ตอนที่ 4 เป็นพ่อเป็นแม่ไม่ง่ายเลยสักนิด
หลังจากที่ทำพิธีผูกข้อไม้ข้อมือตามธรรมเนียมที่เรียบง่ายผ่านพ้นไป พราวนารีก็ได้ย้ายไปอยู่บ้านของแฟนหนุ่มที่เป็นพ่อของเด็กในท้องที่อยู่อีกอำเภอ ตอนแรกที่ทั้งเขาและเธอรับรู้ว่ากำลังจะมีลูก แน่นอนว่าไม่มีใครรู้สึกยินดีกับการมาของชีวิตใหม่ในครั้งนี้ เพราะความรักสนุกแต่ไม่รู้จักป้องกันก็ทำให้อนาคตของตนเองจบลง โดยเฉพาะพราวนารีที่เป็นผู้หญิงและเป็นคนตั้งครรภ์ แต่แฟนหนุ่มของเธอนั้นยังคงได้เรียนหนังสือตามปรกติ บิดาและมารดาของเธอถึงแม้จะรู้สึกเสียใจมากแค่ไหนแต่ก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าพวกเขาไม่มีเวลามาดูแลลูกจนลูกขวนขวายหาความรักจากนอกบ้าน
การมาอยู่อาศัยในบ้านของครอบครัวฝ่ายชายแรกๆพราวนารีไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจอะไรจนกระทั่งบิดาของแฟนหนุ่มนั้นเริ่มออกลายว่าเขาเป็นพวกติดแอลกอฮอล์ และแน่นอนว่าเวลาเมาแล้วนิสัยย่อมเปลี่ยนไป สองสามีภรรยาทะเลาะเบาะแว้งกันทุกครั้งที่ฝ่ายชายเมา พราวนารีรู้สึกว่าตนคิดผิดที่ทำตัวออกนอกลู่นอกทางจนชีวิตต้องมาทนอยู่กับสถานการณ์ครอบครัวแบบนี้ แบบที่เธอเคยเผชิญในวัยเด็ก แฟนหนุ่มนั้นยังอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียนเช่นเดียวกัน และนั่นหมายถึงว่าเขายังต้องพึ่งพาเงินจากบิดาและมารดาในการจับจ่ายใช้สอย ค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์ รวมไปถึงเงินที่ต้องเอาไปใช้ซื้ออาหารที่วิทยาลัย
พราวนารีที่พอมีเงินเก็บอยู่บ้างก็ทนเห็นพ่อของลูกนำเงินติดตัวไปวิทยาลัยเพียงเล็กน้อยไม่ได้ เธอจึงเจียดเงินที่ตนมีแบ่งให้เขาไปบ้างด้วยความสงสารและเห็นใจ ถึงมารดาของแฟนหนุ่มจะให้เงินไปเรียนก็จริงแต่ก็ให้เพียงน้อยนิดเท่านั้นซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมครอบครัวของเขาถึงเป็นแบบนี้ เธอทนใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวแฟนหนุ่มไปอย่างไม่มีทางเลือก และบ่อยครั้งที่เธอมักจะมีปากเสียงกับคนเมา ด้วยอารมณ์แปรปรวนจากการตั้งครรภ์ทำให้เธอไม่อยากจะไว้หน้าใคร คนนอกบ้านจะมองเธออย่างไรนาทีนี้เธอก็ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น ใครที่ไม่ได้มาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้คงจะไม่มีเข้าใจเธอหรอก
เวลาผ่านไปจนหญิงสาววัยสิบเก้าปี เธอได้ให้กำเนิดบุตรชายที่สมบูรณ์แข็งแรง หน้าตาน่าเกลียดน่าชัง ความรู้สึกครั้งแรกของการเป็นแม่มันทำให้เธอน้ำตาไหลออกมา อยากจะขอบคุณแม่ของเธอมากนักที่อดทนอุ้มท้องและให้กำเนิด อีกทั้งยังเลี้ยงดูเธอจนเติบโตมาเป็นแม่คนได้ในวันนี้ แต่เธอก็ไม่ใช่ลูกสาวที่ดี เธอทำให้พวกท่านผิดหวังและเสียใจ แต่เวลามันไม่อาจหวนกลับ ชีวิตของเธอจึงจำเป็นต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น
