บทที่ 22 ความคลุมเครือที่คาดไม่ถึง
เธอไม่ได้เพิกเฉยต่อคำว่า 'ต่อจากนี้' ที่ออกมาจากปากเขา
จากช่วงก่อนหน้านี้ที่ได้ทำความรู้จักกัน ท่าทางของเขาที่มีต่อเธอค่อนข้างจะห่างเหิน
นับจากคืนนั้นที่เธอสารภาพรักต่อเขา ดูเหมือนว่าเขาจะสนิทสนมกับเธอมากกว่าเดิม อย่างเช่นการพูดจาล้อเล่นที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน และคำสัญญาที่อบอุ่นเมื่อสักครู่นี้
ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณที่ดี
ในใจของเซวียหลิงรู้สึกอิ่มเอม เธอกินอาหารอย่างมีความสุข
"พี่หยวนคะ กะหล่ำปลีพวกนี้มันกรอบมากเลยค่ะ อร่อยจริงๆ" เธอกัดเข้าไปคำหนึ่งจากนั้นก็รีบหยิบอาหารในจานส่งไปให้เฉิงเทียนหยวนกิน
เฉิงเทียนหยวนเพิ่งจะกลืนหมั่นโถวเข้าไปคำหนึ่ง เมื่อเธอยื่นกับข้าวมาเช่นนั้น โดยสัญชาตญาณเขาจึงอ้าปากแล้วกลืนเขียวกะหล่ำปลีลงไป ฟันของเขากัดไปถูกตะเกียบของเธอด้วย
หืม?
เธอกำลังป้อนเขาเหรอ?
หลังได้สติกลับคืนมา ใบหูของเขาก็แดงเรื่อแล้วรีบกัดหมั่นโถวเข้าไปคำโต
"......อืม หวาน......อร่อยมากครับ"
เซวียหลิงหัวเราะคิกคัก แสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทางเคอะเขินของเขาแล้วพยักหน้าให้ความร่วมมือ "ถ้าอร่อยก็ทานให้เยอะๆ นะคะ"
พวกเขาทั้งสองคนร่วมกันรับประทานอาหารในบ้านใหม่ด้วยกันครั้งแรกอย่างมีความสุข
หลังรับประทานอาหารเสร็จ เฉิงเทียนหยวนก็ทำการจัดเก็บโต๊ะอาหารแล้วเดินถือจานชามเข้าไปล้างด้วยตนเอง
เซวียหลิงพูดขึ้นด้วยท่าทางเขินอายเบาๆ ว่า "นายเป็นคนทำอาหาร จะให้ล้างจานอีกได้ยังไง ฉันล้างเองค่ะ"
เฉิงเทียนหยวนส่ายหน้าแล้วพูดว่า "ฉันเก็บเรียบร้อยทุกอย่างแล้วไม่เป็นไรหรอกครับ สองวันมานี้เธอก็เหนื่อยมาก นั่งพักก่อนดีกว่า แค่จานชามไม่กี่ใบไม่ได้ยากเลย"
แม้ว่าเขาจะเกิดในชนบท ครอบครัวมีผู้ชายเป็นหลักเมื่ออยู่ข้างนอก ผู้หญิงเป็นหลักเมื่ออยู่ในบ้าน งานบ้านเหล่านี้ควรที่จะเป็นผู้หญิงซึ่งเป็นคนทำ แต่สำหรับครอบครัวของเขาแตกต่างกัน
ตั้งแต่พ่อเสียแขนไป แม่ก็ต้องดูแลทั้งเรื่องภายในบ้านและนอกบ้าน
ตัวเขากลัวว่าแม่จะเหนื่อยจนเกินไปจึงได้ช่วยทำงานบ้านตั้งแต่เด็ก
ในสายตาของเขานั้น งานบ้านไม่ว่าจะหนักเบาเพียงใด หากทำได้ก็ควรช่วยทำไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกชายหญิง
เซวียหลิงก้าวเข้ามาด้านหน้าพูดว่า "ไม่เอาค่ะ ถ้านายล้างจานฉันจะเช็ดให้เอง"
ท่าทางการล้างจานของเฉิงเทียนหยวนดูเป็นชำนาญและคล่องแคล่ว เขาพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นว่า "ทำไมไม่ขึ้นไปพักผ่อนก่อนล่ะ หน้าต่างตรงห้องนั่งเล่นลมแรงดีน่าจะเย็นสบาย"
"ไม่ล่ะค่ะ" เซวียหลิงยิ้มขึ้นแล้วพึมพำว่า "ฉันอยากอยู่กับนายที่นี่ อยู่เป็นเพื่อนกัน"
