บท
ตั้งค่า

บทที่ 26 อาหารสกุลชิง

เหงื่อกาฬซัดออกเต็มดวงหน้า นางดูซีดเซียวจนน่าใจหาย มือนั้นกำหมัดแน่นจนแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ นางหอบหายใจจนตัวโยน หมิงเฉิงอวี่รู้สึกถึงความผิดปกติในทันทีทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปเขย่าร่างบางตรงหน้า

“เจ้าลืมตาสิ! ลืมตา!”

“มะ ไม่! ข้าไม่ลืมตาเด็ดขาด! พาข้าลงไปเดี๋ยวนี้” นางร้องตะโกนออกมา น้ำเสียงนั้นผสานระหว่างความโมโหและความหวาดกลัวสุดขีด นางกลัวจนมิได้สนใจจะถ้อยคำสุภาพกับองค์ชายอีกต่อไป ใบหน้าจากซีดเซียวเริ่มเขียวขึ้น องค์ชายสิบห้าตกพระทัยจนรีบอุ้มนางลงจากรถม้า ร่างของนางเกร็งอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์

“ข้าพาเจ้าลงมาแล้ว! ลืมตาสิ!”

เมื่อได้ยินว่าตนเองหลุดออกจากรถม้าแล้ว ลมหายใจที่ดูรุนแรงจนฟืดฟาดของนางก็ค่อยกลับคืนสู่ภาวะปกติ มือที่กำหมัดแน่นค่อยคลายออก ใบหน้าค่อยๆ ซับสีขึ้นมา องค์ชายสิบห้าถอนพระปัสสาสะด้วยความโล่งพระทัย...

‘นี่ข้าคงเข้าใจผิดไปว่านางโอหังไม่ยอมขึ้นรถม้า ที่แท้นางก็หวาดกลัวการนั่งรถม้านี่เอง’

ครู่หนึ่งชิงหลานจึงค่อยๆ ลืมตา เมื่อมองเห็นท้องฟ้านางจึงผงกศีรษะได้สติว่ายามนี้ตนเองอยู่ในอ้อมแขนขององค์ชายสิบห้า ปลายจมูกโด่งของคนที่อุ้มนางอยู่ใกล้จนแทบจะชนใบหน้าของนาง

“ปล่อยหม่อมฉันได้แล้วเพคะ”

คราวนี้หมิงเฉิงอวี่ยอมปล่อยนางลงแต่โดยดี ร่างผอมบางโงนเงนเล็กน้อย เสี่ยวลิ่งรีบเข้าไปประคองเอาไว้

“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” ความจริงแล้วเสี่ยวลิ่งอยากจะหวีดร้องตั้งแต่ได้ยินเสียงคุณหนูตะโกนตอนที่อยู่ในรถม้า ทว่านี่คือองค์ชายสิบห้า หากนางเอะอะโวยวายไปก็เกรงจะถูกตัดหัวเสียง่ายๆ หนำซ้ำยังอาจจะทำให้คุณหนูและ ฮูหยินพลอยเดือดร้อน ครั้นเห็นว่าองค์ชายยินยอมอุ้มคุณหนูของนางลงจากรถ เสี่ยวลิ่งจึงค่อยรู้สึกผ่อนคลายสักหน่อย

“คุณหนูของเจ้านั่งรถม้ามิได้อย่างนั้นหรือ?” องค์ชายปรายพระเนตรมาถามเสี่ยวลิ่ง

“เพคะ! เป็นมาตั้งแต่ป่วยคราวก่อนตอนที่กลับจากเมืองหลวง” สาวใช้ตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง แม้จะดูสุภาพแต่น้ำเสียงกลับแฝงความโกรธเอาไว้

หมิงเฉิงอวี่รู้สึกตนว่าทำเกินไปจึงพระพักตร์เจื่อนลงเล็กน้อย

“เอาเถิด เช่นนั้นข้าจะเดินไปพร้อมกับพวกเจ้า”

กังเฉินหันไปสั่งรถขับรถม้าให้ตามไปด้านหลังเพราะถึงอย่างไรขากลับ องค์ชายก็ต้องนั่งรถม้ากลับอยู่ดี หมิงเฉิงอวี่ยืนรอกระทั่งชิงหลานสีหน้าดีขึ้นจึงผาย พระหัตถ์ให้นางเดินเคียงคู่กันไป เผยมู่ซีนึกเคืองยิ่งขึ้นกว่าเดิม

‘คิดว่าตนเองเป็นองค์ชาย อยากจะบังคับผู้ใดก็ได้งั้นหรือ? น่าชังเกินไปแล้ว ดีที่ข้าตายจากเจ้ามา ไม่เช่นนั้นเห็นทีข้าต้องโมโหตายเป็นแน่!’

