บทนำ
ณ บ้านวรรณรุนชัย
'เอื้อมนาง' หรือลูกสาวคนโตของตระกูลวรรณรุนชัย ปัจจุบันอายุสิบแปดปี ทว่ารูปร่างกับผอมบางราวกับเด็กอายุสิบห้า ผมดำสนิทยาวสลวยถูกรวบครึ่งหัว..มือด้านหนึ่งโอบวรรณกรรมแปลต่างประเทศเล่มโปรด..ส่วนมืออีกข้างเกาะกำแพงเพื่อประคองตัวเดินตามทางเดินด้วยความเหนื่อยล้า
ถ้าไม่ติดว่าอยากลงไปห้องสมุดประจำบ้านที่อยู่ชั้นล่าง เพื่อค้นหาหนังสือที่อยากอ่านด้วยตัวเองแล้วละก็..หล่อนคงไม่แบกสังขารลงไปเอง
ดวงตาดำสนิทคู่สวยกวาดมองหาคนรับใช้ประจำตัวตึก หมายจะให้ช่วยประคอง แต่จนใจเวลาพักเที่ยงคนงานภายในบ้านล้วนแต่แยกย้ายกันไปพัก หญิงสาวจึงทำได้เพียงแต่ยิ้มให้ตัวเองอย่างอ่อนแรงปนสมเพช แม้แต่การเดินใกล้ๆ ระหว่างห้องนอนที่อยู่ฝั่งซ้ายของตัวตึกไปยังห้องหนังสือที่อยู่ด้านล่างยังกลายเป็นเรื่องยาก แทนที่อายุมากขึ้น..หล่อนจะแข็งแรงขึ้น ดังที่คนเป็นพ่อคอยปลอบใจตั้งแต่เด็ก..กลับกลายเป็นว่ายิ่งโตยิ่งแย่...แรงปรารถนาในภพชาตินี้เธอไม่ขออะไรเลย..ขอเพียงสุขภาพร่างกายกลับมาแข็งแรง
ก่อนที่คนตัวเล็กจะทันได้เดินเกาะบันไดลงมา...เสียงคุ้นหูของนางกาญจนา ผู้เป็นพี่เลี้ยงก็ดังขึ้นมา...มันคงไม่แปลกอะไรถ้าเสียงนั้น ไม่ได้ดังมาจากห้องนอนใหญ่...ซึ่งเป็นห้องนอนของบิดา..และวันนี้เวลานี้ พ่อของหล่อนก็ควรจะอยู่ที่ทำงานซิ
ความคิดที่จะลงบันไดไปยังห้องหนังสือ ถูกเปลี่ยนเป็นเดินตามเสียงปะทะคารมของผู้ใหญ่ทั้งสองแทน
เมื่อมาถึงหน้าห้องบิดา..ร่างบอบบางมีท่าทางลังเลเล็กน้อย ด้วยเกรงว่าจะเสียมารยาท แต่เพราะเสียงทะเลาะกันดังลั่น คนตัวเล็กจึงตัดสินใจแง้มประตูที่ปิดไม่สนิท เพื่อแอบดูสถานการณ์..แล้วค่อยหาจังหวะเข้าไปห้ามทัพไม่ให้คุณพ่อดุพี่เลี้ยง
ทว่าสถานการณ์ตรงหน้าในมุมมองสายตาของเธอนั้นช่างประหลาด..เพราะพี่เลี้ยงสาวที่แสนจะอ่อนหวาน..เวลานี้กำลังเอะอะโวยวายใส่ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่กลางห้อง
“ทำไมคะ คุณไตรแค่รถยนต์คันเดียว คุณจะซื้อให้ยัยกิ่งมันไม่ได้เลยเหรอ?”
“เห้อ...กาญ ผมว่านะ เราคุยเรื่องนี้กันหลายรอบแล้วนะ ถ้าผมซื้อรถให้ยัยกิ่ง คนอื่นเขาจะมองยังไง!”เสียงไตรรัตน์ ผู้เป็นนายใหญ่ของบ้านเจือหงุดหงิดเพราะเจ้าหล่อนตรงหน้าพูดไม่รู้เรื่อง ทว่าหญิงวัยกลางคนผู้มีสถานะเป็นพี่เลี้ยง และในอดีตเคยเป็นนางพยาบาลมาก่อนถึงกับหัวร้อนในคำตอบ เสียงที่ใช้จึงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
“คุณไตร! อย่าให้ฉันต้องเตือน..ยัยกิ่งเองก็เป็นลูกอีกคนของคุณ!”
