ตอนที่ 2 ชีวิตที่พลิกผัน
เด็กหญิงพราวนารีได้ย้ายมาเรียนอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของบิดาและมารดา เด็กหญิงวัยเก้าขวบได้มาพักอาศัยอยู่กับบิดามารดาอีกครั้งทำให้เธอรู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวสักที
"แม่จ๋า.... หนูดีใจที่สุดเลยจ้ะ ที่ได้มาอยู่กับพ่อกับแม่"
เด็กหญิงตัวน้อยบอกความรู้สึกของเธอให้มารดาได้รับรู้ขณะที่นอนกอดกับมารดาอยู่ในค่ำคืนแรกด้วยความคิดถึง
"แต่การมาอยู่ที่นี่ มันไม่ได้สบายนักหรอกนะลูก หนูเห็นที่พักของเราไหม ข้างล่างนั่นมันไม่ต่างจากน้ำเน่าเลยสักนิด"
ที่อารีบอกบุตรสาวนั้นไม่ผิด ข้างล่างของบ้านพักที่เธอและคนงานก่อสร้างอีกเกือบสิบชีวิตพักอาศัยอยู่นั้น ด้านล่างมันคือน้ำเน่าจริงๆ น้ำเน่าซึ่งเกิดจากการทิ้งสิ่งปฏิกูลและขยะลงไปในน้ำ ทำให้เกิดการเน่าเสีย
"ไม่เป็นไรจ้ะแม่ พ่อกับแม่ยังอยู่ได้ แล้วทำไมหนูจะอยู่ไม่ได้ล่ะ"
คำตอบของเด็กหญิงทำให้มารดาฉีกยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู บุตรสาวของเธอที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันเพียงสองปี แต่ทว่าเธอนั้นยังคงเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่ายเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด
“ถ้าอย่างนั้นหนูก็มาอยู่ที่นี่ให้มีความสุข มีแต่คนรักคนเอ็นดูนะลูก” เด็กหญิงยิ้มรับกับคำกล่าวต้อนรับของมารดา
'ที่ไหนก็อยู่ได้ขอแค่มีพ่อกับแม่' ที่นั่นคือความสุขของเธอ
เด็กหญิงเข้ากับเพื่อนๆ ที่พักอยู่บริเวณใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี และดูเหมือนว่าเธอจะเป็นผู้นำเอาการละเล่นพื้นบ้านของต่างจังหวัดไปเผยแพร่ให้เพื่อนๆ ที่นั่นได้เล่นกันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นโดดหนังยาง เดินกะลา หรือแม้แต่ลิงลม เด็กๆ หลายคนต่างชื่นชอบมาเล่นกับเธอจนเธอสนิทกับทุกคนเพียงเวลาไม่นาน
“พี่พราว พี่พราวเรียนที่ไหนจ๊ะ” น้องมิ้นเด็กแถวนั้นเอ่ยถามเด็กหญิงผู้มาใหม่
“แม่พี่ยังไม่ได้พาไปเลยจ้ะ เห็นว่าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ แล้วน้องมิ้นล่ะจ้ะ เรียนอยู่ที่ไหน” พราวนารีตอบก่อนที่จะเอ่ยถามเด็กหญิงกลับบ้าง
“หนูเรียนที่โรงเรียนวัดกลางจ้ะ" มิ้นบอกชื่อโรงเรียนที่พราวนารีเองก็ไม่รู้จักอยู่ดีเพราะเธอเพิ่งจะมาอยู่ที่จังหวัดนี้
สองสัปดาห์ต่อมา
