บทที่ 1 ระยะเวลาสามปี
“อาจารย์ครับ ท่านเคยกล่าวว่าหากบรรลุไม่ถึงขั้นแดนมหาเนรมิต ท่านก็จะท่องโลกไปเรื่อย ๆ ไม่กลับมาตลอดชีวิต และได้สั่งให้ศิษย์ปกปักรักษาตระกูลเหยาในเมืองเจียงไห่ สามปีที่ผ่านมานี้ ท่านกังวลว่าผมจะแสดงความสามารถจนก่อให้เกิดเภทภัย จึงสั่งให้ผมแกล้งเป็นคนเหลือเดน อ่อนแอ ไร้อุดมการณ์ และยังไม่วายจำต้องเป็นเขยแต่งเข้าบ้านตระกูลเหยาอีกด้วย ผมเลยตกกระไดพลอยโจนกลายเป็นเขยสวะที่โดนข่มเหงรังแกทุกวี่วัน และยังโดนคนอื่นใช้งานตามใจชอบ”
“ตอนนี้ศิษย์ไม่ต้องซ่อนเร้นความสามารถอีกต่อไปแล้ว”
“ตอนนี้ศิษย์ผ่านภัยพิบัติที่ถูกลิขิตไว้สำเร็จ บรรลุถึงขั้นแดนมหาเนรมิต ต่อไปเมืองนี้หรือโลกนี้ก็จะอยู่ในการควบคุมของลูกศิษย์”
ณผาซานชิง ได้วางเหล้าขาวสามแก้วบนแท่นหินสีเขียว
เซียวชุ่นกล่าวจบก็หยิบเหล้าขาวขึ้นมาหนึ่งแก้ว ก่อนจะเทลงหน้าผากที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น ต่อด้วยเทเหล้าขาวแก้วที่สองใส่ศิลาผาซานชิงแสงจันทราสอดส่องเหล้าขาวอันเย็นฉ่ำที่กำลังโรยตัวลงไปเปล่งประกายแสงระยิบระยิบแวววาว
เซียวชุ่นรู้สึกเศร้าสลด เนื่องจากอาจารย์ของเขากับบรรพบุรุษของตระกูลเหยาเคยตกลงปลงใจกันว่า อาจารย์จะคุ้มครองตระกูลเหยาสามรุ่น ซึ่งอาจารย์ได้รักษาสัจจะปกป้องตระกูลเหยามาสองรุ่นแล้ว และได้มอบหมายให้เซียวชุ่นดูแลรุ่นที่สามแทน
ตามที่อาจารย์กล่าว หากปกป้องครบสามรุ่นเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็เป็นวันที่พวกเขากับตระกูลเหยาหมดวาสนาต่อกัน
“คิก ถ้าอาจารย์ไม่ให้ฉันเก็บซ่อนความสามารถ แล้วฉันจะปล่อยให้คนมากมายกลั่นแกล้งตามใจชอบได้อย่างไร หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ไม่รู้ว่าสีหน้าพวกเขาจะน่าสนใจขนาดไหน?”
เซียวชุ่นหัวเราะเบาๆ หนึ่งเสียง ในขณะที่เขาหยิบเหล้าขาวแก้วที่สาม มือถือก็ดังขึ้นกะทันหัน
เมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้า เซียวชุ่นก็รู้สึกประหลาดใจนิดๆ เธอโทรหาเขาหรือ?
เจ้าของสาวเรียกเข้าคือ ภรรยาที่เป็นแค่ในนามของเขา ชื่อเหยาเสิน
เพื่อยกระดับการปกป้องตระกูลเหยาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เซียวชุ่นจึงแสร้งเป็นชายหนุ่มทั่วไปที่เหยาฉางเหอ ผู้ซึ่งเป็นนายท่านตระกูลเหยารุ่นก่อน คัดเลือกให้เป็นเขยแต่งเข้าบ้าน จึงแสดงละครตลกร้ายฉากที่แต่งกับคุณหนูไฮโซขึ้น ทว่าความจริงก็คือหลังจากแต่งงานกับเหยาเสินก็กลายเป็นผู้อารักขาตระกูลเหยา
ซึ่งได้ทำหน้าที่ติดต่อกันสามปีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และถูกตราหน้าว่าเป็นเขยสวะเสมอมา แม้แต่เหยาเสินก็ไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวเขา พวกเขาเป็นแค่สามีภรรยาในนาม ไม่เคยมีสัมผัสชิดเชื้อเลยสักนิด
เมื่อรับสาย เสียงอันคุ้นเคยที่เจือความฉุนเฉียวไว้ก็ส่งมา
“นายไปตายอยู่ที่ไหน ทำไมยังไม่กลับมาอีก?”
