ตอนที่ 1 ตายไม่รู้ตัว
ตอนที่ 1
“แก้วตา วันนี้ไม่ไปทำงานหรือลูก”
เสียงแหบแห้งของหญิงชราดังขึ้นมาจากชั้นล่าง ส่งผลให้ร่างที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่ม สะดุ้งสุดแรงเกิด หญิงสาวในวัยยี่สิบสามผุดลุกขึ้นนั่ง มือควานหานาฬิกาปลุกที่วางอยู่หัวเตียงขึ้นมาดู
...สี่ทุ่ม...
“ตายห่า นาฬิกาถ่านหมดตอนไหนเนี่ย”
ร่างเพรียวระหงสบถออกมา ก่อนจะกระเด้งตัวออกจากที่นอน คว้าผ้าขนหนู วิ่งเข้าห้องน้ำ อาบน้ำแปรงฟัน ด้วยความรีบร้อน เพียงห้านาที หญิงสาวก็ทำธุระส่วนตัวเสร็จ
มือบางหยิบกระเป๋าสะพายข้างขึ้นมาคล้องคอ ก้าวลงบันไดทีละสองขั้น หากกระโดดลงตั้งแต่ขั้นบนสุดได้ หญิงสาวคงทำไปแล้ว
“แก้วตา ช้า ๆ ก็ได้ เดี๋ยวได้ตกบันไดตายกันพอดี”
“ก็แก้วรีบนี้พี่หวาน อุตส่าห์ได้งานทำทั้งที่ ไปสายวันแรก ก็ถูกเจ้านายไล่ออกกันพอดี”
‘แก้วตา’ เอ่ยตอบหญิงสาวที่เป็นหลานสาวแท้ ๆ ของตากับยาย ส่วนแก้วตานั้น เป็นเด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ถูกพ่อแม่ใจร้าย นำมาทิ้งถังขยะ ตั้งแต่ลืมตาดูโลกได้เพียงวันเดียว
โชคยังดีที่ตายายบังเอิญไปพบเข้า เลยเก็บเอาแก้วตามาเลี้ยงคู่กับน้ำหวานหลานสาวที่เกิดจากลูกสาวคนโต
หลังจากได้รู้ความจริงโดยบังเอิญ ว่าตนเองไม่ใช่คนในครอบครัวที่แท้จริง แก้วตาจึงคิดตอบแทนบุญคุณของตายายและพี่สาวที่รักและดีกับตนมาตลอด ด้วยการช่วยทำงานทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านยันงานสวน รวมไปถึงการหางานประจำ ทำหลังจากเรียนจบ
เช้านี้เป็นเช้าวันแรก ที่แก้วตาต้องไปทำงานวันแรก แต่นาฬิกาที่ตั้งปลุกเอาไว้ตอนตีสี่ ดันมาถ่านหมดเอาเสียได้
“ไม่กินอะไรรองท้องก่อนหรือแก้ว”
หญิงชราผมขาว หลังงองุ้ม คนที่ส่งเสียงปลุกหลานสาว เดินตรงเข้ามาหาหญิงสาวที่ตนเลี้ยงมากับมือ ด้วยความเป็นห่วง
“ไม่จ้ะยาย สายแล้ว...ทุกคนแก้วไปทำงานก่อนนะ”
หญิงสาวเข้าไปสวมกอดหญิงชรา พร้อมกับหอมแก้มไปหนึ่งฟอดใหญ่ หลังจากนั้นก็ออกจากบ้าน เดินออกจากซอยเล็ก ตรงไปยังถนนใหญ่ เพื่อไปยืนรวมกลุ่มกับคนกลุ่มใหญ่บริเวณป้ายรถเมล์
“มาเร็ว ๆ สิ”
แก้วตาคอยชะเง้อคอมอง รอคอยการมาของรถประจำทางสายแปด ที่จะพาตนไปถึงจุดหมายปลายทาง ตลอดเวลาหญิงสาวรู้สึกร้อนรุ่มอยู่ภายในใจอย่างบอกไม่ถูก หนังตาข้างขวาก็เริ่มกระตุกตลอดเวลา
“สาธุ วันนี้เริ่มงานวันแรกขออย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีกับลูกช้างเลย”
แก้วตายกมือท่วมหัว ไม่แคร์สายตาผู้คนที่ยืนรอรถประจำทางอยู่ ในเมื่อเกิดลางสังหรณ์ขึ้นในใจ ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละเรียกขวัญกำลังใจให้กลับคืนมา
“สายแปดมาแล้ว” คนที่มายืนรอรถคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
แก้วตา จึงเตรียมตัวที่จะเข้าไปแย่งคิวกันขึ้นรถเมล์สายแปด แต่หางตาดันเหลือบไปเห็น เด็กน้อยวัยห้าขวบ กำลังวิ่งออกไปกลางถนน ท่ามกลางเสียงร้องโวยวายของผู้พบเห็น แต่ไม่มีวี่แววของพ่อแม่เด็ก หรือพลเมืองดีคนไหน จะตามไปอุ้มตัวเด็กน้อยกลับมา
หญิงสาวชะงักฝีเท้า ภายในหัวสมองมีสองตัวเลือกกำลังตีกันให้วุ่น หนึ่ง คือไม่ต้องสนใจ เด็กนั่นหาใช่ญาติโกโหติกาของเธอเสียหน่อย รีบเบียดเสียดกับผู้คนขึ้นรถเมล์ไปทำงาน หรือสอง ตามหลักของมนุษยธรรม ที่ตากับยายเฝ้าพร่ำสอน เกิดเป็นคนอย่าได้เห็นแก่ตัว หากพบเจอคนที่กำลังเดือดร้อน อย่าเพิกเฉย ควรยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือตามกำลังของตน
เพียงเสี้ยววินาทีที่คิดได้ สองเท้ารีบก้าวยาว ๆ เปลี่ยนทิศทางจากรถเมล์ เป็นวิ่งตามหลังเด็กน้อยวัยห้าขวบไป
จนกระทั่งสามารถตามไปคว้าตัวเด็กน้อยจอมซนขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนได้สำเร็จ
...ปี้น ๆ ...
