#2
หลังจากที่ฝนฟ้ากระหน่ำมาทั้งคืน ที่สุดแสงแรกของวันใหม่ก็มาเยือน ท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัว บ้านเรือนหลายหลังเริ่มมีควันโชยออกมา มีเพียงกระท่อมหลังเล็กตีนเขาที่ไม่ได้จุดเตาทำอาหาร
เจิ้งซูกวาดมองห้องครัวอย่างกลัดกลุ้ม เมื่อวานเขากับพี่สาวขึ้นเขาไปเก็บผักป่า แต่พี่สาวมาถูกงูกัดเขาเลยต้องรีบแบกนางกลับมา วันนี้พวกเขาเลยไม่มีอาหารกิน ลำพังตัวเอง เจิ้งซูมิได้กังวล ห่วงก็แต่พี่สาวกับน้องชาย
ภายในบ้าน เลิ่งยี่ขยับตัวนั่งห้อยขาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย สัมผัสทั้งห้าของนางช่างดียิ่ง ได้ยินแม้กระทั่งเสียงพูดคุยของชาวบ้าน ไม่นึกว่าพลังยุทธจะตามติดมากับวิญญาณของนาง หลังจากที่ผ่านความหนาวเหน็บมาแปดร้อยปี เลิ่งยี่รู้ซึ้งอย่างยิ่งยวด ว่าการต้องรับกรรมมันทรมานเพียงใด เมื่อมีโอกาสได้เกิดใหม่ นางจึงอยากใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่อยากกลับไปเป็นนางมารฆ่าคนเป็นผักปลาอีก คิดแล้ว เลิ่งยี่จึงผนึกประสาทสัมผัสของตัวเอง ก่อนจะลุกจากเตียง
หมู่บ้านเฮ่อเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่บนเนื้อที่ราวหนึ่งฉิง มีประชากรอาศัยอยู่ราวๆ สองร้อยหลังคาเรือน ทิศใต้อยู่ติดเทือกเขา ทิศตะวันออกห่างไปไม่ไกลมีแม่น้ำไหลผ่าน ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำการเกษตร ชีวิตความเป็นอยู่นับว่าไม่ได้ดีมากนัก
หน้ากระท่อม เลิ่งยี่กวาดมองไปรอบๆ พลางสูดหายใจเข้าอย่างแรง หลับตาดื่มด่ำกับทุกสรรพสิ่งรอบกาย แทบไม่อยากเชื่อว่าตนเองจะได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เมื่อชื่นชมจนพอใจแล้ว ก็สาวเท้าตรงไปยังโอ่งน้ำ หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อยถึงได้เดินเข้าไปในเพิงไม้ไผ่
เจิ้งซูเห็นพี่สาวเดินเข้ามา พลันก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด เลิ่งยี่พอจะอ่านความคิดเขาออก จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่จางหวั่นอี้มักใช้กับน้องชาย “เมื่อคืนฝนตกหนัก น้ำในแม่น้ำน่าจะเอ่อล้นตลิ่ง เสี่ยวซูพวกเราไปจับปลากัน” เอ่ยจบนางก็สาวเท้าออกจากโรงครัว เจิ้งซูรีบก้าวตามไปโดยไม่ถามไถ่
หลังจากบิดามารดาสิ้น จางหวั่นอี้กลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว นางต้องทำงานหนัก เพื่อให้น้องๆ ได้มีอาหารประทังชีวิต ไม่ว่าใครจะจ้างทำอันใด เหนื่อยหนักแค่ไหนไม่เคยปริปากบ่น ยอมลำบากตรากตรำทำงานเพื่อแลกกับเศษอาหาร