“ผมมาที่...”
“ฉันไม่สนว่านายจะไปไหน แค่อย่าลืมสิ่งที่นายรับปากฉันก็พอ นายกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ วันนี้เป็นวันฉลองวันเกิดของคุณปู่รอง ตอนนี้คนในบ้านถึงกันหมดแล้ว ก็เหลือแต่นายนั่นแหละ ฉันได้โอนเงินเข้าบัญชีนายหนึ่งแสนแล้ว นายไปถอนออกใช้เป็นของขวัญในงานซะ”
“ให้เวลานายสิบนาทีสุดท้าย”
กล่าวจบ เธอก็ตัดสายทิ้งโดยพลัน
คุณปู่รองของเหยาเสินก็คือหัวหน้าตระกูลของรุ่นนี้ ซึ่งเป็นน้องชายของเหยาฉางเหอ ชื่อว่า เหยาเจิ้นชู หลังจากที่เหยาฉางเหอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เขาก็เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นนายท่านตระกูลเหยา
เซียวชุ่นเก็บมือถือ สุดท้ายก็มองบ้านไม้ไผ่อันเขียวขจีปราดหนึ่ง
เขาหมุนกายพุ่งลงเขาอย่างองอาจ
เวลาสามปีจบสิ้น รอดูเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้เลย
……
อากาศเดือนสิบในเมืองเจียงไห่หนาวเล็กน้อย
เซียวชุ่นลงจากเขามาถึงเขตตัวเมืองก็มุ่งหน้าไปยังโรงแรมเยว่ไห่ วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดของนายท่านตระกูลเหยา เขาก็ถูกรับเชิญแบบไม่เคยมีมาก่อนด้วย
เมื่อเดินมาถึงหน้าธนาคารแห่งหนึ่งก็นึกถึงถ้อยคำของเหยาเสิน เซียวชุ่นจึงเข้าไปที่ธนาคาร
เขาไม่สนใจเงินของขวัญอะไรทั้งสิ้น ทว่างานเลี้ยงวันเกิดของเหยาเจิ้นชูทันที จะทำให้เหยาเสินขายหน้าไม่ได้
พึ่งสาวเท้าเข้ามาด้านในธนาคาร เขาก็เห็นเพียงสาวน้อยงามพิสุทธิ์คนหนึ่งประคองชายชราผมหงอกนั่งที่เก้าอี้ ผู้จัดการธนาคารที่ยืนอย่างมีสัมมาคารวะอยู่ด้านข้างเอ่ยว่า
“รับทราบครับ ท่านซ่งโปรดรอสักครู่นะครับ ผมจะไปนำมาเดี๋ยวนี้ครับ” ผู้จัดการยิ้มอย่างประจบประแจง ถือใบถอนเงินแล้วหมุนกายบริการชายชราผู้นี้
“คิกคิก พ่อหนุ่มคนนี้กระฉับกระเฉงดีจัง”
เมื่อเห็นเซียวชุ่นมองมา ซ่งเจิ้นไห่ก็พยักหน้าให้อย่างเป็นมิตร ถึงแม้เขาจะเคยเห็นชายหนุ่มที่เพียบพร้อมไปด้วยหน้าตาและความสามารถ ทว่าเมื่อเห็นเซียวชุ่นก็รู้สึกอีกฝ่ายไม่ธรรมดา เกิดความรู้สึกอยากประสานมิตรไมตรี
เซียวชุ่นไม่รู้ว่าความคิดอ่านของผู้อาวุโส ตอนนี้สายตาเขาจับจ้องอยู่แต่ใบหน้าของผู้อาวุโส ซึ่งมีริมฝีปากดำคล้ำ ใบหน้าซีดเหลือง ดวงตามีเส้นเลือด และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นลักษณะของผู้ป่วยเป็นโรคชนิดหนึ่ง
“ท่านดูแลสุขภาพด้วยนะครับ”
เซียวชุ่นเอ่ยปากเตือนด้วยความหวังดีหนึ่งประโยค จากนั้นจึงหมุนกายไป
“อุ๊ย นี่มันเซียวชุ่นนี่?”
