ตกแต่งห้องใหม่
“พวกคุณหัวเราะอะไร!” จอมทัพมองผู้ใหญ่สองคนหัวเราะในขณะที่เขาไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง “แม่ คุณหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
แต่แม้จะพูดอะไรไปก็ไม่มีใครฟังเลยสักคน สองคนนั้นหัวเราะจนหน้าแดงตัวแดงไปหมด อีกทั้งยังมีน้ำตาเล็ดด้วย ผ่านไปหลายนาทีถึงกลับมาพูดได้เป็นปกติแต่มุมปากยังคงปรากฏรอยยิ้มอยู่
“ฉันไม่ใช่พนักงานที่นี่ แค่ใส่เสื้อสีเดียวกันกับพวกเขาก็เท่านั้น” หิรัญยื่นตัวเข้าไปใกล้จอมทัพให้เด็กชายเห็นชัด ๆ ว่าเขาไม่ได้ใส่เสื้อพนักงานจริง ๆ
จอมทัพเห็นแบบนั้นก็ตกใจ รีบหลบหลังแม่ทันที เขารู้สึกอายขึ้นมาจนหูเริ่มแดงและโกรธที่สองคนนี้หัวเราะเมื่อกี้ด้วย! แต่ก็ไม่กล้าโวยวายออกไปจึงพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ถึงว่าคุณดูไม่เหมือนพนักงานเท่าไหร่”
อริสาได้แต่อมยิ้มและส่ายหน้าให้กับความเอาแต่ใจของลูกชาย ต่อให้รู้ว่าตัวเองทำผิดก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “คุณรู้ว่าคุณต้องพูดอะไร พูดออกไปเถอะ”
จอมทัพถอนหายใจ เขาขยับตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้วพูดอย่างไม่เต็มใจ “ผมขอโทษที่นึกว่าคุณเป็น เป็น... เป็นพนักงานที่นี่”
หิรัญยิ้มอ่อนโยน เขารู้สึกว่าเด็กชายตัวเล็กตรงหน้าน่ารักไม่น้อย จึงยื่นมือไปลูบหัวเขาด้วยความเอ็นดู “ไม่เป็นไร คุณไม่ผิดหรอก ฉันต่างหากที่ดันไปใส่เสื้อสีเดียวกันจนทำให้คุณเข้าใจผิด”
“คุณเป็นผู้ใหญ่มาก” จอมทัพเอ่ยชม ก่อนจะถามคำถามหนึ่งออกไป “คุณอายุเท่าไหร่” เด็กชายคิดว่าหากเขาอายุเท่าชายคนนี้อาจจะไม่ต้องกินผักแล้วก็ได้
“ฉันเหรอ? ฉันอายุยี่สิบเก้าปี”
“ยี่สิบเก้าเลยเหรอ!” เด็กชายตกใจ เขาต้องอายุยี่สิบเก้าถึงจะเป็นผู้ใหญ่ได้เหรอ แต่พ่อเคยบอกไว้ว่าอายุแค่สิบแปดก็เป็นผู้ใหญ่ได้นี่ จอมทัพจึงเกิดความสับสนไม่น้อย “แล้วคุณเลิกทานของที่ไม่ชอบตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เอ๊ะ เอ่อ…” หิรัญไม่รู้จะตอบอย่างไร เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไม่ทานของไม่ชอบตั้งแต่เมื่อไหร่
อริสาเห็นสีหน้าอีกฝ่ายเริ่มมึนงงจึงเข้ามาห้าม “อย่าสนใจเขาเลย เด็กคนนี้ชอบถามไปเรื่อย”
“แม่ ลูกไม่ได้ชอบถามไปเรื่อย ลูกกำลังจริงจัง!”
