินเต้าเหยินบัวเขียวอยู่ ดวงตาทั้งคู่ก็จ้องประเมินเซียวชุ่นไม่หยุด
เมื่อเอาหวางเย๋กับซ่งเจิ้นไห่มาเปรียบเทียบกันแล้ว เขายิ่งรู้สึกสงสัยความสัมพันธ์ของเต้าเหยินบัวเขียวกับเซียวชุ่นมากกว่า
เมื่อได้สนิทสนมกับบุคคลระดับนี้ วันหลังตระกูลเหยาก็จะยืนได้อย่างมั่นคง ซึ่งจะกลายเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่สุดในเมืองเจียงไห่ก็ไม่ใช่ปัญหา