สายตาของเฉิงเทียนหยวนสั่นคลอนเล็กน้อย เขายื่นชามที่ล้างเสร็จแล้วไปให้เธอ จากนั้นหยิบผ้าขี้ริ้วที่ไม่ได้ดูใหม่เท่าไรนัก ซักล้างให้สะอาดแล้วส่งไปให้เธอ
"ระวังอย่าทำแตกนะ"
ไฟในห้องครัวดูสลัวเล็กน้อย เขาหันหลังให้กับแสงไฟ เซวียหลิงมองไม่เห็นท่าทางการแสดงออกของเขา แต่ตอนที่เขาเอ่ยวาจาออกมานั้นดูเหมือนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงไม่ได้เย็นชาแข็งทื่อเหมือนตามปกติ ทว่าดูอ่อนนุ่มด้วยความปีติยินดีเล็กน้อย ช่างน่าฟังเหลือเกิน
เธอรีบตอบรักอย่างร่าเริงว่า "แหม รู้แล้วล่ะค่ะ"
เมื่อล้างชามเสร็จเขาก็ยื่นมาให้เธอ
เธอรับไปแล้วเช็ดออกจนแห้ง ก่อนจะวางจานเอาใส่ไว้ในที่คว่ำจานอันใหม่
แม้ว่าทั้งสองคนจะยังไม่เคยทำงานอะไรร่วมกันมาก่อน แต่ก็ให้ความร่วมมือกันได้อย่างดี ทำไปทำมาพวกเขาก็สามารถเข้ากันได้อย่างคล่องแคล่ว เขาล้างจานเร็ว แต่เธอก็ไม่ช้า พวกเขาล้างจานชามตะเกียบเช็ดจนแห้งในเวลาอันรวดเร็ว
เฉิงเทียนหยวนปิดช่องระบายอากาศใต้เตาถ่านอย่างแน่นหนา จากนั้นดับไฟข้างในไปกว่าครึ่ง ก่อนจะนำกาน้ำร้อนที่ต้มเสร็จแล้วยกขึ้น รินน้ำร้อนใส่ลงไปในกระติกเก็บความร้อน
"เอาล่ะเสร็จแล้วครับ ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ น้ำในกาน้ำร้อนนี้เพียงพอสำหรับเราที่จะดื่มในตอนกลางคืน ไม่ต้องลงมาอีกแล้ว"
เซวียหลิงพยักหน้าแล้วถามว่า "ประตูข้างนอกปิดสนิทแล้วหรือยังคะ"
เฉิงเทียนหยวนตอบว่า "ก่อนที่จะทานข้าว ฉันปิดไว้เรียบร้อยแล้วครับ"
ทั้งสองคนเดินขึ้นไปที่ชั้นบนตามกันมา จนกระทั่งถึงห้องนั่งเล่นขนาดเล็ก
เฉิงเทียนหยวนชี้ไปที่หน้าต่างแล้วอธิบายขึ้นว่า "หน้าต่างทางด้านซ้ายดูเหมือนมันจะเบี้ยวเล็กน้อย เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันหาเครื่องมือมาได้แล้วจะซ่อมให้ ตอนนี้ปาเข้าไปฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อีกไม่นานลมคงแรงขึ้น จะให้หน้าต่างมีรอยรั่วจนลมเข้ามาไม่ได้"
"ค่ะ" เธอพยักหน้า
เฉิงเทียนหยวนพูดเสริมขึ้นว่า "ที่ห้องน้ำชั้นหนึ่งตรงหน้าต่างก็มีรูเหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นรูในมุมเล็กๆ ไม่มีใครเดินไปตรงนั้น แต่ฤดูหนาวลมแรง ตอนอาบน้ำคงจะหนาว พรุ่งนี้ฉันจะไปซื้อผ้าผืนหนาๆ มาสักผืน ตอนอาบน้ำถ้าเอามาปิดเอาไว้คงจะไม่มีลมหนาวพัดเข้ามา"
เซวียหลิงตอบรับ
เรื่องรายละเอียดเล็กน้อยเช่นนี้เธอเองคิดไม่ถึงเลย แต่เขากลับได้วางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ อีกทั้งคิดหาวิธีแก้ปัญหาแล้วด้วย
ช่องว่างนี้มันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
เฉิงเทียนหยวนถามขึ้นอีกว่า "ที่ห้องของเธอยังมีอะไรที่ทำไม่เสร็จอีกหรือเปล่า?"
ดูเหมือนเซวียหลิงจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอรีบตอบว่า "ลิ้นชักของโต๊ะหนังสือมันพังน่ะค่ะ พังทั้งสองชั้นเลย ตอนแรกฉันว่าจะนำมันมาใส่เงิน แต่พบว่ามันใช้ไม่ได้"
เขารีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า "เดี๋ยวฉันจะไปดูให้"
เฉิงเทียนหยวนถือว่าเป็นพนักงานที่ทำได้ทุกอย่างในสหกรณ์ร้านค้า ตั้งแต่การจัดการทางตลาด หรือแม้กระทั่งทำความสะอาด แบกน้ำต่างๆ นานาเขาล้วนทำเป็น
ในสหกรณ์ร้านค้ามีสินค้ามากมายกระจุกกระจิกจำหน่าย งานด้านการซ่อมแซมและติดตั้งก็มีมากมาย เฉิงเทียนหยวนทำงานอยู่ใน สหกรณ์ร้านค้ามาหลายปี ดังนั้นเขาจึงเรียนรู้ที่จะซ่อมแซมไม่ต่างไปจากช่างเลย
ในไม่ช้าเขาก็ถอดลิ้นชักออกมา บิดซ้ายบิดขวา ทำให้เหล็กที่คดงอตรงขึ้น ก่อนจะใช้แรงกดลงไปเล็กน้อย ในไม่ช้ามันก็ถูกประกอบเข้าไปใหม่
"อันนี้เสร็จแล้วนะครับ แต่อีกอันหนึ่งดูเหมือนจะลำบากเล็กน้อย"
เซวียหลิงกำลังจัดแจงเก็บเสื้อผ้า เมื่อได้ยินเขาพูดดังนั้นเธอก็ยิ้มขึ้น "ไม่เป็นไรค่ะ ไม่รีบ นายค่อยๆ ซ่อมไปเถอะ"
เฉิงเทียนหยวนนั่งยองๆ ที่บนพื้น เขาทำการซ่อมแซมพลางพูดกับเธอว่า "เราควรจะต้องรีบเปลี่ยนกุญแจที่ประตูข้างนอกและข้างในให้หมด อ้อใช่สิ เมื่อสักครู่เธอบอกว่าจะเอาไว้เก็บพวกของมีค่า เธออย่าเพิ่งเอาไปไว้เลย แล้วก็ในอนาคตถ้าเธออยากจะใส่มันไว้ในเก๊ะ ก็ควรที่จะกระจัดกระจายแบ่งไว้หลายที่"
"ค่ะ" เซวียหลิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาด้วยท่าทางขมขื่น "แต่ว่าของมีค่าติดตัวฉันก็มีไม่มากแล้ว ฉันจ่ายค่าเช่าบ้านไปแล้ว และเงินเดือนก็ยังไม่ออก ตอนนี้ฉันก็ไม่มีเงินติดตัวมากหรอกค่ะ"
เฉิงเทียนหยวนเห็นว่าเธอเบ้ปากน้อยๆ ช่างน่ารักเสียไร้คำบรรยาย เขาทำได้เพียงเผยอริมฝีปากยิ้มขึ้นจนเห็นฟันสีขาวหลายซี่
"ถ้าเงินหมดเราก็ช่วยกันหา จะทำหน้าเศร้าทำไมล่ะครับ มาสิ มานี่หน่อย ช่วยฉันจับตะปูตรงนี้ที"
เซวียหลิงโยนเสื้อที่อยู่ในมือของตนลงไปบนเตียง หลังจากนั้นเดินตรงมาอย่างว่าง่าย
"ได้เลย จับตรงไหนเนี่ย?"
