

ตอนที่ 2 อำมหิต
หนังสือหย่าถูกยื่นอย่างเป็นทางการ ฉู่อวี่หนิงทำการกราบคารวะลาพ่อแม่ของอดีตสามีแต่กลับถูกเมินเฉย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้นางดูแลปรนนิบัติพวกเขาด้วยดีเสมอมา
รถม้าสกุลฉู่มาจอดเทียบที่หน้าจวนหลังใหม่ที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่บิดาส่งมารับและสาวใช้คนสนิทช่วยขนข้าวของและสินเดิมกลับไปที่เมืองหนานอัน จากนี้จะไม่กลับมาเหยียบที่เมืองอี้โจวอีกเด็ดขาด
นางขึ้นรถม้าไปพร้อมกับเสี่ยวชิ่งสาวใช้ที่ติดตามมาตั้งแต่แรก สามปีที่เป็นภรรยาของแม่ทัพหลี่จบลงเพียงแค่เขามัวเมาในสตรี รักเดียวใจเดียวเช่นนั้นหรือ ไม่มีบุรุษหน้าไหนรักเดียวใจเดียวอย่างที่ปากพูดหรอก นางไม่น่าหลงเชื่อคารมนั้นตั้งแต่แรก
“นายหญิง… เอ่อ คุณหนู ท่านอย่าได้เศร้าไป เป็นม่ายแล้วอย่างไร สตรีม่ายออกเรือนไปก็มีอีกเยอะแยะ ท่านงดงามทั้งกายและใจ ฉลาดหลักแหลม เก่งงานบ้านงานเรือนทุกอย่าง มีแต่คนจะต่อแถวสู่ขอท่านสิไม่ว่า” เสี่ยวชิ่งพยายามพูดเอาใจ
“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนั้น เพียงแต่ว่าทุกอย่างมันดูง่ายเกินไป ก่อนหน้านี้ที่รอยื่นหนังสือหย่าพวกนั้นระรานข้าแทบทุกวัน” พูดไม่ทันขาดคำ รถม้าก็หยุดชะงัก คนในรถม้าเกือบจะตกจากที่นั่ง
“เดี๋ยวข้าออกไปดูเอง” เสี่ยวชิ่งออกจากตู้นั่งบนรถม้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็เงียบไปพักใหญ่
ฉู่อวี่หนิงเห็นท่าไม่ดีจึงตามออกไปดู ภาพที่เห็นคือหลี่โม่เทียนเอามืออุดปากเสี่ยวชิ่งจากด้านหลัง มืออีกข้างถือดาบจ่อที่คอของนางเอาไว้ ด้านหลังคือทหารคนสนิทอีกสองนายที่ถือดาบเปื้อนเลือดด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
“หลี่โม่เทียน นั้นท่านจะทำอะไร” นางถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัว มองดูร่างที่โชกเลือดของคนจากสกุลฉู่ที่บิดาส่งมารับตัวก็เอามือปิดปากด้วยความตกใจ
ร่างอรชรลงมาจากรถม้าไปเขย่าตัวคนเทียมรถม้าและบ่าวอีกสองนาย เห็นว่าทั้งสามแน่นิ่งไปแล้วก็กรีดร้องออกมา มองไปที่เสี่ยวชิ่งที่กำลังจ้องมองกลับมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ปล่อยนางไป ได้โปรด” สิ้นเสียงอ้อนวอนโลหิตสีแดงฉานก็พวยพุ่งจากคอของสาวใช้วัยยี่สิบ
“เสี่ยวชิ่ง” ฉู่อวี่หนิงเรียกชื่อนางเสียงดัง วิ่งเข้าไปรับร่างเล็กที่กำลังร่วงลงไปนอนกับพื้น พยายามเอามือปิดบาดแผลที่คอแต่ก็ไร้ผล เลือดทะลักออกตามซอกนิ้วพร้อม ๆ กับเปลือกตาที่ค่อย ๆ ปิดลงไปอย่างช้า ๆ กลิ่นโลหิตคาวคลุ้งไปทั่วบริเวณ