“แล้วคุณจะอยากรู้ไปทำไม”
“ก็ ก็แค่อยากรู้” เขาเฉไฉ ไม่อยากตอบและพยายามเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
หิรัญมองสองแม่ลูกคู่นี้ด้วยรอยยิ้ม เขาเห็นสองคนนี้ตั้งแต่ที่เดินเข้ามามาแล้ว พวกเขาทั้งโดดเด่นและดึงดูดสายตาของคนรอบข้างได้ดี แม้จะแต่งตัวธรรมดาไม่ใส่เสื้อผ้าโดดเด่นเลยก็ตาม และเมื่อได้เข้ามาคุยก็รู้ว่าคิดไม่ผิดเลยสักนิดเดียว ทั้งสองคนน่ารักมาก
หิรัญมองดูที่นาฬิกาและพบว่าใกล้ถึงเวลานัดของเขาแล้ว แม้จะรู้สึกเสียดายที่ต้องไปแต่หน้าที่ก็สำคัญเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้นขอตัวก่อนนะครับ หวังว่าทั้งสองคนจะได้ของที่ถูกใจนะ”
“ค่ะ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะคะ” อริสาพยักหน้า เธอไม่ได้เร่งรีบจะรู้จักเขาเพราะอีกหน่อยก็คงต้องเจอกันที่บริษัทแล้ว “คุณควรบอกลาเขาด้วย” เธอหันไปพูดกับลูกชาย
“ผมขอบคุณมากที่คุณช่วยวันนี้” จอมทัพเชิดหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะทำให้ราบเรียบเหมือนพ่อของเขา
หิรัญพยักหน้าและอดใจไม่ไหวต้องยื่นมือไปบีบแก้มนุ่มของจอมทัพ ก่อนจะเดินจากไป
หลังจากนั้นอริสาและจอมทัพก็ต้องมาช่วยกันซื้อของที่เหลืออยู่ให้หมด พวกเขาเดินกันตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น สภาพเรียกได้ว่าดูไม่ดีเลย จอมทัพเสียใจเล็กน้อยที่ของส่วนมากไม่มีรูปปลากระเบนที่เขาชอบ แต่เด็กชายตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะบอกให้พ่อสั่งทำให้อีก!
เมื่อกลับมาถึงบ้านทั้งสองคนก็นอนหมดแรงอยู่ตรงโซฟา ไม่มีใครขยับเขยื้อนไปไหนเลย ทั้งสองคนนอนมองเพดานห้องด้วยสายตาว่างเปล่า และพรุ่งนี้จอมทัพก็คงจะต้องเดินทางกลับบ้านแล้ว สิ่งของทุกอย่างอริสาจึงต้องจัดการเองคนเดียว ตอนนี้เธอรู้สึกสงสารตัวเองมาก
นี่คงจะเป็นข้อเสียของคนที่ไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคมแบบเธอ เวลาจะทำอะไรสักอย่างก็ต้องพึ่งแต่ตัวเองเท่านั้น
“จอมทัพ พรุ่งนี้คุณมาจัดห้องด้วยตัวเองได้หรือเปล่า” เธอหันมาถามลูกชาย
“ลูกเหนื่อย”
“ฉันก็เหนื่อย” ทั้งสองคนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“พรุ่งนี้พ่อว่าง ทำไมเราไม่ให้พ่อมาช่วยล่ะ!” เด็กชายรีบเสนอ
“พ่อของคุณจะมางั้นเหรอ” เขาคงไม่อยากเจอหน้าเธอเท่าไหร่นัก
“ต้องมาสิ นี่คือสิ่งที่พ่อต้องช่วยลูกนะ!” เด็กชายไม่พูดเปล่า เขารีบโทรหาพ่อทันที เมื่ออีกฝ่ายรับสายจอมทัพก็เร่งพูดอย่างรวดเร็ว ไม่เว้นช่องว่างเลย “พ่อ พรุ่งนี้ลูกต้องการความช่วยเหลือ คุณต้องมาช่วยลูกนะ!”
อริสาไม่รู้ว่าสองพ่อลูกคู่นั้นคุยอะไรกันแน่ แต่เช้าวันถัดมาไอศูรย์ก็มายืนรออยู่หน้าห้องของเธอแล้ว อริสาได้แต่โอดครวญในใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมสองคนนี้ถึงชอบตื่นเช้ากันนัก!
