

มังกรแห่งต้าชิง
มู่หรงเซียวอดสงสัยไม่ได้ บุรุษตรงหน้าสวมอาภรณ์สีเขียวอ่อนขลิบเงิน เนื้อผ้าหรูหราบ่งบอกถึงชาติกำเนิด มิได้ดูคล้ายศิลปินเร่ร่อนแม้แต่น้อย
"ใช่ ข้ามาจากแคว้นต้าชิง เดินทางท่องไปเพื่อเสาะหาแรงบันดาลใจในการวาดภาพ"
"แคว้นต้าชิง?"
ทันทีที่ได้ยินชื่อแคว้น มู่หรงเซียวพลันขมวดคิ้ว
"คุณชายน้อย ไม่ทราบว่าเคยเดินทางไปแคว้นต้าชิงหรือไม่?"
ศิลปินรูปงามเอ่ยถามด้วยความสนใจใคร่รู้
"แน่นอนว่าย่อมไม่เคยไป"
มู่หรงเซียวตอบอย่างตรงไปตรงมา มิได้โกหกแต่อย่างใด นางไม่เคยออกจากเมืองหลวงของแคว้นเจียงหนานด้วยซ้ำ สำหรับพระธิดาองค์เดียวที่ประสูติจากฮ่องเต้และฮองเฮา แล้ว แค่ได้เดินเล่นในตลาดก็นับว่ามากเกินพอแล้ว...
หลังจากเป็นแบบวาดภาพเหมือนเสร็จ ทั้งสองก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตน
มู่หรงเซียว ใช้ความว่องไวปีนรั้วกลับเข้าวังอย่างคล่องแคล่วโดยไร้ผู้ใดล่วงรู้ นางยืดตัวขึ้นปัดฝุ่นบนอาภรณ์ พลางยิ้มอย่างภาคภูมิใจที่แผนการลอบออกจากวังสำเร็จไปได้ด้วยดี
"องค์หญิง!"
เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ ชิงหลิง ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์จะก้าวเข้ามาประชิดตัว ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
"เพคะ! หากผู้ใดล่วงรู้ขึ้นมาว่าท่านหนีออกไปนอกวัง จะให้หม่อมฉันทำอย่างไรเพคะ!"
มู่หรงเซียวหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยักไหล่
"ข้ากลับมาแล้วมิใช่หรือ? อีกอย่าง ข้าสัญญาแล้วว่าจะไม่ให้ใครจับได้"
แม้จะเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ แต่ก็ต้องทนฟังชิงหลิงบ่นเป็นระยะเวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ ก่อนที่นางจะยอมปล่อยให้มู่หรงเซียวพักผ่อน
ยามค่ำคืนปกคลุมแคว้นต้าชิงที่อยู่ห่างไกล ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางฟ้า ทอแสงนวลเย็นเหนือวังหลวงอันยิ่งใหญ่ ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงฉินแว่วก้องกังวานไปทั่วราตรี แม้เป็นยามวิกาล แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าตำหนิติเตียนผู้บรรเลงแต่อย่างใด
เพราะเขา คือ โอรสแห่งสวรรค์
ฮ่องเต้หวังเฟิ่ง ทรงครองราชย์มายาวนานกว่าสิบห้าปี พระองค์เป็นจักรพรรดิผู้ทรงอำนาจ นำพาแคว้นต้าชิงให้รุ่งเรือง ทว่าท่ามกลางความยิ่งใหญ่นั้น กลับมีข่าวลือแปลกประหลาดแพร่สะพัดไปทั่ว
แม้ในวังหลังจะมีเหล่าพระสนมมากมายเรือนร้อย แต่กลับ ไม่มีผู้ใดได้ครอบครองตำแหน่งหงส์เคียงบัลลังก์
แม้แต่ หลิวหงหลัน ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็น หวงกุ้ยเฟย ก็มิอาจได้รับตำแหน่ง ฮองเฮาแห่งแผ่นดิน
เหล่าขุนนางต่างพยายามกดดันพระองค์ให้มีพระราชโองการแต่งตั้งฮองเฮา แต่ทุกความพยายามล้วนไร้ผล เพราะหวังเฟิ่งทรงยืนกรานว่า...