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาเงยขึ้นจ้องมองอดีตสามีที่เพิ่งหย่าร้าง แววตาคู่นั้นเหี้ยมโหดไร้ความปรานี ความรักไม่หลงเหลือไม่เป็นไร แต่เหตุใดต้องทำกับนางราวกับมีความแค้นต่อกัน ทั้งที่ยอมหย่าให้แต่โดยดีแล้ว
“อย่าโทษใครเลย โทษที่เจ้าขวางหูขวางตาเหม่ยหรงของข้า”
“ท่านถึงกับตามมาสังหารข้าเพียงเพราะเอาใจนาง หึ นี่หรือแม่ทัพปราบอุดรผู้ที่ผู้คนต่างก็ยกย่อง ในสนามรบท่านคือผู้กล้า แต่ในความเป็นจริงท่านยิ่งกว่าเดรัจฉาน ฆ่าคนเป็นผักปลา เพียงเพราะสตรีนางเดียว” ไม่รู้จะใช้คำไหนด่าทอ เพราะคนหยาบช้าคงไม่สำนึก
“จินหง หลงเป่า ขนข้าวของในรถม้าสกุลฉู่กลับไปที่จวน ปล่อยข่าวออกไปว่ารถม้าถูกโจรป่าปล้นฆ่า คนจากสกุลฉู่และอดีตฮูหยิน…ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต!” สิ้นคำสั่งนั้นหลี่โม่เทียนก็ยื่นปลายดาบมาจ่อที่คอของภรรยา
“เหม่ยหรงกลัวว่าข้าจะปล่อยเจ้าไป นางต้องการหัวของเจ้า” น้ำเสียงนั้นกล่าวอย่างเลือดเย็น
ฉู่อวี่หนิงดวงตาเบิกโพลง มองดาบที่ยกขึ้นแล้วตวัดลงมาที่คอ ภาพหมุนคว้างตามศีรษะที่กลิ้งไปแล้วค่อย ๆ ดับสนิท ศีรษะกลิ้งตกลงข้างปลายเท้าของหลี่โม่เทียน เขามองดูร่างที่ไร้หัวกระตุกเกร็งและแน่นิ่งไป ผ่อนลมหายใจออกมาเมื่อทุกอย่างจบสิ้น
หลี่โม่เทียนเอามือคว้ากลุ่มผมที่มวยอยู่บนศีรษะเพื่อจะนำใส่กล่องไม้ ปิ่นที่เคยซื้อให้อดีตภรรยาตกลงมาที่พื้น สายตาที่ไร้ความปรานีจ้องมองมันชั่วขณะ
ความทรงจำที่ยังหวานชื่นเมื่อหลายปีก่อนหลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำ แต่หัวใจที่ด้านชานั้นไม่ได้รู้สึกผิดต่อนางแม้แต่น้อย ยกเท้ากระทืบปิ่นหยกจนแตกหัก นำศีรษะของนางกลับไปเพื่อเอาใจอันเหม่ยหรง เตรียมตัวแต่งตั้งนางเป็นฮูหยินสกุลหลี่อย่างเป็นทางการแทนที่ภรรยาที่หมดรัก
************************
“ไม่นะ ไม่!” ร่างอรชรสะดุ้งตื่นขึ้นมาในยามไห่ พร้อมกับเสียงฟ้าที่ผ่าดังเปรี้ยงจนห้องสะเทือน
ภาพในความฝันนั้นดูเหมือนจริงจนร่างของนางสั่นเทาไปทั้งตัว เอามือจับที่ลำคอของตัวเองเอาไว้ว่ายังอยู่ดีหรือไม่ ไหล่เล็กสั่นเทาไม่หยุด กลิ่นคาวของเลือดของเสี่ยวชิ่งยังคงติดอยู่ในความทรงจำ ยังคงรู้สึกถึงคมดาบที่ตัดผ่านเส้นเลือดและกระดูกต้นคอของตน ความเจ็บปวดเพียงพริบตานั้นราวกับว่ามันเกิดขึ้นจริง
