เจอหน้าจอมทัพ
บทที่ 3 เจอหน้าจอมทัพ
หลังจากที่หาข้อมูลมาสักพักหนึ่ง เธอก็พอจะนิยามพระเอกนิยายคนนี้ได้สามคำคือ หล่อ-อบอุ่น-ฉลาด
หิรัญมีหน้าตาที่หล่อเหลาจนสามารถเป็นพระเอกละครหรือสามารถเป็นนายแบบแถวหน้าได้เลยด้วยซ้ำ เขาให้ความรู้สึกเหมือนแสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิ ดูจากคำพูดและท่าทางแล้วคงจะเป็นคนอบอุ่น ไม่น้อย อีกทั้งยังมีความสามารถและเฉลียวฉลาดจนทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ สำหรับเธอเขาเก่งมากทีเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นคนเราก็สามารถมีจุดตกต่ำในชีวิตได้เช่นกัน อีกห้าปีเขาคงจะต้องเจอกับความล้มเหลวครั้งใหญ่ในชีวิต และเธอก็ต้องมาเป็นผู้ช่วยลับ ๆ ที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ อริสาได้แต่เวทนาตัวเอง
หลังจากที่หาข้อมูลของเขาอยู่นั้น หน้าจอสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้งหนึ่งและแสดงข้อความว่าภารกิจวันนี้สำเร็จแล้ว เธอมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสี่วัน อริสาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากเจ้าระบบนั่นมัวแต่ทำงานจมลืมเธอ วันพรุ่งนี้เธอคงจะตายโดยที่ไม่มีใครรู้แน่นอน
“ฉันควรมีเพื่อนสักคนไหมนะ?” เธอถามตัวเอง
ในช่วงเย็นของวันนั้นหลังจากที่ทำภารกิจรองเสร็จ อริสาก็ตัดสินใจเดินมาซื้อของที่ร้านค้าแห่งหนึ่งใกล้เพนต์เฮาส์ ในช่วงขาไปทุกอย่างเป็นปกติแต่ในช่วงขากลับ ระหว่างที่กำลังเดินถือของมาอยู่นั้นจู่ ๆ ก็มีก้อนสีขาวเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งกำลังจะวิ่งฝ่าไฟแดงข้ามถนนไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อมองให้ดีก็พบว่าเป็นเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่ง
เธอจึงรีบวิ่งไปคว้าตัวของเด็กคนนั้นเอาไว้จนสิ่งของในมือร่วงหล่นกระจายเต็มพื้นไปหมด แผ่นหลังของอริสากระแทกเข้ากับพื้นถนนเต็มแรงแต่ ถือว่ายังโชคดีที่เด็กในอ้อมแขนไม่มีอันตราย เธอรีบประคองเขาขึ้นมาแต่ทันทีที่เห็นหน้าของเด็กน้อยก็ต้องตกใจจนเผลออุทานออกมา เพราะไม่คิดว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่ได้
“จอมทัพ!” อริสาเรียกชื่อลูกชายเสียงดัง แม้จะไม่เคยเจอหน้าแต่ก็เคยเห็นเขาในความทรงจำ
“ปล่อยนะ!” เขาดิ้นอย่างแรง
“คุณมาทำอะไรที่นี่คนเดียว แล้วพี่เลี้ยงของคุณไปไหน” อริสาพยายามจับเขาให้ยืนตรงแต่เด็กชายกลับดิ้นไปมาไม่หยุด
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ ปล่อย!” เขาแผดเสียงดังลั่น พูดจบก็กัดมือเธออย่างแรงจนอริสาต้องรีบปล่อยมือข้างนั้น แต่มืออีกข้างก็จับแน่นกว่าเดิมจนเขาดิ้นไม่หลุด
“ฉันไม่ยอมปล่อยหรอกนะจนกว่าคุณจะบอกว่ามาทำอะไรที่นี่ รู้ไหมว่าเมื่อกี้อันตรายมากแค่ไหน” อริสาพูดเสียงเข้ม เธอเจ็บแผ่นหลังไปหมดแถมยังต้องมาถูกเด็กคนนี้กัดอีก