"เดี๋ยวลูกได้แปดเดือนเราจะไปหางานทำแล้วนะ จะมาพึ่งพาพ่อแม่ไปตลอดคงไม่ได้ เราไม่ชอบที่เวลาตอนพ่อของเธอเมาแล้วมาพูดถึงเรื่องเงิน"
อยู่มาวันหนึ่งพราวนารีเอ่ยขึ้นกับพ่อของลูก เธอเกรงใจบิดาและมารดาของเธอที่ยังคงส่งเงินให้ใช้อยู่ไม่ขาด รวมไปถึงเงินที่ได้มาจากบิดาขี้เหล้าของเขาด้วย
"แล้วลูกล่ะ…จะทำยังไง" แฟนหนุ่มเอ่ยถามเธอขึ้นมา
"ก็ให้แม่นายเลี้ยงไง ถึงตอนนั้นนายก็เรียนจบแล้ว ไปหางานทำด้วยกัน ลูกโตขึ้นทุกวันนะ เราต้องคิดให้มากๆ"
คุณแม่ลูกอ่อนบอกพ่อของลูกก่อนที่เธอจะอุ้มลูกขึ้นมาแล้วหอมแก้มด้วยความรัก ถึงตอนแรกลููกจะเกิดมาจากความผิดพลาด แต่ลูกก็ทำให้เธอใช้ชีวิตผ่านพ้นไปได้ในแต่ละวัน
เวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว คุณพ่อยังหนุ่มเรียนจบในระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ เขาพักแพลนที่จะเรียนต่อเพราะลูกน้อยนั้นเลิกดื่มนมมารดาแล้ว เขากับพราวนารีจึงต้องพากันออกไปหางานทำ ซึ่งงานแรกที่ทั้งคู่พากันไปสมัครนั่นก็คือโรงงานแปรรูปไม้แห่งหนึ่งในอำเภอที่พวกเขาอาศัยอยู่ งานที่ทำเป็นงานที่หนักพอสมควร แต่จะทำอย่างไรได้ก็ในเมื่อเขาและเธอมีวุฒิที่ไม่สูงเหมือนคนอื่นที่สามารถมองหางานดีๆทำได้
พราวนารีและแฟนหนุ่มทำโอทีทุกวันและทำอยู่ที่โรงงานแห่งนั้นเป็นระยะเวลานานถึงสองเดือน แต่แล้ววันหนึ่งในหมู่บ้านของแฟนหนุ่มก็มีห้างสรรพสินค้าขนาดกลางมาเปิดใหม่และต้องการรับพนักงานใหม่ที่เป็นคนในพื้นที่ทั้งหมด พราวนารีและแฟนหนุ่มจึงตัดสินใจพากันไปสมัคร ผลที่ได้ปรากฏว่าเธอนั้นผ่านการสัมภาษณ์เพียงคนเดียว แฟนหนุ่มของเธอนั้นไม่ผ่าน
ซึ่งเหตุผลของคนสัมภาษณ์ลงความเห็นว่า สามีภรรยาไม่ควรทำงานที่เดียวกัน เพราะเวลามีปัญหาอะไรก็จะหายไปพร้อมกันทั้งสองคน สรุปคือพราวนารีได้งานใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่แฟนหนุ่มกลับไม่ยอมทำงานที่เดิมและเขายืนกรานว่าจะหางานใหม่ให้ตรงกับสายอาชีพที่ร่ำเรียนมา
“พราว… ไม่ไปไม่ได้เหรอ แล้วลูกจะนอนยังไงล่ะ”
แฟนหนุ่มเอ่ยถามเธอหลังจากที่ทราบข่าวว่าเธอต้องเดินทางไปอบรมต่างอำเภอนานถึงสองสัปดาห์ นั่นก็หมายความว่าเธอต้องนอนค้างที่โรงแรมที่บริษัทเปิดห้องให้เข้าพัก
“ได้ยังไง นายก็รู้ว่าลูกเรากินนมเก่งจะตาย หรืออยากให้เราไปลำบากอยู่ในโรงไม้เหมือนเดิม มันเหนื่อยนะกว่าจะผ่านไปได้แต่ละวัน”
เรื่องงานหนักเธอไม่เกี่ยงแต่เธอรู้สึกถึงความเห็นแก่ตัวของผู้อาวุโสที่ทำงานมาก่อน แล้วคนที่เหนื่อยก็คือเด็กที่อายุยังน้อยแบบเธอ อีกอย่างเธอกับแฟนหนุ่มก็ไม่ได้ทำอยู่โรงเดียวกัน เขาไม่มีทางมารู้มาเห็นเวลาที่เธอทำงานเลยสักครั้ง