“เงียบ! เสียงของเธอมันจะทำให้คนทั้งบ้านรู้ความจริงทั้งหมด!!”
“ทำไมคะ? คุณกลัวเหรอคุณไตร...กาญแค่พูดเรื่องจริง เวลานี้อีพวกคนใช้คงพักกินข้าวกันไปหมดแล้ว..ถ้าจะมีคงมีแต่อีใบ้ กับอีขี้โรคลูกสาวของคุณ!”ใบหน้าที่เคยสวยในอดีต และปัจจุบันก็ยังดูดีไม่น้อยบิดยิ้มเย้ยหยัน...แต่คำพูดของเจ้าหล่อน พาคนที่โดนด่าว่า ‘อีขี้โรค’ ถึงกับยืนช็อก และไหนจะความจริงเรื่อง ‘กิ่งแก้ว’ ผู้ที่เธอรักเสมือนเป็นพี่สาวแท้ๆ กับข้อเท็จจริงที่เจ้าหล่อนเป็นพี่สาวคนละแม่
มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่!!
แต่ก่อนที่เอื้อมนางจะทันได้เข้าไปเค้นถาม...ความจริงบางอย่างกับพรั่งพรูออกจากปากสีหวานไม่ได้หยุด
“ไม่รู้ล่ะ ครั้งนี้กาญไม่ยอม..กาญสงสารลูก คุณรู้มั้ยวันที่ฝนตกยัยกิ่งต้องนั่งรถสาธารณะกลับเอง ในขณะที่พ่อมันเสวยสุขบนกองเงินกองทอง..เงินแค่ไม่กี่ล้านแทนที่จะเจียดมาให้ลูกใช้บ้าง..ก็ไม่มี”น้ำเสียงคนพูดเริ่มเครือเต็มไปด้วยความเจ็บใจ...ชายวัยกลางคนจำได้แต่เดินเข้ามากอดปลอบประโลม..และใช้น้ำเสียงทุ้มอันมีเสน่ห์ในการหว่านล้อมเหมือนที่เคยได้ผลมานับครั้งไม่ถ้วน
“คุณกาญคุณฟังผมนะ คุณทนมาได้ยี่สิบปี...ผมขอให้คุณทนต่ออีกหน่อยได้มั้ย? ตอนนี้ยัยเอื้อมเองก็ป่วยหนัก ถ้าดูจากสถานการณ์ระยะเวลาไม่ถึงปียังไงก็ไม่รอด ส่วนยัยเอื้องก็เป็นใบ้..สมบัติของคุณอรยังไงก็ตกถึงผมร้อยเปอร์เซ็นต์”
“….”
“ถึงเวลานั้น คุณอยากได้อะไรผมจะหาให้คุณทุกอย่าง..ผมสัญญา”
“แน่นะคะ คุณไตร”
“ครับ คุณก็รู้ผมรักคุณกับลูกมากนะ”
“ฮึก...แต่ทำไมอีเด็กขี้โรคนั่น ถึงไม่ตายๆ ไปสักที..จะอดทนอะไรขนาดนั้น...คุณไตรคะ หรือว่ากาญจะเพิ่มยาดี?”น้ำเสียงเย็นเยียบอำมหิต...ชวนคนอยู่ตรงประตูเสียวสันหลังวูบ..ริมฝีปากเล็กสั่นระริก..เพราะในเนื้อความของประโยคสามารถตีความได้ว่า
'อาการป่วยที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ'
แต่ทว่าคำปรึกษาของชู้รัก..ไตรรัตน์กลับไม่เห็นด้วย
“อย่าเลยคุณกาญ..เดี๋ยวมันจะไม่เป็นธรรมชาติ..แล้วถ้าเกิดโรงพยาบาลสงสัย..กลับมาตรวจพบสาเหตุการตายทีหลัง..จากเรื่องง่ายๆ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่เอา”คำพูดแสนใจร้ายของคนเป็นพ่อ..ส่งผลให้หญิงสาวที่อยู่หลังประตูหูอื้อ..หยาดน้ำสีใสคลออยู่กลางดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
'พ่อกับพี่เลี้ยงแสนดีวางยาเธอ'