เด็กหญิงพราวนารีในชุดนักเรียนใหม่เอี่ยมถูกพาไปรายงานตัวที่โรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากที่พักของเธอมากเท่าไหร่ แต่ก็ดูจะไกลกว่าโรงเรียนของน้องมิ้นอยู่ดี เพื่อนใหม่ของพราวนารีที่มาเข้าเรียนพร้อมกันนั้นนิสัยค่อนข้างดี แต่เพื่อนที่เรียนอยู่ก่อนแล้วค่อนข้างที่จะหัวรั้นและไม่ค่อยชอบเด็กใหม่แบบพวกเธอ การเข้าเรียนที่คิดว่าสนุกจึงเปลี่ยนไป พราวนารีโดนเพื่อนแกล้งในช่วงสัปดาห์แรกจนเธอเกลียดการไปโรงเรียน
ด้วยความที่เป็นคนเงียบๆ และดูไม่ค่อยมีปากมีเสียงกับใครจึงเป็นจุดสนใจของพวกนิสัยไม่ดี เด็กหญิงไม่อยากไปโรงเรียนจนบิดาอดทนไม่ได้ เขาเตะเธอเพียงเพราะเธอไม่อยากไปโรงเรียนในวันหนึ่งที่เธอถูกแกล้งหนักๆ เด็กหญิงไม่เคยปริปากบอกบิดามารดาเรื่องที่ถูกแกล้งตอนอยู่โรงเรียนเลยสักครั้ง และนั่นทำให้บิดาเข้าใจผิดคิดว่าเธอไม่รักเรียน
“ฮือๆๆ หนูไม่อยากไปโรงเรียน ไปก็โดนแกล้ง หนูไม่สนุก”
และแล้วเด็กหญิงก็ยอมบอกความจริงกับบิดามารดา ดำรงที่ลงไม้ลงมือกับลูกเพราะคิดว่าลูกไม่รักเรียนถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว เขาขอโทษบุตรสาวตัวน้อยที่กระทำรุนแรงกับเธอเพราะความโมโหที่เขาและภรรยาตรากตรำทำงานหนักก็เพื่อให้เธอได้เรียนหนังสือจบมาจะได้พึ่งพาในยามแก่เฒ่า
“พ่อขอโทษนะลูก ที่พ่อไม่ถามลูกก่อน แล้วทำไมหนูไม่บอกแม่เวลาที่แม่ไปรับว่าหนูโดนเพื่อนแกล้ง เดี๋ยวพ่อให้แม่เค้าไปบอกคุณครูที่โรงเรียนให้จัดการให้ ต่อไปหนูมีเรื่องอะไรไม่สบายใจให้บอกพ่อกับแม่เข้าใจไหม” ดำรงบอกบุตรสาว เด็กหญิงพยักหน้าขึ้นลงทั้งน้ำตา มารดากอดเธอเอาไว้
วันต่อมาอารีจึงไปส่งบุตรสาวถึงห้องเรียนและแจ้งกับคุณครูประจำชั้นว่าเด็กหญิงแพรวนารีถูกเพื่อนที่อยู่ในห้องเดียวกันแกล้งจนลูกสาวของเธอไม่อยากมาโรงเรียน วันนั้นคุณครูจึงเรียกเด็กพวกนั้นเข้าไปคุยว่าถ้าแกล้งเพื่อนอีกจะให้ย้ายโรงเรียน ถึงจะเป็นเด็กหัวรั้น แต่เด็กพวกนั้นก็กลัวบิดามารดาจะลงโทษถ้าคุณครูเรียกผู้ปกครองมาพบ ทุกคนจึงรับปากว่าจะไม่แกล้งเพื่อนอีก ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเด็กหญิงพราวนารีก็ไปเรียนได้อย่างสบายใจและเริ่มเรียนสนุกขึ้นเมื่อได้มีเพื่อนในห้อง
“พราว อันนี้ทำยังไงอะ” วิว เพื่อนใหม่ของเด็กหญิงเอ่ยถามคณิตศาสตร์ข้อหนึ่งที่ไม่มีใครทำได้
“วิว ทำแบบนี้นะ”
เด็กหญิงพราวนารีเริ่มอธิบายให้เพื่อนฟังอย่างคล่องแคล่ว เธอไม่ใช่คนเก่งแต่เธอนั้นพยายามและหมั่นทบทวนบทเรียนอยู่เสมอ ทำให้เธอเข้าใจแทบจะทุกวิชาที่คุณครูสอน
“ขอบใจนะพราว ถ้าไม่ได้เธอการบ้านข้อนี้ววทำไม่เสร็จแน่” เพื่อนสนิทเอ่ยขอบคุณพราวนารีจากใจ
“ยินดีจ้ะ ช่วยๆ กันเน๊อะ อันไหนเราไม่เข้าใจเดี๋ยวเราจะถามเธอก็แล้วกัน”