“เธอไม่คิดถึงลูกหรือไง ไปตั้งสองอาทิตย์เลยนะ”
“อย่ามาพูดดี นายคิดถึงเราก็บอกมา เอาน่า… ลูกให้แม่นายดูไปก่อน เพื่ออนาคต เพื่อค่าใช้จ่าย ทำงานในห้างสรรพสินค้ามีแต่คนอยากทำ หรือนายอยากให้เราไปลำบากยกไม้หนักๆอยู่ในโรงไม้ล่ะ”
คำตอบติดเล่นของเธอก็ทำเอาผู้เป็นพ่อของลูกยิ้มออกมาน้อยๆ ก็เพราะเขาไม่ได้ไปกับเธอด้วย ความห่วงและหวงก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดาด้วยวัยที่ยังไม่รู้จักคิดให้เยอะ รู้เพียงแค่ว่าคนรักกันต้องอยู่ด้วยกัน แบ่งเบาความเหน็ดเหนื่อยของกันและกัน เพราะการมีพราวนารีอยู่ทำให้เขารู้สึกถึงคำว่าครอบครัวจริงๆ
พราวนารีเดินทางไปอบรมที่ห้างสรรพสินค้าต่างอำเภอเป็นเวลาสองสัปดาห์ เธอทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่แคชเชียร์ และนั่นทำให้เธอได้เรียนรู้ถึงวิธีการใช้เครื่องคิดเงิน เครื่องรูดบัตรเครดิต และการนับเงินเหรียญและเงินแบงก์ แรกๆก็มีคิดขัดอยู่บ้าง แต่เพราะเธอเป็นคนหัวไวเรื่องนี้จึงไม่ยากเกินความตั้งใจของเธอ เธอได้รับคำชมจากหัวหน้าของเธอบ่อยครั้ง และนั่นมันทำให้เธอรู้สึกมีกำลังใจในการเรียนรู้ จนถึงเวลาที่ได้ลงเครื่องจริงๆ หญิงสาวก็มือสั่นใจเต้นแรง และการทำงานของเธอก็ผ่านพ้นไปด้วยดี
ครบสองสัปดาห์พนักงานที่ไปอบรมก็เดินทางกลับมายังบ้านของตน เด็กน้อยดีใจที่มารดากลับมา บุตรชายกอดมารดาแน่นด้วยความคิดถึง ถึงแม้ว่าเขาจะอายุแค่เพียงสิบเดือนแต่เขาก็เรียนรู้สิ่งรอบตัวได้เร็ว พราวนารีหอมแก้มบุตรชายอย่างรักใคร่ สองสัปดาห์สำหรับเธอกับบุตรชายมันช่างนานแสนนานเหลือเกิน
การกลับมาของเธอก็ทำให้เธอรู้สึกหนักใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านของแฟนหนุ่มอยู่ไม่น้อย หนักใจเรื่องอะไรน่ะเหรอ ก็บิดาของแฟนหนุ่มน่ะสิ เขาเมากลับมาจากที่ทำงานทุกวันและทะเลาะกับมารดาของแฟนหนุ่มทุกวันจนเธออดที่จะรู้สึกสงสารบุตรชายตัวน้อยไม่ได้ที่เวลานอนก็ต้องมาสะดุ้งกับเสียงทะเลาะกันของผู้ใหญ่และเป็นแบบนี้เรื่อยมา
หลังจากที่พราวนารีทำงานที่ห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่มาได้เกือบปีเธอก็ออกรถยนต์มือสองเพื่อที่เวลาจะพาบุตรชายไปโรงพยาบาล หรือไปเยี่ยมคุณตาทวด คุณยายทวดที่อาศัยอยู่ห่างจากบ้านของบิดาไปเกือบหกสิบกิโลเมตร แรกๆเธออุ้มบุตรชายซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของแฟนหนุ่มไปเยี่ยมและนอนค้างบ้าง แต่เพราะรู้สึกว่ามันลำบากเกินไปสำหรับเด็กเล็กขนาดนี้ เธอและแฟนหนุ่มจึงตัดสินใจออกรถยนต์โดยใช้สลิปเงินเดือน เดือนละหกพันกว่าๆของเธอสมัครสินเชื่อจนเป็นหนี้ก้อนใหญ่ครั้งแรกของชีวิตในวัยสิบเก้าปี ชีวิตของเธอและครอบครัวยังดำเนินไปตามปรกติ