"บัดนี้ ตำแหน่งฮองเฮายังไม่มีผู้ใดที่คู่ควร"
ราวกับว่าพระองค์กำลังรอคอยใครบางคนมานั่งเคียงข้างบัลลังก์มังกร
พระหัตถ์แกร่งไล่ไปตามสายฉินด้วยสัมผัสอ่อนโยนราวกับทะนุถนอมของล้ำค่า ทุกครั้งที่ปลายนิ้วสัมผัสลงบนสาย ความทรงจำที่ถูกเก็บซ่อนไว้ก็คล้ายจะย้อนคืน
"ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีเรื่องด่วนต้องกราบทูล!"
เสียงขององครักษ์ดังขึ้นแทรกผ่านม่านดนตรี ทำนองฉินสะดุดไปชั่วขณะ ก่อนที่ท่วงทำนองจะหยุดลงโดยสิ้นเชิง
ความเงียบโรยตัวลงแทนที่...
ปลายนิ้วที่เคยเคลื่อนไหวอย่างสง่างามหยุดนิ่ง แรงกดดันแผ่ซ่านไปทั่วตำหนัก แม้ยังมิได้เอ่ยคำใด แต่บรรยากาศกลับเย็นเยียบขึ้นทันที
พระเนตรคมกริบตวัดขึ้นมององครักษ์ที่อยู่ด้วยกันมานาน หากมิใช่คนที่จงรักภักดีต่อพระองค์ เกรงว่าคงต้องมีการลงโทษอย่างแน่นอน
"ด่วนแค่ไหนกัน... ถึงกล้าขัดจังหวะของข้า?"
สุรเสียงราบเรียบ แต่กลับหนักแน่นราวกับหินผา แม้มิได้แสดงความโกรธขึ้ง ทว่ากลับทำให้องครักษ์ที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเย็นวาบไปทั้งร่าง
ทั้งวังหลวงล้วนรู้ดีว่าฉินที่อยู่ในอุ้งพระหัตถ์นั้น หาใช่เพียงเครื่องดนตรีธรรมดา แต่มันเป็นสิ่งของแทนใจจากสตรีนางหนึ่งที่พระองค์ไม่มีวันลืมเลือน นางที่เป็นดั่งเกล็ดย้อนของมังกร ผู้ใดที่บังอาจแตะต้องก็เท่ากับท้าทายพระอำนาจของโอรสสวรรค์
"จวิ้นอ๋องพบตัวคนผู้นั้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
ปลายนิ้วที่เคยไล่ไปตามสายฉินพลันชะงัก หวังเฟิ่งเงยพระพักตร์ขึ้น
"ว่าอย่างไรนะ? พบตัวแล้วงั้นหรือ?"
องครักษ์คนสนิทยื่นม้วนกระดาษให้ด้วยท่าทางนอบน้อม
"จวิ้นอ๋องทูลว่า หากฝ่าบาทไม่เชื่อ เพียงทอดพระเนตรภาพในนี้ ทุกอย่างก็จะกระจ่าง"
มือแกร่งรับม้วนกระดาษมา ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ออกดวงเนตรสีดำล้ำลึกกวาดมองอย่างเรียบเฉย ทว่าทันทีที่ภาพวาดปรากฏสู่สายตา
พรึบ!
ม้วนกระดาษร่วงหลุดจากพระหัตถ์ ประหนึ่งเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกดึงหายไปในพริบตา
ดวงเนตรที่สงบนิ่งมานับสิบปี พลันสั่นไหว หัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คลื่นความรู้สึกบางอย่างถาโถมเข้ามาจนแทบหายใจไม่ออก ความเงียบโรยตัวราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน มีเพียงเสียงลมหายใจที่ขาดห้วง
"เจิ้งซวน..."
"พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท"
"เตรียมการให้พร้อม ทันทีที่ข้าว่าราชการเสร็จ ข้าจะออกเดินทางทันที"