เด็กหญิงพราวนารีเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม ที่เขาบอกว่าคนต่างจังหวัดมักจะใช้ใจคบกันมันเรื่องจริง เพราะวิวก็เป็นเด็กที่เพิ่งย้ายมาจากต่างจังหวัดเช่นเดียวกับเธอ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากเด็กใหม่ในวันนั้นตอนนี้เด็กหญิงพราวนารีเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้มาจนกลางเทอมแล้ว และเป็นการสอบครั้งแรกของภาคเรียนที่หนึ่ง ก่อนหน้าที่จะสอบสองสัปดาห์เด็กหญิงขอเงินจากมารดาเพื่อไปซื้อหนังสือแบบฝึกหัดที่มีเฉลยมาหัดทำทุกวันจนเธอจำได้ขึ้นใจ เธอทำมันเป็นประจำทุกวัน ขยันทบทวนบทเรียน เมื่อถึงเวลาสอบเด็กหญิงก็พบว่าแบบฝึกหัดที่เธอซื้อมาฝึกทำนั้นมีข้อสอบที่คุณครูเอามาใช้ออกเป็นข้อสอบกลางภาคเกือบทั้งหมด เด็กหญิงสามารถทำได้อย่างง่ายดายและผ่านฉลุย
ผลการเรียนในภาคเรียนที่หนึ่งออกมา ปรากฏว่าเด็กหญิงสามารถเบียดลำดับที่หนึ่งของทุกปีตกระดับเป็นที่สองและที่สาม เพื่อนๆ ต่างมาแสดงความยินดีกับเธอ รวมไปถึงคุณครูประจำชั้นด้วย ภาคเรียนที่หนึ่งเด็กหญิงพราวนารีสอบได้ที่หนึ่ง สร้างความภูมิใจให้กับบิดามารดาได้เป็นอย่างดี หัวหน้าของบิดามารดาถึงกับให้ของขวัญเด็กหญิงเป็นเงินจำนวนหนึ่งซึ่งทำให้พราวนารีรู้สึกมีความสุขมาก ผลจากความขยันไม่ทำให้ใครไม่ประสบความสำเร็จจริงๆ
“ดีใจด้วยนะพราว เราไม่คิดว่าเธอจะเรียนเก่งขนาดนี้”
เพื่อนชายในห้องคนที่เคยได้ที่หนึ่งมาโดยตลอดเอ่ยอวยพรกับเพื่อนใหม่จากใจจริง
“ขอบใจนะตี๋ เราไม่ได้เรียนเก่งเหมือนตี๋หรอก แต่เราอาศัยความขยันและความพยายามต่างหาก” เด็กหญิงวัยสิบขวบเอ่ยขอบคุณเพื่อนพร้อมทั้งเอ่ยออกมา
“แต่ถึงยังไงเราก็ไม่คิดว่าคนไม่เก่งแค่ขยันและพยายามจะสอบได้ที่หนึ่งได้ อย่าถ่อมตัวไปเลย” ตี๋เอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวถ่อมตัว
“เราอาจจะมีพื้นฐานดีมาจากโรงเรียนเดิม เลยต่อยอดมาถึงตอนนี้ล่ะมั้ง”
พราวนารีไม่รู้จะพูดอย่างไรในเมื่อเพื่อนคิดว่าเธอเก่ง เธอก็จะให้เพื่อนเข้าใจว่าเป็นแบบนั้น แต่ความจริงเธอนั้นอาศัยความขยันและความพยายามในการทบทวนบทเรียนล้วนๆ
เมื่อปิดภาคเรียนที่หนึ่ง เด็กหญิงพราวนารีก็อาสาไปทำงานกับบิดาและมารดา มีบ้างที่เด็กหญิงวัยสิบขวบจะช่วยยกถังปูนเล็กๆ ที่มีปูนผสมแล้วให้กับมารดา เจ้านายใจดีของดำรงและอารีนั้นเอ็นดูเด็กหญิงพราวนารีอยู่ไม่น้อยจึงจ่ายค่าแรงให้เด็กหญิงหนึ่งร้อยบาท เด็กหญิงดีใจที่ตนเองหาเงินได้เยอะเพราะตอนอยู่บ้านกับอาเธอรับจ้างตัดเหล็กได้เพียงสี่สิบบาท เก็บขวดตามข้างถนนไปขายก็ได้ไม่เกินห้าสิบ ถือว่าการมาช่วยงานบิดามารดาเธอได้เงินเป็นจำนวนที่มากทีเดียว เด็กหญิงไปทำงานกับบิดามารดาตลอดปิดภาคเรียนที่หนึ่งจนเปิดภาคเรียนที่สองเด็กหญิงจึงต้องกลับไปทำหน้าที่เรียนหนังสือเช่นเดิม