“คุณนั่งรอที่นี่ก่อน ฉันจะไปปลุกเขา” อริสาพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“จอมทัพยังไม่ตื่นงั้นเหรอ” ไอศูรย์แปลกใจ
“อืม แต่อีกไม่นานหรอก”
อริสาเดินไปปลุกจอมทัพและเห็นว่าเขาอยู่ในห้องน้ำ ตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่เธอและไอศูรย์เท่านั้น บรรยากาศในห้องจึงเริ่มอึดอัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้จะพูดคุยอะไรกันดีและไม่อยากจะชวนอีกฝ่ายทะเลาะด้วย สิ่งเดียวที่เธอมั่นใจคือเธอไม่อยากอยู่ตรงนี้
“คุณทานอาหารเช้ามาหรือยัง”
“ผมทานมาแล้ว ขอกาแฟสักแก้วก็พอ” ไอศูรย์สังเกตเห็นว่าอดีตภรรยาเริ่มทำตัวไม่ถูก เขาจึงพูดไปแบบนั้นเพื่อให้เธอออกจากสถานการณ์ได้
“อืม” อริสาพยักหน้าแล้วรีบเดินไปที่ห้องครัว
แค่กาแฟแก้วเดียว อริสาใช้เวลาชงกาแฟนานเกือบสิบห้านาที เธอรอจนกว่าจะได้ยินเสียงลูกชายเดินออกมาจากห้องถึงจะเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง เช้าวันนี้อริสาทำอาหารเช้าง่าย ๆ อย่างไข่กระทะให้ลูกชายได้ทาน จากนั้นทั้งสามคนถึงเริ่มทำงานช่วยกันประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้เป็นรูปเป็นร่าง
ในตอนแรกเธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไอศูรย์ต้องมาทำสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง แต่หลังจากที่ได้เริ่มทำงานอริสาก็พอจะเข้าใจได้ว่าเขาคงอยากจะใช้เวลาร่วมกับลูกชายมากกว่า จอมทัพดูมีความสุขมากที่พ่อของเขามาอยู่ตรงนี้ แม้จะเสียงดังโวยวายไม่เปลี่ยนแต่รอยยิ้มกลับปรากฏขึ้นตรงหน้าตลอดเวลา
จนกระทั่งห้องนอนของจอมทัพเสร็จเรียบร้อย ไอศูรย์และอริสาคุยกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาสังเกตว่าเธอมักจะนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่มุมห้องคนเดียวโดยไม่พูดอะไรจนกระทั่งงานตรงหน้าเสร็จ หรืออาจจะเถียงกันกับจอมทัพบ้างบางครั้ง แต่ส่วนมากในห้องมีแค่เสียงพูดของจอมทัพและเสียงพูดของไอศูรย์เป็นบางครั้ง สิ่งที่ทำให้บรรยากาศไม่น่าอึดอัดเกินไปก็คงจะเป็นเสียงเพลงมากกว่า
“แม่ คุณห้ามแอบมานอนห้องลูกเด็ดขาดเลยนะ!” จอมทัพขู่ ขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้อง
“ห้องของคุณสวยมาก ฉันขอคิดดูก่อนแล้วกัน” เธอแกล้งเขา
“แม่ คุณทำแบบนี้ไม่ได้!” จอมทัพไม่ยอมแพ้ ยื่นมือมาเกี่ยวก้อยสัญญา “คุณต้องสัญญากับลูกว่าจะไม่แอบมานอนคนเดียวเด็ดขาด!”
อริสาทำท่าคิดสักพักจนลูกชายตัวน้อยเริ่มร้อนใจอยู่ไม่สุข พยายามคว้ามือของแม่มาเกี่ยวก้อยสัญญา “ฉันสัญญา”
ไอศูรย์มองสองแม่ลูกด้วยความแปลกใจอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าทั้งคู่ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ แต่ตอนนี้พวกเขาดูเหมือนเพื่อนสนิทกันมากกว่าแม่ลูกเสียอีก “เอาล่ะจอมทัพ บอกลาแม่ของคุณ พวกเราต้องกลับกันแล้ว”
“แม่ ไว้ลูกจะมาหานะ คุณห้ามทำอะไรกับห้องของลูกนะ” เขายังไม่วายเอ่ยเตือนเธออีกรอบ
“รู้แล้ว ทั้งสองคนเดินทางกลับปลอดภัยนะ” อริสาบอกลาทั้งสองคนโดยที่ไม่ได้ลงไปส่งที่ด้านล่าง
ขณะที่พ่อลูกกำลังเดินทางกลับบ้าน ไอศูรย์หันหน้าไปถามลูกชาย “ปกติแม่ของคุณจะเงียบแบบนี้ตลอดเหรอ”
“ใช่ แม่ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ เธอจะชอบนั่งเงียบ ๆ คนเดียวมากกว่า ถ้าลูกไม่ชวนพูดเธอก็จะไม่พูดเท่าไหร่ ที่พูดส่วนมากก็มีแต่จะดุลูก” จอมทัพเริ่มบ่นออกมาแต่มุมปากกลับยกขึ้น “พ่อถามทำไม”
“ไม่มีอะไรหรอก” เขาปฏิเสธ
อริสาในความทรงจำของเขามักจะเงียบแบบนี้เสมอ แต่ความรู้สึกที่แสดงออกมากลับแตกต่างกันลิบลับ เธอคนก่อนมักจะหวาดกลัว ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าไหร่แต่ก็ดูมีชีวิตชีวากว่ามาก ทว่าเธอตอนนี้กลับเหมือนคนที่นิ่งเฉยไม่สนใจโลก ไม่สนใจใคร สายตาเย็นชาที่แสดงออกมาราวกับไม่ต้องการรับรู้สิ่งใด