บทที่ 15 ปล่อยเขาร้าย
ได้ยินคำพูดเหล่านี้ เซียวชุ่นก็ค่อนข้างจะระอา
ไม่ใช่ว่าเขาหยิ่งยโส เหยียนหวงสิบสามเข็มต้องสอดประสานกันกับชี่ทิพย์ถึงจะเกิดผลที่น่ามหัศจรรย์ และเส้นทางการฝึกฝนนั้นค่อนข้างยาก ไม่เพียงต้องใช้เวลา แต่ยังต้องการใช้โอกาสและพรสวรรค์ โจวชูชิงในตอนนี้ก็อายุหกสิบแล้ว นั้นก็หมายความว่าเขาไม่มีพรสวรรค์นี้ แล้วยังจะให้ความหวังเขาอีกทำไม
โจวชูชิงอึ้งไปชั่วขณะ ยิ้มอย่างขมขื่น“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่ลำบากใจคุณ ”
พูดจบเขาก็หยิบนามบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า“นี่เป็นนามบัตรของผม ต่อไปหากมีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ ก็ขอให้บอกได้เลย”
เซียวชุ่นรับนามบัตรมา กวาดตามองอย่างรวดเร็ว เก็บใส่ลงในกระเป๋าแล้วตอบเสียงเบา“ครับ”
หลังจากที่อาการป่วยของหนูน้อยคงที่ หมอที่อยู่ในห้องคนไข้ต่างก็แยกย้ายกันออกไป เหลือเพียงพยาบาลคนหนึ่งที่คอยดูแล
หวางเฟิงรู้สึกขอบคุณเซียวชุ่นอีกครั้งเป็นอย่างมาก
เซียวชุ่นกับเหยาเสินนั่งพักกันอยู่ในห้องคนไข้ชั่วครู่จากนั้นก็บอกลาหวางเฟิง แล้วเตรียมกลับบ้าน
บนรถ
เซียวชุ่นหลับตาและเอนหลังพิงพนัก ใบหน้าเหนื่อยล้า วันนี้รู้สึกอิดโรยเป็นอย่างมาก ร่างกายราวกับถูกสูบพลังงานไปทั้งหมด
“คุณโอเคไหม?” เหยาเสินหันมาถาม
“เป็นห่วงผมเหรอ?”เรียวปากเขาฝืนยิ้มออกมา
“ขี้เกียจจะสนใจคุณล่ะ”เหยาเสินเห็นอาการกวนๆของเขา ใบหน้าที่สวยงามก็เย็นชา พูดอย่างไม่สบอารมณ์
ตอนที่คนทั้งสองกลับมาถึงบ้านหลิวหยุนเซียงก็ได้เตรียมอาหารเสร็จแล้วและกำลังรอพวกเขากลับมากันอยู่
รู้ว่าที่บริษัทของเหยาเสินมีเรื่องเกิดขึ้น เห็นเธอกลับมา หลิวหยุนเซียงก็รีบเดินเข้ามาหาแล้วรับกระเป๋าจากมือเธอมาพลางถามว่า“ เรื่องที่บริษัทเป็นยังไงบ้าง?”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ”วิ่งวุ่นมาทั้งวัน เหยาเสินก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย พูดเสียงแผ่วเบา
“งั้นก็ดีแล้ว ”
หลิวหยุนเซียงหันไปหาเซียวชุ่น สั่งอย่างเจ้ากี้เจ้าการ“แกไปซักผ้าที่ฉันวางไว้วันนี้ด้วย ซักเสร็จแล้วแกค่อยมากินข้าว”
“ผมรู้สึกเหนื่อย และหิวมาก กินเสร็จแล้วค่อยว่ากันนะครับ ”
เซียวชุ่นนั่งลงที่โต๊ะอาหาร พูดอย่างอ่อนแรง
“เซียวชุ่น นี่แกกล้ายอกย้อนเหรอ ? ชักสีหน้าให้ใครดูกัน ? ปรกติก็กินฟรีอยู่ฟรี ใช้งานแกนิดหน่อย ทำไม ? ไม่พอใจหรือไง?”
หลิวหยุนเซียงจิกกัดและพูดโวยวาย
เพลิงพายุที่อยู่ในอกของเซียวชุ่นก็โหมขึ้น ลุกยืนขึ้นในทันที และจ้องเขม็งมองเธอ
คำพูดจิกกัดของหลิวหยุนเซียงยังคงไม่หยุด ทำเอาความโกรธที่มีของเซียวชุ่นลุกโชน ลุกขึ้นยืนในทันทีและจ้องเขม็งมองเธอด้วยสายตาที่ดุดัน
หลิวหยุนเซียงยืนอึ้งอยู่กับที่ในทันที
“นี่ไอ้สวะอย่างแกกล้าดียังไง ยังมายืนจ้องหน้าฉันอีก ทำไม ? จะทำร้ายฉันเหรอ ? ก็มาสิ ลองทำอะไรฉันดู?”