เจิ้งซูโตกว่าลู่ปิงย่อมเห็นทุกอย่าง จึงรักและเคารพพี่สาวคนนี้มาก ขอเพียงหวั่นอี้สั่งคำเดียว เขาจะทำตามทันที ตอนนี้ก็เช่นกัน เจิ้งซูเดินตามหลังพี่สาวไปเงียบๆ ไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย ว่านางจะจับปลาได้อย่างไร
การกระทำของเขาทำให้เลิ่งยี่รู้สึกพอใจยิ่ง เดิมทีนางไม่ชอบเด็ก เพราะพวกเด็กๆ ที่นางเคยพบ ล้วนเป็นพวกเอาแต่ใจ ดื้อด้าน ทำให้รู้สึกรำคาญทุกครั้งที่เห็น แม้ว่าเลิ่งยี่จะเคยเป็นเด็ก ทว่านางกลับมิได้เติบโตมาอย่างเด็กทั่วไป อายุสี่ปี ถูกบิดาทิ้งไว้บนเกาะร้าง แปดปีถูกโยนเข้าไปในด่านโลกันตร์ สิบห้าปี ขึ้นนั่งตำแหน่งประมุขพรรคมาร นางไม่เข้าใจเด็กคนอื่นย่อมมิใช่เรื่องแปลก
สำหรับเจิ้งซู เลิ่งยี่รับรู้ได้ว่าเขาแตกต่างจากเด็กคนอื่น เด็กคนนี้เป็นคนมีจิตใจเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ความคิดความอ่านโตเกินวัย นับว่าใช้ได้เลยทีเดียว
เลิ่งยี่ก้าวเดินไปพลางชื่นชมบรรยากาศโดยรอบ แม้ว่าในหมู่บ้านจะไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ ทว่าในสายตาของนางทุกอย่างล้วนดีงามหมด หลังจากเดินผ่านหมู่บ้านได้ไม่ไกลก็มาถึงริมแม่น้ำ
“ตรงนี้เหมาะยิ่ง” เลิ่งยี่หันไปยิ้มให้เด็กชายเบื้องหลัง ก่อนจะค่อยๆ ก้าวลงไปในน้ำ
เจิ้งซูมองพี่สาวด้วยความกังวล ก่อนหน้านี้ เคยมีคนถูกน้ำพัดหายไปจนหาศพไม่เจอ เขาอดที่จะเอ่ยเตือนไม่ได้ “พี่ใหญ่ ท่านอย่าลงไปลึกนัก น้ำในแม่น้ำเชี่ยวมาก ระวังจะถูกพัดไป”
เลิ่งยี่ยังคงก้าวลงไปในแม่น้ำจนกระทั่งน้ำสูงท่วมเอวถึงได้หยุด ดวงตาคู่งามหลับลง ยืนนิ่งประหนึ่งรูปปั้น พริบตาหลังจากนั้นฝ่ามือเรียวบางก็เคลื่อนไหว อึดใจต่อมาปลาตัวใหญ่พลันถูกโยนขึ้นมาบนฝั่ง เจิ้งซูรีบเข้าไปตะครุบไว้ตามสัญชาตญาณ ทั้งๆ ที่มองไม่ทันด้วยซ้ำว่าปลาตัวนี้ลอยมาได้อย่างไร รู้เพียงมันมาจากทิศทางที่พี่สาวยืนอยู่
เลิ่งยี่ตะโกนขึ้นมาว่า “เจ้ารู้วิธีร้อยปลาหรือไม่”
“มะ..ไม่รู้ขอรับ” เจิ้งซูตอบพลางปล้ำกับปลาตัวใหญ่บนพื้น จนเนื้อตัวมีแต่ดินโคลน ปลาตัวนี้ใหญ่เท่าครึ่งตัวของเขา ซ้ำยังมีเรี่ยวแรงมหาศาล ครีบแหลมคมของมันบาดเข้าตามเนื้อตามตัวของเจิ้งซูอยู่หลายแผล แต่เขากลับไม่คิดยอมแพ้
เลิ่งยี่รับรู้สถานการณ์ด้านบนได้โดยที่ไม่ต้องหันกลับมามอง นางถอนใจคราหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับขึ้นฝั่ง หยิบท่อนไม้เดินตรงไปหาเจิ้งซู
“หลบไป”
เจิ้งซูรีบผละออก ทันทีที่เขาออกไปพ้นรัศมี เลิ่งยี่ก็ทุบลงบนหัวปลาจนมันแน่นิ่ง เจิ้งซูมองนางอย่างตกตะลึง พี่สาวที่แม้แต่มดสักตัวยังไม่กล้าฆ่า กลับทุบหัวปลาด้วยหน้าตาเฉยเมย จู่ๆ เขาพลันรู้สึกหวาดกลัวคนตรงหน้าขึ้นมา
