ตอนที่ 3 ยังไงก็ไม่แต่ง
“จะไม่แต่งได้ยังไง ถ้าตาทำแบบนั้นพ่อก็เสียสัจจะน่ะสิ ต่อไปพ่อจะมองหน้าเพื่อนพ่อยังไง” ผู้เป็นพ่อทำเสียงขุ่น หนักใจกับลูกคนนี้เหลือเกิน หากล้มเลิกงานแต่งงานครั้งนี้เขากับธนาก็ต้องบาดหมางใจกัน
“พ่อก็แต่งเองสิคะ ยายลินก็มาชิ่งนอนเป็นง่อยไปซะก่อน เรื่องแย่ ๆ ก็เลยมาตกอยู่ที่ตาทั้งหมด” เพียงตาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นเธอที่ต้องเป็นคนรับผิดชอบคำสัญญาระหว่างพ่อกับเพื่อนพ่อ
“แต่เรื่องนี้มันเป็นความรับผิดชอบของตานะ จะไปโทษน้องอย่างนั้นก็ไม่ถูก อีกอย่างน้องก็ไม่ได้อยากเป็นอย่างนั้นสักหน่อย เราเองไม่ใช่เหรอที่ใช้ให้น้องปีนไปเก็บมะม่วงให้จนน้องต้องตกลงมานอนหมดสติอยู่แบบนี้” นพพลเตือนสติลูกสาวที่ชอบโยนความผิดไปให้น้องสาวฝาแฝด ตอนนี้ลูกสาวคนเล็กยังนอนสลบไสลอยู่ที่โรงพยาบาลในตัวอำเภอ เพราะเธอตกจากต้นไม้ทำให้ศีรษะกระแทกกับพื้นดินอย่างแรง ตอนนี้เธอเป็นตายร้ายดีเท่า ๆ กัน
“พ่อรักลูกไม่เท่ากัน” เพียงตาหันมาแว้ดใส่ผู้เป็นพ่อ
นพพลถอนหายใจออกมาแรง ๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไรเพียงตาจะเข้าใจ และเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับน้องสักที ทั้งที่ตัวเพียงตาเองนั่นแหละที่พ่อกับแม่ตามใจมาตลอด นพพลกล่อมมาหลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่สำเร็จ คงถึงเวลาที่เขาต้องใช้ไม้แข็งบ้างแล้ว
“ยังไงตาก็ไม่แต่งเด็ดขาด มีพ่อแม่ที่ไหนอยากให้ลูกตัวเองแต่งงานกับคนตาบอดคะ พ่อกับแม่คิดอะไรอยู่ ทำไมต้องเอาคำสัญญาของตัวเองมาบังคับตาด้วย” เพียงตาพูดพลางเบ้ปากเหมือนจะร้องไห้ ไม่มีใครเข้าใจเธอสักคน คนไม่ได้รักกันจะแต่งงานกันได้อย่างไร เธอเกลียดการคลุมถุงชนที่สุด ถึงจะเป็นคำสัญญาของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็เถอะ
ผู้เป็นพ่อถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อีกหลายครั้ง
นพพลกับพาขวัญก็เห็นใจลูกสาวแต่จะให้ทำอย่างไรได้ เพราะนพพลได้ให้คำสัญญาไว้กับเพื่อนรักที่สามารถตายแทนกันได้ตั้งแต่ลูกของทั้งสองยังเด็ก นพพลกับธนาสัญญากันไว้ว่าจะให้ลูกคนโตเกี่ยวดองกันหากฝ่ายหญิงเรียนจบปริญญาตรี ทั้งสองจึงได้หมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่เด็ก
ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีเมื่อในวัยเด็ก ลูกของทั้งสองครอบครัวต่างเข้ากันได้ดีและไปมาหาสู่กันเป็นประจำ เพียงตาและคู่หมั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรแม้จะรู้ทุกอย่างล่วงหน้าแล้วว่าอนาคตพวกเขาจะกลายเป็นคนที่มีคู่แล้ว แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็มาเกิดขึ้นก่อน เมื่อจู่ ๆ ไกรสรคู่หมั้นของเพียงตาปวดศีรษะอย่างรุนแรงนานเป็นเดือนรักษาเท่าไรก็ไม่หาย แพทย์หาสาเหตุของโรคที่แน่ชัดไม่ได้ และสิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือสายตาของเขาค่อย ๆ พร่ามัว และสูญเสียการมองเห็นลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดโลกทั้งใบของเขาก็มืดสนิทในวัยเพียงสิบสามขวบ ทำให้เพียงตาคิดหนักมาโดยตลอด บางครั้งเธออยากหนีไปให้ไกลที่สุด จะได้ไม่ต้องมาทำตามคำสัญญาบ้าบอของบิดาเช่นนี้
“แต่งแล้วถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้หากจะหย่าพ่อก็ไม่ห้าม” นพพลแนะลูกสาว หากวันข้างหน้าทั้งสองอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ค่อยเลิกรากันไปอย่างน้อยก็ถือว่าเขาทั้งสองได้ทำตามสัญญาแล้ว
“ไม่ค่ะ ยังไงตาก็ไม่แต่ง” ว่าจบเพียงตาก็หมุนร่างกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปบนห้องของตัวเอง
สองสามีภรรยาต่างคนต่างมองตากันนิ่งแล้วทอดถอนหายใจออกมายาว ๆ ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากปากท่านทั้งสอง