เซียวชุ่นพึ่งหมุนกายก็ได้ยินเย้ยหยันลอยมา ผู้ชายเสยผมขึ้น สวมแว่นตาสีทองเดินลงมาจากชั้นสองของธนาคาร
เมื่อเห็นผู้ทักทาย เซียวชุ่นก็ขมวดคิ้วมุ่น
คนนี้ชื่อหวางข่ายเจี๋ย คือเพื่อนร่วมห้องสมัยมหาลัยของเหยาเสิน โดยเป็นหนึ่งในผู้ชายที่มีสาวๆกระดี๊กระด๊าเมื่อพบเห็น
เขาแตกต่างจากทายาทเศรษฐีคนอื่นเพราะหวางข่ายเจี๋ยคนนี้เป็นคนมุมานะ ขยันขันแข็ง ใช้ความสามารถของตัวเองจนปีนป่ายเป็นหมอศัลยแพทย์ทรวงอกในโรงพยาบาลเจียงไห่
ปกติมักจะหิ้วของขวัญมาหาเหยาเสินถึงที่บ้าน
“ไอ้เวร กูพูดกับมึงอยู่ หูหนวกหรือไงว่ะ?” หวางข่ายเจี๋ยเดินมาอยู่ตรงหน้าเซียวชุ่น พลางเอ่ยถ้อยคำแบบไม่เกรงใจออกมา
หวางข่าวเจี๋ยรู้สึกรังเกียจเซียวชุ่นอย่างยิ่งยวด พวกสวะที่อยู่กินไปวันๆ จากนั้นก็รอวันตาย ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไรถึงได้กลายเป็นเขยแต่งเข้าบ้านตระกูลเหยา และคนที่แต่งงานด้วยก็เป็นเหยาเสินที่เขาตามจีบมาหลายปี
ทุกครั้งที่หวางข่ายเจี๋ยฝันเห็นเซียวชุ่นคร่อมบนกายสาวสวยที่เขาหมายปอง หวางข่ายเจี๋ยก็โกรธจนอยากกระอักเลือด อยากเป็นเซียวชุ่นแทบขาดใจตาย
“คิก สวะก็คือสวะ แค่พูดก็ไม่เป็น เซียวชุ่น กูไม่รู้เลยว่ามึงดีกว่ากูตรงไหน ไม่รู้ว่าทำไมตระกูลเหยาถึงเลือกมึงเป็นเขยแต่งเข้าบ้าน คนอย่างมึง คงไม่เคยเข้าห้องวีไอพีที่ชั้นสองของธนาคารใช่ไหมว่ะ?”
“หวางข่ายเจี๋ยอย่างกูพึ่งจะมีอายุแค่ยี่สิบหกปี แต่ตอนนี้ก็กลายเป็นรองแพทย์ประจำตัวคนไข้ในเมืองแล้ว เคยผ่าตัดนับร้อยครั้ง ส่วนมึงก็เป็นแค่เขยสวะประจำตระกูลเหยาเท่านั้น อยู่ไปก็เปลืองอากาศเปล่าๆ”
หวางข่ายเจี๋ยเยาะเย้ยอย่างไม่บันยะบันยัง ระบายความอัดอั้นตันใจออกมาเต็มที่
“นายก็เหมือนหมาที่โดนแย่งอาหาร ไร้น้ำยา เอาแต่เห่าไปเรื่อย”
สีหน้าเซียวชุ่นเรียบเฉย ในสายตาเขา หวางข่ายเจี๋ยก็เป็นเพียงมดที่กระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้าช้างเท่านั้น เขารู้สึกการต่อปากต่อคำก็เป็นเรื่องเปลืองน้ำลายมาก
“ไอ้เหี้ย มึง...”