“นี่ข้า…ฝันไปหรือ” นางพึมพำกับตนเอง ค่อย ๆ ลดความหวาดกลัวลงไป เสียงฟ้าคะนองและเสียงฝนที่ตกหนักด้านนอกคงกลบเสียงกรีดร้องจากฝันร้ายเมื่อครู่ ไม่เช่นนั้นคงทำให้จวนสกุลหลี่วุ่นวายและไม่วายถูกสามีและอันเหม่ยหรงพูดกระทบกระทั่งให้เจ็บปวดหัวใจ
เมื่อตั้งสติได้ก็เดินไปจุดเทียนเพื่อให้ห้องดูสว่างขึ้น แต่ดูเหมือนว่าการจัดวางข้าวของในห้องจะต่างจากเดิม ทำให้นางสะดุดเก้าอี้จนเกือบล้ม พอจุดไฟติดดวงตาคู่เรียวก็เบิกกว้าง
“นี่มัน…” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อห้องที่อยู่ในตอนนี้คือห้องนอนเดิมของนางที่สกุลฉู่ หรือว่านางเผลอหลับบนรถม้า พอกลับมาถึงสกุลฉู่จึงมีคนพามานอนที่ห้องเช่นนั้นหรือ
“ใช่ ต้องใช่แน่ ๆ” น้ำเสียงนั้นกล่าวปลอบใจตนเอง ไม่รู้ว่าอันไหนคือความจริง อันไหนคือความฝัน
หรือนางตายไปแล้ว ก่อนไปปรโลกวิญญาณจึงกลับมาที่นี่อย่างนั้นหรือ ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่านจนต้องสะบัดหัวไล่ความคิดเหล่านั้นออกไป
สักพักประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมด้วยเสี่ยวชิ่งในวัยสิบหกที่เดินเข้ามาดูคุณหนูของตน
“เสียงฟ้าผ่าเมื่อครู่ดังมาก ข้าเกรงว่าคุณหนูจะตกใจจึงรีบเข้ามาดู คืนนี้จะให้ข้านอนเป็นเพื่อนหรือไม่” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย
ฉู่อวี่หนิงมองใบหน้าที่อ่อนเยาว์นั้น จากนั้นนางก็เดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ภาพตรงหน้าคือตนในวัยสิบห้า ชุดที่จะใส่ในพิธีปักปิ่นพรุ่งนี้แขวนอยู่ที่ฉากกั้นพร้อมกับเครื่องประดับและเครื่องประทินโฉมที่จะใช้ในวันพรุ่งนี้
“ตื่นเต้นกับพิธีปักปิ่นหรือเจ้าคะ” เสี่ยวชิ่งถามแล้วเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส
“พิธีปักปิ่น...” ริมฝีปากพึมพำออกมา
“รีบเข้านอนเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ต้องตื่นมาแต่งตัวและทำผมทรงใหม่ คุณหนูของข้าจะต้องงดงามที่สุดในหนานอัน” เสี่ยวชิ่งบอกแล้วดันแผ่นหลังนางให้กลับไปที่ตั่งนอน
ฉู่อวี่หนิงไม่รู้ว่ากำลังฝันหรือว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดทุกอย่างถึงย้อนกลับมาเมื่อสี่ปีที่แล้ว
หากเป็นเช่นนั้นไม่ใช่ว่าสวรรค์ส่งนางให้กลับมาแก้ไขอดีตหรอกหรือ ถ้าเป็นเช่นนี้จริงนางจะใช้ชีวิตในชาตินี้ให้ดีที่สุด และไม่พลาดที่จะเอาคืนบุรุษโฉดชั่วผู้นั้นอย่างแน่นอน
************************