สองปีต่อมา
“น้องพราว… บ้านเกิดของน้องพราวอยู่จังหวัดไหนนะ” วันหนึ่งหัวหน้าของเธอเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ทำงานที่ห้างสรรพสินค้าภายในอำเภอของบ้านพ่อของลูก
“กำแพงเพชรค่ะพี่แก้ว” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ตอนนี้มันมีตำแหน่งรองหัวหน้าแผนกที่จังหวัดกำแพงเพชรว่างพอดีไม่มีใครยอมไปขึ้นตำแหน่งใหม่ที่นั่น พี่เลยอยากจะให้เราไปขึ้นตำแหน่งใหม่ที่นั่น เราไปได้ไหม” ผู้จัดการแผนกวัยสามสิบเอ่ยถามลูกน้องที่เธอมองเปรียบเสมือนเป็นน้องสาวอีกคน
“ขอพราวเก็บเอาไปคิดก่อนได้ไหมคะ ลูกของพราวยังเล็ก ขอพราวไปปรึกษาครอบครัวดูก่อนแล้วพราวจะมาให้คำตอบค่ะ”
พราวนารีตอบผู้จัดการแผนกของเธอ แก้วจึงพยักหน้าตกลงด้วยเข้าใจดี แต่อีกใจก็อยากให้น้องได้ไปเปิดประสบการณ์ชีวิตเพราะอายุยังน้อย
และคำถามนั้นก็เป็นปัญหาให้เธอคิดหนักอยู่หลายวัน ห่วงลูกก็ห่วง แต่ถ้าย้ายและเลื่อนตำแหน่ง เงินเดือนก็จะสูงขึ้นกว่าเดิม เธอเลือกที่จะปรึกษาแฟนหนุ่มก่อนเป็นอันดับแรกแต่เขาก็ดูเหมือนจะไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายพราวนารีก็ตัดสินใจที่จะไปเพราะภาระหนี้สินที่เพิ่มมากขึ้น แฟนหนุ่มของเธอนั้นทำงานได้เงินน้อยกว่าเธอมาก เรียกได้ว่าหมุนเงินไม่ทันเลยก็ว่าได้ และพราวนารีก็จำใจบอกลาบุตรชายที่กำลังอยู่ในวัยน่ารักน่าชัง
“น้องภู แม่ไปทำงาน น้องอยู่กับพ่อกับปู่ย่าอย่าดื้อนะลูกนะ เป็นเด็กดีเข้าใจไหมครับ”
“แม่พราวไม่ไปไม่ได้หรอครับ” เด็กชายวัยสามขวบเอ่ยถามมารดาน้ำตาคลอ
“แม่ไปเก็บเงินมาให้น้องภูซื้อขนม ของเล่นและเรียนหนังสือยังไงล่ะครับ”
เสียงหวานบอกบุตรชายอย่างอ่อนโยน ถึงแม้จะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ลูกน้อยสักเพียงไหน แต่เธอก็ต้องไปอยู่ดี เด็กชายตัวน้อยกระชับอ้อมกอดของมารดาแน่นด้วยรู้ว่าจะต้องห่างจากอ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ในไม่ช้า น้ำตาจากดวงตากลมของพราวนารีไหลลงมาด้วยความสงสารบุตรชาย แต่ถ้าเธอไม่ไปหนี้ที่มีมารายล้อมเธอกับแฟนหนุ่มก็คงจะไม่มีปัญญาหามาจ่ายได้เช่นกัน
ตอนนี้พราวนารีเข้าใจแล้วว่า การเติบโตขึ้นมาเป็นพ่อเป็นแม่ในวัยที่ไม่พร้อมนั้นไม่มีอะไรดีเลยสักนิด ถึงปากจะบอกว่าเลี้ยงลูกได้ แต่ความสุขที่จะมอบให้ลูกนั้นมันช่างห่างไกลเหลือเกิน ขนาดบิดามารดาของเธอหรือแม้แต่บิดามารดาของพ่อของลูกเธอเองก็ยังเป็นพ่อแม่ที่ยังไม่ดีพอเลย แล้วนับประสาอะไรกับเธอและแฟนหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบเก้าปียี่สิบปี แถมยังเรียนจบแค่มัธยมศึกษาตอนต้น ในเมื่อเธอได้รับโอกาสในการก้าวหน้าในอาชีพการงานมาขนาดนี้ สู้เธอคว้ามันเอาไว้ไม่ดีกว่าเหรอ