จอมทัพมองมายังผู้เป็นแม่ด้วยสายตาไม่พอใจ เขากัดปากตัวเองแน่นและหายใจแรงจนใบหน้าแดงก่ำ
“ถ้าคุณไม่พูดอะไรก็คงจะต้องยืนอยู่ที่นี่กับฉันอีกนาน”
“ทำไมคุณชอบยุ่งเรื่องคนอื่น” เขาถามด้วยความไม่พอใจ ทั้งที่พยายามหลบไม่ให้ใครเจอแล้วแท้ ๆ
“ถ้าฉันไม่เข้ามายุ่งตอนนี้คุณคงลงไปนอนเล่นอยู่บนถนนแล้ว ไม่เห็นหรือไงว่ารถขับเร็วขนาดไหน”
“ฉันจะเป็นยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของคุณ! พวกเราไม่เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว!” เขาเถียงกลับพร้อมพยายามสลัดมือของอริสาออกไป ขณะที่สายตาก็หันไปมองถนนอีกฟากหนึ่งหลายครั้งจนเธออดสงสัยไม่ได้
อริสาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทั้งที่ยังเจอหน้ากันได้ไม่กี่นาทีแต่เด็กคนนี้กลับแสดงท่าทีก้าวร้าวอย่างมาก “คุณมาทำอะไรที่นี่กันแน่ อย่าบอกนะว่าหนีออกจากบ้าน”
เขารีบหันขวับมองเธอด้วยสายตาแข็งกร้าว
“ฉันคงเดาถูกสินะ” เธอพูด “ถ้าคุณยังดื้ออยู่แบบนี้ฉันจะโทรหาพ่อของคุณให้เขารีบมารับตัวคุณกลับทันทีดีไหม”
“หยุดนะ! อย่าเอาพ่อของฉันเข้ามาเกี่ยว” เด็กชายรีบแย้ง
“จะไม่ให้ยุ่งได้อย่างไร ในเมื่อคุณแอบหนีออกมาจากบ้านแบบนี้ แถมฉันยังจะบอกด้วยว่าคุณเกือบถูกรถชน ดูสิว่าพ่อของคุณจะจัดการกับพฤติกรรมของคุณอย่างไร!” เธอขู่ เด็กแบบจอมทัพคงพูดดีด้วยไม่ได้
จอมทัพเริ่มลังเล เขามองไปยังถนนอีกฟากหนึ่งที่มีรถเข็นหมูปิ้งของคุณป้าคนนั้นไกลห่างออกไปเรื่อย ๆ เด็กชายจึงรีบหันมามองเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “ก็ได้! ฉันจะยอมอยู่นิ่ง ๆ อีกเดี๋ยวพี่เลี้ยงก็มาแล้ว คุณปล่อยฉันไปได้แล้ว!”
อริสาเลิกคิ้วมองด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ เด็กชายคนนี้จะยอมอยู่นิ่ง ๆ จริงงั้นเหรอ “คุณคิดว่าฉันไม่รู้งั้นเหรอว่าคุณโกหก เด็กแบบคุณจะยอมอยู่นิ่งแบบนี้ได้อย่างไร ถ้าฉันเดินไปไม่กี่ก้าวคุณก็คงหายตัวไปแน่”
“แล้วคุณจะเอาอย่างไร นั่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้ ฉันไม่มีเวลามาสนใจคนอย่างคุณหรอกนะ” เขาพูดพร้อมกับมองมาที่เธอด้วยสายตาดูถูก ทั้งที่พูดกับแม่แท้ ๆ แต่ทั้งคำพูด น้ำเสียง และท่าทีที่แสดงออกมาไม่มีความเคารพเลยสักนิดเดียวเพราะเขารู้ดีว่ามีพ่อคอยให้ท้าย
“ฉันจะอยู่ที่นี่กับคุณจนกว่าพ่อของคุณจะมารับ” พูดจบเธอก็รีบโทรหาไอศูรย์ทันที โทรศัพท์เครื่องนี้ยังมีเบอร์โทรของคนในตระกูลนั้นอยู่ ดังนั้นจึงสามารถติดต่อพวกเขาได้ไม่ยาก
“คนโกหก! ปล่อยฉันนะ!” เขาทั้งพยายามจะสลัดแขนและถีบอริสา แต่ด้วยความที่เป็นเด็กตัวเล็กกว่าปกติแรงจึงมีไม่มากเท่าไหร่นัก หากเมื่อเทียบกับแรงกัดเมื่อครู่ก็ถือว่าน้อยกว่ามาก จอมทัพเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรเธอได้จึงร้องไห้ตะโกนเสียงดังลั่นจนคนแถวนั้นหันมามองกันหมด
เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำตาไหลนองหน้า ตัวสั่นและพยายามลงไปนอนดิ้นกับพื้นแต่อริสาไม่สนใจจอมทัพ เธอพยายามโทรหาไอศูรย์หลายครั้งแต่ชายคนนี้กลับตัดสายทิ้งไปดื้อ ๆ ‘พ่อลูกคู่นี้นี่มันอะไรกัน’
เธอบ่นในใจขณะที่มือก็ยังพยายามกดโทรหาเขา จนในที่สุดอริสาก็ทนไม่ไหว เธอคิดว่าตัวเองเป็นคนใจเย็นมาโดยตลอดแต่เมื่อได้มาเจอท่าทีเฉยเมยและความก้าวร้าวแบบนี้เข้าไปก็ถึงกับควันออกหู สุดท้ายเธอจึงถ่ายรูปของจอมทัพที่มีน้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มหน้าไปหมดพร้อมกับส่งข้อความไปหาเขาว่า ‘ถ้าหากคุณไม่โทรกลับมาภายในสิบวินาที ฉันจะทิ้งเด็กคนนี้ไว้ที่นี่ซะ’
ทันทีที่เธอกดส่งข้อความไปก็ถูกอ่านอย่างเร็วและเขาก็โทรกลับมาทันที อริสากดรับสายแต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร ชายคนนั้นก็ถามเธอด้วยน้ำเสียงไม่ไว้ใจเสียแล้ว
“ทำไมจอมทัพได้ไปอยู่ที่นั่นกับคุณ แล้วเขาร้องไห้ทำไม” ไอศูรย์ถามเสียงเย็นชาราวกับว่าไม่อยากพูดกับเธอ
“ฉันจะไปรู้ได้อย่างไรว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ อีกอย่างเขาก็ร้องไห้เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ” อริสาสวนกลับ ในความทรงจำของเธอเด็กคนนี้ในแต่ละวันทำเพียงแค่สองสิ่งคือร้องไห้และลงไปนอนดีดดิ้นอยู่บนพื้น “ฉันจะส่งที่อยู่ของฉันไปให้ คุณก็รีบมารับเขาแล้วกัน”
ในระหว่างที่อริสากำลังจะกดวางสาย ไอศูรย์ก็ได้ยินเสียงลูกชายร้องไห้เสียงดังและพยายามขอความช่วยเหลือจากเขา แต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรสายก็ถูกตัดไปเสียแล้ว จากนั้นไม่นานอริสาก็ส่งที่อยู่ของเธอมาให้ เขาจึงรีบไปรับลูกชายทันทีแต่กว่าจะถึงก็ต้องใช้เวลาพอสมควร
หลังจากจัดการธุระเสร็จ อริสาก็หันมามองจอมทัพอีกครั้ง เธอเห็นว่าตอนนี้เขาลงไปนอนกับพื้นเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งเนื้อตัวยังเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น ส่วนใบหน้าก็แดงก่ำจากการร้องไห้แถมยังมีน้ำมูกไหลย้อยลงมากอีก สภาพของจอมทัพไม่เหมือนกับคุณชายเลยสักนิด เขาเหมือนเด็กที่ถูกพ่อแม่ตามใจจนเสียคนมากกว่า
อริสาแสดงสีหน้ารับไม่ได้ออกมาอย่างไม่ปิดบัง เธอย่อตัวลงไปใกล้ ๆ เขาแล้วพูด “ตอนนี้สภาพของคุณแย่มาก คุณไม่อายคนอื่นบ้างเหรอ”
จอมทัพได้ยินแบบนั้นก็ตกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าเธอจะกล้าพูดแบบนี้กับเขาเพราะแต่ก่อนเธอมักจะหลบเลี่ยงเขามากกว่า แถมยังมีสายตาที่ดูถูกแบบนี้อีก ยิ่งทำให้จอมทัพไม่พอใจเข้าไปใหญ่ “คุณต่างหากที่ต้องอาย! ที่ทำให้ลูกต้องมานอนแบบนี้”
“ฉันไม่ได้เป็นคนบังคับให้คุณร้องไห้ แล้วลงไปนอนเกลือกกลั้วกับฝุ่นสกปรกพวกนี้สักหน่อย”
“ยะ อย่างน้อยก็ต้องอายบ้างสิ!” เขารีบเถียง เด็กชายรู้ดีว่าตอนนี้กำลังมีสายตาหลายคู่มองมาที่พวกเขาอยู่ หากเป็นคนอื่นก็คงจะตามใจเขาไปแล้วแน่ ๆ
“อายอะไร ฉันช่วยคุณนะ คุณนั่นแหละที่ต้องอาย” พูดแล้วเธอก็รู้สึกเจ็บหัวไหล่เล็กน้อย
“แต่ แต่คุณโตกว่าฉัน!”