“เทอมนี้จะเอาที่อะไรดีคิกๆๆ” วิวเอ่ยแซวเธออย่างไม่จริงจังนัก
“ที่อะไรก็ได้จ้ะ พราวไม่ได้ยึดติดกับตัวเลขและลำดับ"
เด็กหญิงตอบเพื่อนสนิทราวกับเป็นผู้ใหญ่ เธอเป็นเด็กก็จริงแต่บางมุมเธอก็เงียบขรึม ดูมีความคิดคล้ายผู้ใหญ่
ชีวิตของเด็กหญิงพราวนารีในเมืองใหญ่นั้นเป็นไปอย่างราบรื่นจนเมื่อโรงเรียนใกล้จะปิดภาคเรียนที่สอง นั่นก็หมายถึงว่าเด็กหญิงกำลังจะได้เลื่อนระดับชั้นไปเป็นประถมหก ความกังวลในหลายๆ อย่างเกิดขึ้น ครอบครัวจึงนั่งปรึกษากันหลังจากมื้ออาหารเย็นเสร็จ
“เรียนที่นี่มันต้องมีทะเบียนบ้านอยู่ที่นี่นะพี่”
อารีเอ่ยขึ้นกับสามี คนสมัยก่อนไม่ค่อยเข้าใจกับการศึกษาในต่างถิ่นนัก นี่คือความเข้าใจของเธอว่าถ้าบุตรสาวจะเรียนต่อที่จังหวัดนี้ต้องมีทะเบียนบ้านอยู่ที่นี่
“งั้นหรือ แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ในเมื่อเราเป็นคนต่างถิ่น” ดำรงบอกภรรยาก่อนที่จะนึกขึ้นได้
“เอาอย่างนี้ดีไหม ให้ลูกกลับไปเรียนต่อที่บ้านเรานั่นแหละ ให้กลับไปอยู่กับอาเหมือนเดิม” ดำรงเสนอออกมา
“เอาอย่างนั้นก็ได้มั้งพี่ อีกอย่างเราใกล้จะได้ย้ายที่ทำงานอีกแล้ว ถ้าเราย้ายลูกก็จะเดือดร้อนเรื่องที่เรียนอีก ฉันไม่อยากให้ลูกย้ายโรงเรียนบ่อยๆ กลัวลูกเรียนไม่ทันเพื่อน” อารีบอกสามี
“พราว พอสอบเสร็จพ่อจะย้ายหนูกลับไปอยู่กับอาเหมือนเดิมนะลูก จบปอหกแล้วค่อยว่ากันใหม่ เดี๋ยวพ่อกับแม่ต้องย้ายงานไปทำอีกจังหวัดมันจะยุ่งเรื่องโรงเรียนของหนู” ดำรงหันไปคุยกับบุตรสาวที่รอการตัดสินใจของบิดามารดาอยู่
‘นี่เธอจะต้องย้ายกลับไปอยู่กับครอบครัวของอาอีกแล้วสินะ’ เด็กหญิงคิดในใจก่อนที่จะผ่อนลมหายใจออกมา
“เอาแบบนั้นก็ได้จ้ะ หนูก็ไม่อยากจะย้ายโรงเรียนบ่อยๆ เพราะกว่าจะปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนได้มันยาก” เด็กหญิงวัยสิบขวบตอบบิดามารดา
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้แล้วกันนะ” ผลสรุปก็เป็นไปตามที่บิดาและมารดาลงตัดสินใจความเห็นกัน
หลังจากสอบเสร็จดำรงกับอารีก็เดินทางกลับมาส่งบุตรสาวให้อยู่กับผู้เป็นอาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เด็กหญิงพราวนารีอาศัยและไปโรงเรียนที่นี่ได้เพียงสัปดาห์เดียว น้าสาวที่เป็นญาติทางมารดาก็ติดต่อไปหามารดาและอาสาที่จะรับพราวนารีไปดูแลแทนด้วยกลัวว่าอาจะไม่มีเวลาดูแลจนหลานสาวออกนอกลู่นอกทาง เด็กหญิงตัวน้อยตัดสินใจไปอยู่กับน้าอย่างง่ายดายด้วยไม่อยากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อึดอัด เธอยังอยากมีอนาคตที่ดีด้วยการไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือกับครอบครัวของน้าที่ยังมีตาและยายอยู่ด้วย