เธอชูคอแล้วขยับเข้าหาเซียวชุ่น พูดโวยวาย
“เซียวชุ่น นายยิ่งอยู่ก็ยิ่งไม่รู้กาลเทศะมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าไม่ได้แล้วใช่ไหม?”เหยาเจี้ยนกั๋วก็พูดตำหนิด้วยเช่นกัน
เหยาเสินรีบเข้ามาดึงหลิวหยุนเซียงออกแล้วพูดไกล่เกลี่ย “แม่ แม่ค่ะ พอเถอะนะ วันนี้ที่บริษัทเขาก็ช่วยงานหนูไปไม่น้อย หนูหิวมากแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ”
พูดจบเธอก็เหลือบไปมองเซียวชุ่น ดุเสียงเบา“นายก็ไปนั่งลง กินข้าว”
วันนี้ผู้ชายคนนี้กินยาผิดไป หรือไม่ได้เขย่าขวดกัน ? ปกติก็เชื่อฟังคำสั่ง กับหลิวหยุนเซียงก็อยู่ในโอวาทตลอด วันนี้ทำไมถึงได้ฉุนเฉียวแบบนี้ เถียงคำไม่ตกฟากเชียว?
คงไม่ใช่เพราะเมื่อช่วงเช้าที่คุณปู่รองประกาศว่าจะให้เราแต่งงานกับตระกูลซุนจนทำเขาไม่พอใจหรอกนะ ?
เหยาเสินรู้สึกสงสัยในใจ
เซียวชุ่นกักเก็บความโกรธที่มีในใจ นั่งลงอีกครั้ง กับหญิงปากร้ายมีอะไรให้ต้องเก็บมาใส่ใจ หน้าตาแบบนี้ของเธอใช่ว่าจะเพิ่งเคยเจอซะเมื่อไรกัน
แต่ระยะเวลาสามปี จะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น ความอึดอัดที่สะสมมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็ได้ระเบิดออกมา ความกรุ่นโกรธที่ปะทุขึ้น แทบจะควบคุมเอาไว้ไม่อยู่
อาหารมื้อนี้แทบไม่รู้รสชาติอะไรเลย ระหว่างมื้ออาหารเหยาเสินก็ได้บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันในบริษัทให้คนแก่ทั้งสองคนได้ฟัง
ใจความสำคัญก็คือ ในการทวงหนี้ครั้งนี้เซียวชุ่นถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมาก
หลิวหยุนเซียงเค้นเสียงหึ พูดอย่างไม่สนใจว่า“แล้วยังไง ? ปรกติอยู่บ้านก็นั่งๆนอนๆ มาช่วยเหลืองานแบบนี้ก็สมควรแล้วนี่ เพราะเรื่องแค่นี้ เขยที่แต่งเข้าบ้านถึงขั้นจะมาขี่คอเรากันเลยหรือไง?”
“ฉันจะบอกอะไรให้ เซียวชุ่น วันนี้การหย่าไม่เกิดขึ้น อย่าได้ใจไป ช้าเร็วก็ต้องหย่า ไม่มีการเจรจาต่อรองใดๆทั้งนั้น”
เซียวชุ่นก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น
เหยาเสินก็หมดคำพูดเช่นกัน เธอเข้าใจหลิวหยุนเซียงดี ตั้งแต่ที่เซียวชุ่นเข้ามาในบ้านหลังนี้เธอก็รู้สึกฟังไม่เข้าหูดูไม่เข้าตาเช่นกัน ในสายตาของเธอ บ้านหลังนี้แค่การหายใจของเซียวชุ่นก็ถือเป็นเรื่องที่ผิด
จะเพราะอะไร ทุกอย่างก็ชัดเจนในตัวมันเองอยู่แล้ว
เซียวชุ่นเป็นคนที่ไร้ประโยชน์และไม่มีอะไรดีสักอย่าง ด้วยรูปลักษณ์และชาติตระกูลของลูกสาวเธอ จะแต่งงานกับตระกูลที่มั่งคั่งกว่าตระกูลเหยานั้นก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก และหลิวหยุนเซียงเองก็ยังจะได้อานิสงส์นี้ไปด้วย อีกทั้งก็ยังสามารถเอาไปพูดโอ้อวดได้
แต่ว่าตั้งแต่ที่เซียวชุ่นเข้าบ้านมา เธอก็ไม่เคยเชิดหน้าชูตาในกลุ่มเพื่อนฝูงได้อีกเลย จะให้เธอไม่ขุ่นเคืองใจได้ยังไง
หลังอาหารค่ำ เซียวชุ่นไม่แม้แต่จะล้างจาน เสื้อผ้าที่หลิวหยุนเซียงให้เขาไปซักเขาก็ไม่สนใจ เข้าห้องน้ำชำระร่างกายอย่างรวดเร็วเสร็จก็เข้าห้องไป
