#3
ปลาตัวใหญ่เพียงนี้ ยังไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ในตอนที่หว๋ากังและพวกเดินผ่านหมู่บ้านจึงกลายเป็นจุดสนใจไม่น้อย
เลิ่งยี่จับปลาตัวใหญ่ได้อีกสองตัว ทีแรกนางจะจับเพิ่มอีก ครั้นนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนเองเป็นใคร เลยจำใจต้องรามือ เลิ่งยี่ไม่ได้ทุบหัวปลาเหมือนตัวแรก เพียงบีบเข้าที่จุดตายของมัน ก่อนจะนำเถาวัลย์มาถักเป็นเชือกร้อยปลาสองตัวเข้าด้วยกัน จากนั้นพันไว้ที่ปลายไม้แบกกลับบ้าน ระหว่างทาง นางพลันหยุดเดินกะทันหัน เพ่งสัมผัสไปเบื้องหน้า แม้จะห่างไปราวแปดสิบจั้ง ทว่าการมองเห็นของนางกลับเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม
คิ้วของเลิ่งยี่ขมวดมุ่น รีบวิ่งตรงไปยังร่างที่นอนหมดสติ มาถึงก็รีบกวาดสัมผัสไปทั่วร่างของเจิ้งซูทันที อาการบาดเจ็บภายในค่อนข้างสาหัสเลยทีเดียวสำหรับเด็กน้อยวัยเก้าปี เลิ่งยี่รีบแบกเขาขึ้นหลังพร้อมปลาในมือเดินกลับบ้านอย่างเร่งรีบ
เดิมทีขามาไม่มีใครสนใจสองพี่น้อง ทว่าขากลับทุกคนต่างพากันมองมาที่พวกเขาเป็นตาเดียว แต่สิ่งที่ชาวบ้านสนใจหาใช่คน กลับเป็นปลาตัวใหญ่สองตัว
เมื่อครู่ที่เห็นหว๋ากังถือมา หลายคนยังไม่ทันคลายความอิจฉาริษยาลง พอมาเห็นปลาในมือลูกกำพร้าตระกูลจางย่อมต้องอยากแย่งชิง
นางฮุ่ยผู้มีศักดิ์เป็นป้าสะใภ้ของหวั่นอี้รีบวิ่งไปตามสามี พอจางอู่เต้าออกมาเห็นก็รีบเดินปรี่เข้าไปหาหลานสาว ชาวบ้านที่อยากได้ปลาบางคนรีบเดินตามครอบครัวตระกูลจางเข้าไป
อู่เต้าก้าวเข้าไปยืนขวางหน้า ไม่แม้แต่จะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ไม่สนใจแม้กระทั่งเด็กชายที่ถูกแบกอยู่บนหลัง
ต่อให้ไม่มีความทรงจำของร่างเดิม เลิ่งยี่ก็พอคาดเดาได้ว่าคนตรงหน้าเป็นคนเช่นไร
อู่เต้ากล่าวกึ่งบังคับว่า “ส่งปลามาให้ข้า!”
เลิ่งยี่ถอนหายใจคราหนึ่ง กวาดมองผู้คนที่พากันมารุมล้อมนาง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดชาวบ้านเหล่านี้ถึงได้มีใจคอคับแคบกันนัก มิใช่ว่าควรอยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยหรอกหรือ หรือว่าแต่เดิมพื้นฐานจิตใจมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ คิดแล้ว เลิ่งยี่ก็เอ่ยกับคนตรงหน้าอย่างใจเย็น “ท่านลุง โปรดหลบทางให้ข้าด้วย เสี่ยวซูบาดเจ็บ ข้าต้องรีบพาเขากลับบ้าน”
นางฮุ่ยเกรงสามีจะใจอ่อน จึงชิงพูดขึ้น “เจ้าจะไปก็ได้แต่ต้องทิ้งปลาสองตัวนั้นไว้!”