เลิ่งยี่รู้สึกผิดอยู่บ้างที่ทำให้เขาตกใจ จึงกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “เสี่ยวซู เจ้าเลือดออก รีบนำปลากลับบ้านไปล้างแผลก่อนเถิด ที่พี่ใหญ่ต้องทุบปลาตัวนี้เพราะมันทำให้เจ้าบาดเจ็บ”
เพียงประโยคเดียวของนางก็ทำให้เจิ้งซูลืมเรื่องเมื่อครู่ไปสิ้น ที่แท้พี่ใหญ่ก็ทำไปเพราะเขา เจิ้งซูรีบเข้าไปอุ้มปลาอย่างขยันขันแข็ง “ได้ พี่ใหญ่ ข้าจะไปทำแผลก่อน แล้วค่อยกลับมาช่วยท่าน”
เลิ่งยี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม รอให้เด็กชายเดินจากไป นางถึงได้เดินกลับลงไปในน้ำ
เจิ้งซูอุ้มปลาตัวใหญ่หนักราวห้าชั่งเดินกลับบ้านอย่างทุลักทุเล ทว่าเขากลับไม่คิดหยุดพัก สิ่งที่เขาหวาดกลัวหาใช่ความเหน็ดเหนื่อย แต่กลัวว่าจะมีคนพบเห็นแล้วแย่งปลาไป และความหวาดกลัวของเจิ้งซูดูเหมือนกำลังจะเป็นจริง
บนเส้นทางเดียวกันนั้น ห่างไปไม่ไกล เด็กหนุ่มสามคนรีบวิ่งปรี่เข้ามาหาเจิ้งซู ผู้ที่วิ่งนำหน้า มีนามว่า สุ่ยหว๋ากัง บุตรชายคนเล็กของบ้านสุ่ย ตระกูลผู้มีอันจะกินที่สุดในหมู่บ้าน เจิ้งซูคิดจะวิ่งหนีก็ไม่ทันการแล้ว พวกเขามาถึงเร็วยิ่ง
สุ่ยหว๋ากังหยุดยืนเบื้องหน้า สายตาจับจ้องเพียงปลาตัวใหญ่ ไม่ได้สนใจมองเจิ้งซูเลยแม้แต่น้อย เขากล่าวเสียงเข้ม “ส่งปลาตัวนั้นมาให้ข้า!”
เจิ้งซูพบเจอสถานการณ์เช่นนี้อยู่หลายครา ทุกครั้ง เขาจะยอมให้หว๋ากังเสมอเพราะไม่อยากสร้างปัญหา ทว่าครานี้กลับต่างออกไป ปลาตัวนี้พี่สาวอุตส่าห์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายลงไปจับมา เขาจะยอมให้ใครแย่งไปได้อย่างไร เจิ้งซูตอบกลับอย่างเด็ดเดี่ยว “ข้าไม่ให้!”
หว๋ากังไม่คิดว่าเด็กชายจะกล้าปฏิเสธ ใบหน้าจึงฉายความไม่พอใจ ตะคอกเสียงดุดัน “เจ้าจะส่งให้ข้าดีๆ หรือต้องถูกทุบตีก่อน!”
เจิ้งซูถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สองแขนกอดกระชับปลาแน่น สีหน้าท่าทางบ่งบอกชัดเจน ว่าต่อให้ตาย เขาก็ไม่ยอมให้
หว๋ากังเห็นอย่างนั้นพลันยิ่งเดือดดาล ตบเข้าที่ใบหน้าของเจิ้งซูอย่างแรงจนเด็กชายล้มทั้งยืน ทว่าสองแขนกลับมิยอมปล่อยปลา สองคนที่ตามมารีบเข้าไปยื้อแย่ง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็มิอาจเอาปลาออกมาได้
“มารดามันเถอะ! ไอ้เด็กตัวเหม็น อยากตายนักใช่หรือไม่! ได้ๆ” หว๋ากังสบถเสียงดังด้วยความโกรธ ปรี่เข้าไปกระทืบร่างของเจิ้งซู ทั้งสามพากันรุมกระทืบอย่างสนุกสนาน กระทั่งเด็กน้อยแน่นิ่ง “ฮึ! เป็นแค่เด็กกำพร้า กล้ามาทำอวดดีกับข้าหรือ!” หว๋ากังถ่มน้ำลายใส่ร่างไร้สติก่อนจะพากันเดินจากไป