หยิบที่นอนออกมาจากตู้ ปูลงกับพื้น หัวถึงหมอนก็นอนหลับไป
หลิวหยุนเซียงโกรธเคืองอย่างมาก ก่นด่าอยู่เป็นเวลากว่าสิบนาที และเซียวชุ่นเองก็แกล้งทำทีเป็นไม่ได้ยิน
เขาร้ายปล่อยเขาร้าย ลมโชยพัดขุนเขา
เมื่อด่าจนเหนื่อยก็หยุดไปเอง
เหยาเสินกลับมาที่ห้อง เห็นเซียวชุ่นนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ราวกับไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือน ก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างจนใจ
นอนอยู่บนเตียง นึกไปถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ของเซียวชุ่น อดไม่ได้ที่จะถามว่า“วันนี้คุณ……”
“ผมรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย มีอะไรไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันนะ ”เซียวชุ่นงึมงํา
ไอ้เจ้าคนนี้……
ไม่อยากจะคุยกับฉันขนาดนี้เลยเหรอ ?
เพราะเมื่อตอนกลางวันฉันไม่พูดคัดค้านคุณปู่รองเรื่องการหย่าของตัวเองแล้วแต่งงานกับตระกูลซุนเหรอ?
เหยาเสินกัดฟันกร่อน แล้วนอนคลุมโปง
แค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่งมีสิทธิ์อะไรมาโกรธ!
……
เซียวชุ่นนอนหลับสนิท ตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นก็เห็นเหยาเสินกำลังแต่งตัวและนั่งอยู่หน้ากระจก
เธอสวมชุดสูทสีเทามีผ้าคาดเอว เสื้อเชิ้ตสีขาวข้างใน ช่วงล่างเป็นกางเกงยีนห้าส่วนขาเดฟเข้าคู่กับรองเท้าส้นสูง
ผ้าคาดเอวผูกอย่างพอดิบพอดี ทำให้เห็นเอวบางที่เข้ารูป เสื้อเชิ้ตสีขาวก็ขับผิวสีครีมของเธอให้ดูกระจ่างใสยิ่งขึ้น ขากางเกงยีนกระชับเล็กน้อย เผยให้เห็นข้อเท้าที่ชัดเจน เข้าคู่กับรองเท้าส้นสูง ก็ทำให้ช่วงขาดูเรียวเล็กและเหยียดตรง
บวกกับใบหน้างามๆที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ก็ยิ่งดูสวยมากขึ้นอย่างไร้ที่ติ
เซียวชุ่นจ้องมองตาค้างไปชั่วขณะ
เหยาเสินเห็นปฏิกิริยาของเขาอย่างชัดเจนผ่านกระจก ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา พูดด้วยใบหน้าเย็นชาว่า“ ดูพอหรือยัง?”
เซียวชุ่นได้สติ ยิ้มอย่างขัดเขิน“ จะออกไปข้างนอกเหรอ ?”
“วันนี้ลูกสาวของลุงที่ไปเรียนเมืองนอกกลับมาแล้ว เลยตั้งใจเชิญพวกเราไปร่วมทานอาหารด้วยกันที่หอตี้หวาง”
“ผมต้องไปด้วยหรือเปล่า ?”เซียวชุ่นถาม
“ไม่ต้อง”เธอเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเสริมว่า“ แม่บอกว่าไม่ต้องไป ”
เซียวชุ่นไม่ได้สนใจ เขาก็ไม่ได้อยากจะไปงานเลี้ยงแบบนี้เลยสักนิด ให้เขาอยู่บ้านคนเดียวยังจะมีความสุขกว่าตั้งเยอะ
หลังจากที่ตระกูลเหยาสามคนพ่อแม่ลูกออกจากบ้านไปแล้ว เขาก็เก็บกวาดบ้านอย่างลวกๆจากนั้นก็เก็บตัวอยู่ในห้องนั่งสมาธิและฝึกลมหายใจ
แม้จะอยู่บนโลกนี้มากว่าสามปี เขาก็ไม่เคยปล่อยตัวตามสบายเลย ตอนนี้เขาก็เพิ่งจะเข้าสู่แดนมหาเนรมิต เส้นทางการบำเพ็ญปฏิบัติตนนั้น ยังอีกยาวไกล