เลิ่งยี่ถอนหายใจอีกครา พยายามสกัดกั้นโทสะที่กำลังจะปะทุ สุดท้ายนางก็เลือกที่จะโยนปลาในมือทิ้งแล้วแบกเจิ้งซูเดินจากไป ครั้นออกมาได้ครึ่งทาง ใบหน้าของนางพลันปรากฏรอยยิ้ม ในที่สุดนางก็สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ต่อไป นางคงใช้ชีวิตได้อย่างสงบ เลิ่งยี่คิดอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้รู้เลยว่า ปลาสองตัวที่นางทิ้งไว้ เวลานี้กำลังสร้างปัญหาใหญ่ให้ทั้งหมู่บ้าน
ญาติตระกูลจางหาได้มีเพียงจางอู่เต้า ยังมีญาติห่างๆ อีกหลายครัวเรือน พอปลาสองตัวถูกโยนลงพื้น ทุกคนพากันจ้องตาเป็นมัน ยังไม่ทันที่อู่เต้าจะได้คว้าจับ ชายร่างใหญ่ผู้หนึ่งก็เข้ามาอุ้มปลาไปกอดไว้ พลางกล่าวเสียงดัง “ปลาสองตัวนี้เป็นของข้า!”
ชาวบ้านที่ยืนอยู่ไหนเลยจะยอม ปลาในแม่น้ำใช่จะหากันได้ง่ายๆ เพราะน้ำในแม่น้ำไม่เพียงจะเชี่ยวมาก ใต้น้ำยังเป็นน้ำวน อีกทั้งยังหนาวเย็น ใครจะกล้าเอาชีวิตไปเสี่ยง เต็มที่ก็ได้เพียงปลาเล็กปลาน้อยที่มาตายเกยฝั่ง อาหารชั้นดีที่หายากเช่นนี้นี้ ใครบ้างไม่อยากได้ ไม่นานก็เกิดการลงไม้ลงมือ รุนแรงถึงขั้นได้เลือด
เลิ่งยี่ย่อมไม่รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้น หลังจากใช้พลังปราณรักษาอาการบาดเจ็บภายในของเจิ้งซูเรียบร้อย นางก็หันไปสั่งลู่ปิง “เสี่ยวปิง พี่ใหญ่จะขึ้นเขาไปหาสมุนไพรมารักษาบาดแผลให้พี่รองของเจ้า เจ้าช่วยดูแลเขาสักครู่ได้หรือไม่”
ลู่ปิงพยักหน้ารัวๆ ถึงเขาจะยังเด็ก วัยเพียงหกปี แต่นับว่ารู้ความยิ่ง ตอนที่เห็นพี่ชายถูกพี่สาวแบกกลับมา เด็กน้อยมิได้ตกใจจนลนลาน ทั้งยังช่วยเตรียมผ้าชุบน้ำมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้พี่ชาย เลิ่งยี่เห็นการกระทำของเด็กทั้งสองแล้ว รู้สึกดีกับเด็กๆ เพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน นางลูบศีรษะลู่ปิงอย่างเอ็นดู ก่อนจะก้าวเท้าออกจากบ้าน
พ้นหลังพี่สาวลู่ปิงน้อยก็รีบออกไปต้มน้ำ เผื่อไว้ให้พี่ชายอาบในยามที่เขาตื่น
ไม่นานเลิ่งยี่ก็กลับมาพร้อมสมุนไพร ส่วนเจิ้งซูฟื้นคืนสติอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว
สองพี่น้องเห็นนางเดินผ่านประตูเข้ามา ก็ขานเรียกพร้อมกัน “พี่ใหญ่”
เลิ่งยี่พยักหน้าให้พวกเขาด้วยรอยยิ้ม หันไปกล่าวกับเจิ้งซู “เจ้าพักผ่อนสักครู่ เดี๋ยวพี่ใหญ่บดสมุนไพรใส่แผลให้”
เจิ้งซูหาได้สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง เขาก้มหน้าลง กล่าวอย่างรู้สึกผิด “พี่ใหญ่ ข้าขอโทษ ปลานั่น...”