เฉิงเทียนหยวนเอี้ยวร่างกายอันกำยำใหญ่โตของเขามาแล้วชี้ไปตรงตะปูที่เต็มไปด้วยสนิม
"อันนั้นครับ เธอจับตรงหัวมันนะ แล้วเดี๋ยวผมจะขันน็อตด้านหลัง มันจะได้ไม่ขยับเขยื้อน"
เซวียหลิงฟังเข้าใจและรีบยื่นมือข้างขวาออกไปจับมันเอาไว้แน่น
เฉิงเทียนหยวนใช้มือข้างหนึ่งจับไปที่ลิ้นชัก อีกข้างหนึ่งจับไปที่ตัวน็อต ท่าทางของเขาดูมีพละกำลังมาก
เซวียหลิงรู้สึกว่าน็อตในมือของตนขยับเขยื้อนไป จึงสะดุ้งแล้วรีบลุกขึ้นตะครุบไปที่น็อตนั้นแล้วคว้ามันเอาไว้
"อุ๊ย!"
เดิมทีทั้งสองก็อยู่ค่อนข้างจะใกล้ชิดกัน ทว่าจู่ๆ เธอพุ่งเข้ามาเช่นนี้จึงทำให้ร่างกายของเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเฉิงเทียนหยวนพอดี
เขากำลังยุ่งอยู่กับการขันน็อต และอยู่ในท่านั่งยองๆ เมื่อเธอตะครุบเข้ามาแบบนี้จึงทำให้ร่างกายของเขาไม่อาจควบคุมได้ ล้มหงายหลังลงไปก้นกระแทกพื้น
แต่ว่าปฏิกิริยาของเขาก็ค่อนข้างรวดเร็ว วินาทีที่เขาล้มลงไปนั้นก็ได้เอื้อมมือมาโอบปกป้องร่างกายอันบอบบางและอ่อนนุ่มของเซวียหลิงเอาไว้ได้ในทันทีตามสัญชาตญาณ
ชั่ววินาทีนี้ เขาสัมผัสได้ว่าจมูกของตนได้กลิ่นอันหอมละมุน ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดของตนก็ทั้งนุ่มทั้งนิ่ม บัดนี้ร่างนั้นแนบชิดสนิทอยู่ที่ทรวงอกอันแข็งแกร่งของเขา
แต่ร่างของสาวน้อยอรชรอ้อนแอ้นถาโถมเข้ามาตรงบ่าของเขา ริมฝีปากอ่อนนุ่มเรียวบาง สัมผัสเข้าให้ตรงคอของเขาพอดิบพอดี
วินาทีนี้ ช่วงเวลาได้หยุดลง
อ้อมกอดของเขาคือร่างของสตรีอันอ่อนโยนนิ่มนวล ที่ขอของเขาเปียกชุ่มและอุ่นร้อน เหมือนเฉิงเทียนหยวนจะรู้สึกถึงเสียงระเบิดดังตู๊มอยู่ในสมองของเขา บรรยากาศภายนอกรอบร่างกายดูร้อนผ่าวไปหมด ความเร่าร้อนถาโถมเข้าใส่ หัวใจของเขาเต้นแรงโครมครามไม่เป็นจังหวะ ดูเหมือนว่าดวงใจดวงนั้นจะพุ่งทะยานออกมาจากลำคอ