แต่ทว่า จังหวะที่จะพาตัวเด็กน้อยกลับเข้าข้างทาง รถกระบะคันหนึ่ง ที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูง จึงไม่สามารถเหยียบเบรกได้ทันเวลา ทำได้เพียงบีบแตรไล่ให้หญิงสาวที่ขวางทางอยู่ รีบหลบรถของตัวเอง
...โครม...
...ตุ๊บ...
ตามสัญชาตญาณการปกป้อง แก้วตาที่รู้ว่าไม่สามารถหนีพ้นจากรถกระบะได้ จึงหันหลังรับแรงกระแทกทั้งหมด หวังให้เด็กน้อยปลอดภัย
ร่างของทั้งสองที่ถูกชนอย่างแรง กระเด็นลอยห่างจากจุดที่ชนออกไปไกล
ไม่รู้ว่าเด็กน้อยวัยห้าขวบ ยังคงมีแม่ซื้อคอยคุ้มครองอยู่หรืออย่างไร ถึงได้กระเด็นออกจากอ้อมแขนของแก้วตา ไปร่วงหล่นลงบนหลังรถกระบะอีกคัน ที่บรรทุกเบาะหนานุ่ม ทำให้ไม่บาดเจ็บมากจนถึงแก่ความตาย
แต่แก้วตานี้สิ ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น หญิงสาวรับแรงกระแทกจากการชนอย่างจัง และร่างยังลอยละลิ่วตกลงกระแทกกับพื้นถนน จนเกิดเสียงดัง
ความเจ็บปวดถึงขีดสุด ถาโถมเข้าใส่แก้วตา จนไม่อาจฝืนทนรับความเจ็บปวดได้อีกต่อไป
...เด็กปลอดภัย...
ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดับวูบลง ประโยคเดียวที่หญิงสาวรับรู้คือ เด็กน้อยที่เธอเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือนั้นปลอดภัย รอยยิ้มบางเบาจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้า หลังจากนั้น เธอก็ไม่รับรู้สิ่งใดได้อีกเลย
สามวันให้หลัง สติการรับรู้ของแก้วตาถึงได้กลับมาอีกครั้ง
แต่คราวนี้หญิงสาวไม่สามารถค้นหาคำตอบให้ตัวเองได้ ว่าทำไมถึงได้มายืนอยู่หน้าเมรุเผาศพ รายล้อมไปด้วยผู้คน ที่พากันสวมใส่ชุดดำ เพราะเท่าที่จำได้ เธอกำลังยืนรอรถเพื่อไปทำงานนี้นา
“ฮือ ๆ”
“คุณยาย ทำใจดี ๆ เอาไว้นะคะ น้องไปสบายแล้ว”
เสียงคุ้นเคยดังมาจากด้านหน้าบันไดทางลงเมรุ แก้วตาจึงได้เดินไปตามทิศทางนั้น จนพบว่าพี่น้ำหวาน กำลังประคองคุณยายเอาไว้ ส่วนคุณตามีลูก ๆ คนอื่นช่วยกันประคองเอาไว้เช่นกัน
“ใครตาย”
ใจของแก้วตาหายวาบ ไม่เข้าใจว่าความจำทำไมเหมือนจะขาดหายไม่ปะติดปะต่อ เธอไปยืนรอรถ อยู่ ๆ ก็มาอยู่ในพิธีส่งดวงวิญญาณของใครคนหนึ่ง ใครคนนั้นที่จะต้องเป็นคนในครอบครัวของเธอ ทุกคนถึงได้อยู่ในอาการโศกเศร้าเช่นนี้
“พี่น้ำหวาน ยายนี่มันงานศพใครคะ”
แก้วตาตรงเข้าไปหายายกับพี่สาวที่ยืนคอยส่งแขก ที่ลงมาจากวางดอกไม้จันทน์ ส่วนลูกหลานคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่สองฝากของบันไดทางลง ก็ช่วยกันแจกจ่ายของชำร่วยให้กับแขก
“ฮือ ๆ”
ยายยังคงร้องไห้อย่างหนัก ไม่ยอมตอบคำถามที่ค้างคาใจของแก้วตา พี่น้ำหวานเองก็วุ่นอยู่กับการปลอบขวัญผู้เป็นยาย
หญิงสาวจึงหันไปถามญาติคนอื่น ๆ แต่ทุกคนกลับเอาแต่สนใจขอบคุณแขกเหรื่อที่มาร่วมวางดอกไม้จันทน์ ทุกคนทำเหมือนกับไม่รับรู้ว่าแก้วตากำลังเอ่ยถามพวกเขาอยู่
“ไม่ตอบใช่ไหม ขึ้นไปดูเองก็ได้”
เมื่อแขกเหรื่อชุดสุดท้าย ลงมาจากบันไดแล้ว แก้วตาก็ปั้นปึ่งเดินขึ้นบันไดเมรุไป ใบหน้างามบูดบึ้งตามอารมณ์ที่ขุ่นมัว
จนไปหยุดอยู่หน้ารูป ที่มีตัวหนังสือเขียนอยู่ใต้รูป เป็นวันเกิด และวันตาย รวมอายุที่มีชีวิตอยู่แล้ว คือ 23 ปี
นางสาว แก้วตา วงศ์ชินภัทร
ชาตะ 16 พฤษภาคม 2543
มรณะ 23 มิถุนายน 2566
อายุ 23 ปี