ไม่รอให้เขาเอ่ยจบ เลิ่งยี่ก็เดินมาลูบศีรษะอย่างอ่อนโยน กล่าวปลอบโยนว่า “แค่ปลาตัวเดียว ต่อไปอย่าได้เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงอีก เดี๋ยวใส่ยาให้เจ้าเสร็จแล้ว พี่ใหญ่จะออกไปจับมาให้เจ้าใหม่”
เจิ้งซูยังคงมีสีหน้ากังวล ท่าทางคล้ายอยากจะพูดอะไรต่อ เลิ่งยี่อ่านความคิดของเขาออก จึงกล่าวเพื่อให้เขาสบายใจ “ไม่ต้องห่วง ขากลับพี่ใหญ่จะไม่เดินผ่านหมู่บ้านจะได้ไม่ถูกแย่งปลาไปอีก”
พอได้ยินพี่สาวพูดเช่นนั้น เจิ้งซูถึงได้ยอมนอนลง เลิ่งยี่บดสมุนไพรเสร็จก็นำมาใส่แผลให้เขา จากนั้นต้มสมุนไพรให้เขาดื่ม รอให้เจิ้งซูหลับ นางก็หันไปสั่งลู่ปิง “เสี่ยวปิง ดูแลพี่รองเจ้าให้ดี เดี๋ยวพี่ใหญ่กลับมา”
ลู่ปิงน้อยพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง นั่งเฝ้าข้างเตียงไม่ยอมขยับ
เลิ่งยี่หายไปไม่ถึงชั่วยามก็กลับมาพร้อมกับปลาตัวใหญ่ห้าตัว จัดการเผาปลาตัวหนึ่งอย่างชำนาญ ปลาสดใหม่เพียงนี้ ต่อให้ไม่มีเครื่องปรุงรส ก็กลายเป็นอาหารชั้นเลิศได้ มื้อนี้จึงเป็นมื้อที่วิเศษสุดสำหรับเจิ้งซูและลู่ปิง ตั้งแต่บิดามารดาเสียไป พวกเขาไม่เคยได้กินอิ่มเช่นนี้มาก่อน
ส่วนปลาที่เหลือเลิ่งยี่จัดการแล่เนื้อเพื่อทำปลาตากแห้ง เพียงเท่านี้พวกเขาก็มีอาหารกินไปอีกหลายวัน พอท้องอิ่ม เลิ่งยี่ก็เริ่มคิดทบทวนเรื่องการใช้ชีวิตในฐานะจางหวั่นอี้
อย่างแรกนางคงต้องหาเงินก่อน จากนั้นปลูกบ้านใหม่ เพราะกระท่อมหลังนี้เพียงสร้างไว้พักพิงชั่วคราว หลังจากที่บ้านเดิมถูกหิมะถล่ม ยังดีว่าตอนนั้น ตระกูลจางยังมีคนใจดีหลงเหลืออยู่ เป็นท่านอาห่างๆ ที่อยู่ต่างเมือง เด็กกำพร้าทั้งสามถึงได้มีที่ซุกหัวนอน เลิ่งยี่ค่อยๆ วางแผนชีวิตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน คิดว่าพรุ่งนี้นางคงต้องไปเดินสำรวจในเมือง
ขณะที่เลิ่งยี่กำลังดื่มด่ำกับชีวิตสงบสุขอยู่นั้น พวกชาวบ้านก็พากันแห่มาที่กระท่อมของนาง ผู้นำคือ เถียนจง หัวหน้าหมู่บ้าน ตามด้วยคนตระกูลจาง และชาวบ้านที่ทะเลาะวิวาทแย่งปลา กระทั่งคนบ้านสุ่ยและสุ่ยหว๋ากังยังตามมา