หวางข่ายเจี๋ยโมโหจนอยากเถียงกลับ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอุทานจากด้านหลัง“คุณปู่!”
เซียวชุ่นหมุนกายมองไปตามต้นเสียง พบว่าชายชราสลบไสลอยู่กับพื้น ใบหน้าซีดเซียว และมีอาการชักไม่หยุด สิ่งที่แย่สุดก็คือหายใจรวยรินอีกด้วย
พนักงานธนาคารพากันมุงล้อม แต่ละคนหน้าซีดขาวเป็นไก่ต้ม
สาวงามด้านข้างชายชราน้ำตาอาบแก้มเป็นสายน้ำแล้ว
“คุณปู่ค่ะ คุณปู่เป็นอะไรไป?”
เซียวชุ่นเตรียมจะเดินเข้าไป ทว่าหวางข่ายเจี๋ยที่อยู่ด้านข้างกดเสียงต่ำแล้วพูดอย่างลำพองใจหนึ่งประโยค“ไอ้สวะถึงมึงจะพูดเอาใจเก่งแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นสวะอยู่ดี มึงคอยดูนะ เดี๋ยวกูจะให้มึงรู้ความแตกต่างของกูกับมึง!”
หวางข่ายเจี๋ยพูดเสร็จก็ฝ่ากลุ่มคนเข้าไปอย่างไม่ช้าและไม่เร็ว
“หลีกทางหน่อยครับ ผมเป็นหมอ”
หวางข่ายเจี๋ยแหวกกลุ่มคนเข้าไปด้วยใบหน้ามั่นอกมั่นใจ ผู้คนที่วุ่นวายอยู่กับพื้นก็เงียบกริบทันควัน
“หมอหวางขึ้นชื่อของเมืองนี้นี่เอง ดีจังเลย คนแก่คนนี้รอดแล้ว”
“ฉันก็เคยเห็นเขามาก่อน ฝีมือเขาเก่งกาจมาก มีเขาอยู่ทั้งคน คนแก่คนนี้ต้องไม่เป็นอะไรแน่”
“โชคดีจังเลย โชคดีจังเลย ผู้จัดการออกมาต้อนรับคนแก่คนนี้โดยเฉพาะ คาดว่าฐานะคงไม่ธรรมดา หากเขาเป็นอะไรไป พวกเราต้องแย่แน่”
เมื่อได้ยินคำสรรเสริญของเหล่าพนักงาน หวางข่ายเจี๋ยก็ถลึงตาใส่เซียวชุ่นปราดหนึ่ง ความภาคภูมิใจที่เก่งกว่าผุดขึ้นมากลางใจ
“คนสวยไม่ต้องกังวลนะครับ มีหวางข่ายเจี๋ยอย่างผมอยู่ ยมทูตก็พาคุณปู่คุณไปไม่ได้หรอกครับ”
เห็นสาวน้อยร้องไห้ น้ำตาไหลรินดั่งสายน้ำมีหน้าตางดงาม รูปร่างผอมเพรียว หัวใจของหวางข่ายเจี๋ยก็ร้อนระอุ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มแห่งความมั่นใจในตัวเองออกมา
เขาเพ่งพินิจดูแล้วก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างติดอยู่ในหน้าอกหรือไม่ก็คอหอยของชายชรา วินิจฉัยว่าแค่เอาออกมาก็ปลอดภัยแล้ว จึงย่อตัวลงไปตรวจอาการแล้วพลิกตัวชายชรามาไว้ที่ตัก จากนั้นก็ตบหลังให้ สุดท้ายคือไม่เป็นผล ทางกลับกันชายชรายังกระอักเลือดสดออกจากปากอีกด้วย ทันใดนั้นหวางข่ายเจี๋ยก็หน้าถอดสี
เขาวินิจฉัยผิดพลาด!