อริสาพอจะเข้าใจคำพูดของจอมทัพแล้ว เด็กชายคงคิดว่าหากเขาดื้อก็จะทำให้คนรอบตัวไม่พอใจที่พ่อแม่ของเด็กไม่สั่งสอนลูกของตัวเองให้ดีและทำให้เกิดความอับอาย ท้ายที่สุดพ่อแม่ก็จะให้ในสิ่งที่เขาต้องการ แผนการนี้นับว่าฉลาดแต่สิ่งนี้ใช้ไม่ได้กับเธอ เพราะเธอไม่ได้สนใจสายตาหรือคำวิจารณ์ของใครอยู่แล้ว
“ฟังให้ดีนะจอมทัพ ต่อให้คุณจะลงไปนอนดีดดิ้นกรีดร้องเสียงดังรบกวนคนอื่นแค่ไหน ฉันก็ไม่ได้รู้สึกอับอายอะไรหรอกนะ คนที่ควรอับอายต้องเป็นคุณต่างหากเพราะทุกคนจะจดจำคุณในฐานะเด็กดื้อที่ชอบรบกวนคนอื่น ไปทั่ว พวกเขาจะตามหาชื่อของคุณและอาจจะตั้งฉายาประหลาดเช่น ตัวตุ่นจอมทัพ หนอนจอมทัพ หรือถ้าแย่หน่อยก็อาจจะเป็นหมาจอมทัพ”
ได้ยินคำพูดของเธอใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด เขาไม่อยากเป็นตัวตุ่น หนอน หรือหมาอะไรทั้งนั้น
“แต่คุณไม่ต้องกังวลหรอกเพราะพ่อของคุณมีอำนาจมาก ตอนนี้เขาสามารถปกปิดข่าวทุกอย่างของคุณได้แต่ในอนาคตถ้าหากวันไหนมีคนแฉคุณขึ้นมา ฉายาพวกนั้นก็จะตามมาหลอกหลอนคุณอีกรอบ และคุณก็อาจจะได้เป็นหมาจอมทัพตลอดไป”
“ไม่! ฉันไม่อยากเป็นหมาจอมทัพ!” เขารีบพูด จอมทัพนึกภาพของตัวเองในร่างหมาที่มีหัวเป็นคนก็รู้สึกขนลุก เขาอยากเป็นคนที่สามารถทานอาหารด้วยมือไม่ใช่ต้องก้มหน้าลงไปทานแบบนั้น! แถมยังอยากเดินสองขาไม่ใช่สี่ขาด้วย!
“ถ้าอย่างนั้นก็ลุกขึ้นมาได้แล้ว ถ้ายังนอนอยู่บนพื้นแบบนี้อีกไม่นานคุณก็จะเป็นหมาแน่” เธอพูดขู่
เด็กชายรีบเด้งตัวขึ้นมายืนทันที เขารีบใช้มือปัดตูดที่เต็มไปด้วยฝุ่นออกแต่นั่นก็ไม่สามารถทำให้ตัวเองสะอาดขึ้นมาได้ อริสาจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับเขาไป
“คุณเช็ดหน้าของคุณสักหน่อยเถอะ”
“ขอบคุ-” ก่อนที่จะพูดจบเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองเหนือกว่าจึงสะบัดหน้าไปทางอื่น เมื่อหันกลับมาอีกครั้งก็ดูดีมากขึ้น แม้จะมีร่องรอยของน้ำตาหลงเหลืออยู่บ้างแต่อย่างน้อยน้ำมูกก็หายไปจนหมด
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราจะไปรอพ่อคุณที่บ้านของฉัน พวกเราควรรีบไปถึงที่นั่นได้แล้ว” เธอพูดแต่สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นจอมทัพอ้าแขนมาทางเธอ
“ฉันเจ็บขา คุณต้องอุ้มฉัน” เขาสั่ง
“คุณเจ็บขาตอนไหน เมื่อกี้ยังปกติดีไม่ใช่เหรอ”
ก่อนหน้านี้จอมทัพไม่เป็นอะไรจริง ๆ แต่ช่วงที่เขาลงไปนอนดีดดิ้นกับพื้น ขาของเด็กชายดันไปกระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรง ตอนนี้เขาจึงรู้สึกเจ็บขึ้นมา
อริสาเห็นเขาไม่พูดอะไรจึงพอจะเดาได้ว่าสาเหตุที่บาดเจ็บคงเพราะลงไปนอนดิ้นกับพื้น ไม่ใช่ตอนที่เธอช่วยเขาไว้ รู้แบบนั้นเธอก็รู้สึกรำคาญขึ้นมาทั้งที่เธอเองก็ต้องเจ็บตัวแถมยังต้องมาถือสิ่งของเหล่านี้อีก หากจะต้องมาอุ้มเขาอีกอริสาขอไม่ทน
เธอยื่นมือข้างหนึ่งไปจับมือเขาเอาไว้แล้วพูด “อดทนแล้วเดินตามฉันมา”
จอมทัพไม่พอใจ เขามองไปรอบตัวและไม่เห็นรถเข็นหมูปิ้งแล้วแถมดันลืมกระเป๋าสะพายรูปปลากระเบนสุดโปรดอีก ทำให้ตอนนี้เขาไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาทเดียว หนทางเดียวที่จะกลับบ้านได้คือต้องเดินตามแม่ผู้อ่อนแอของเขาไป