องค์ชายสิบห้ารู้สึกเหมือนเด็กหญิงที่เดินข้างๆ ขยับตัวออกห่างไม่ยอมเดินใกล้กับตนเองก็รู้สึกหงุดหงิดแต่ไม่กล้าพูดจาใด เท่าที่ตนทำให้นางกลัวจนออกอาการแทบจะขาดใจตายเมื่อสักครู่ก็ดูเหมือนเป็นการทำผิดครั้งใหญ่แล้ว จึงได้แต่อดทนเสด็จไปเงียบๆ กระทั่งถึงจวนสกุลชิง

เหล่าลู่ได้รับคำสั่งจากฮูหยินให้ยืนรอรับเสด็จองค์ชายที่หน้าประตู เมื่อเห็นคุณหนูเดินคู่กับองค์ชายมาใกล้จะถึงก็รีบวิ่งเข้าไปรายงานให้จังฮูหยินได้ทราบ ในฐานะเจ้าของบ้านโดยมารยาทเมื่อผู้มีฐานะสูงกว่ามาเยือนนางจะต้องออกมาต้อนรับที่หน้าประตู นี่เป็นครั้งแรกที่มีแขกคนสำคัญมาเยือนทั้งยังเป็นบุคคลในราชวงศ์เสียด้วย จังฮูหยินเองรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย

“เชิญเสด็จเพคะ” นางเผยมือเชื้อเชิญให้องค์ชายสิบห้าเข้าไปนั่งยังห้องโถง

“ต่อไปให้ถือว่าข้าคือคนที่พวกเจ้ารู้จัก นับเป็นคนกันเองก็แล้วกัน” องค์ชายสิบห้าทรงมิได้ใช้คำแทนตัวว่า ‘เปิ่นหวาง’ กับชิงหลานมาได้หลายวันแล้ว ทรงอยากจะรู้ว่าเหตุใดเด็กหญิงผู้นี้จึงจงเกลียดจงชังตนนัก?...หากว่าพระองค์ทำตัวสนิทสนมกับครอบครัวของนางแล้ว นางจะเลิกทำท่าทางเช่นนี้หรือไม่?

จังฮูหยินตกตะลึง ปกติแล้วองค์ชายมักจะใช้คำแทนตัวกับผู้ที่ห่างเหินอีกอย่างหนึ่ง ในเมื่อทรงแทนตัวว่า ‘ข้า’ เท่ากับว่าทรงนับพวกนางเป็นคนใกล้ชิด จังฮูหยินเคอะเขินทำตัวไม่ถูกเพราะนางมิได้คาดคิดว่าองค์ชายสิบห้าผู้สูงส่งจะมาเป็นคนรู้จักกับสองแม่ลูกที่ไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ได้อย่างไร?

“จะดีหรือเพคะ? หม่อมฉันสองแม่ลูกเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้นเอง เพคะ” สีหน้าของจังฮูหยินปริวิตกอย่างยิ่ง ยิ่งนึกถึงอาหารที่นางเตรียมไว้ให้องค์ชายเสวยเย็นนี้แล้วนางยิ่งกลืนน้ำลายลงคอได้ยากเย็น

“เอาเถอะ ข้าว่าอย่างไรฮูหยินก็ว่าตามข้าก็แล้วกัน”

รับสั่งนั้นทำเอาจังฮูหยินหัวร่อมิได้ร้องไห้ไม่ออก ได้แต่รับคำแผ่วเบา “เพคะ” “ข้าขอเดินชมจวนสกุลชิงรอบๆ สักหน่อยก็แล้วกัน” องค์ชายทรงเหลือบมองสีหน้าของชิงหลานที่ดูดีขึ้นกว่าเมื่อครู่มาก “ ชิงหลาน เจ้าพาข้าเดินดูรอบๆ จวนเจ้าสักหน่อยเถิด”

แม้จะยังรู้สึกเคืองใจแต่สายตาขององค์ชายก็เหมือนจะสื่อว่ามิยอมให้นางปฏิเสธ ชิงหลานยอบกายรับคำสั่งและเดินนำหน้า ปล่อยให้เสี่ยวลิ่งกับมารดาขอตัวไปตั้งโต๊ะเสวยรอในห้องโถงใหญ่

หมิงเฉิงอวี่มองดูความเรียบร้อยของสวนด้วยความพอพระทัย “นี่คงเป็นฝีมือของพ่อบ้านลู่สินะ...ทำได้เรียบร้อยงดงามยิ่ง”

“เพคะ เหล่าลู่ดูแลงานหนักทุกสิ่งในจวน ยกเว้นงานซ่อมเรือนที่ยากเกินไปไม่อาจทำผู้เดียวได้” นางกวาดตามองไปยังเรือนโย้ๆ ใกล้จะพังด้านหลังและเรือนด้านข้างที่บางส่วนถูกพายุซัดฝาผนังเอียงไปส่วนหนึ่ง

องค์ชายมองดูเรือนเพๆ พังๆ สามสี่หลังแล้วก็รู้สึกได้ว่าที่นี่คงมิได้อยู่ในความสนใจของจวนหลักเพราะความเสียหายพวกนี้ก็ยังไม่ใส่ใจจะมาซ่อมแซมให้ เมื่อทอดพระเนตรจนทั่วแล้วจึงตามชิงหลานกลับไปยังเรือนหลัก

“พระกระยาหารพร้อมแล้วเพคะ” จังฮูหยินพยายามทำหน้านิ่งๆ ให้เหมือนกับที่บุตรสาวบอกเอาไว้ก่อนจะเชื้อเชิญองค์ชายให้ประทับก่อน

หมิงเฉิงอวี่ผงกพระเศียรรับและประทับลงพระเก้าอี้ โต๊ะอาหารในห้องโถงของสกุลชิงไม่ใหญ่นักเป็นเพราะปกติมีเพียงคนสี่คนร่วมโต๊ะกัน ทว่าวันนี้องค์ชายเสด็จมาจึงจัดออกเป็นสองโต๊ะ

“ท่านองครักษ์เชิญโต๊ะนั้นเจ้าค่ะ” เสี่ยวลิ่งผายมือเชิญกังเฉินให้เดินไปยังโต๊ะริมห้องที่เตรียมอาหารเอาไว้อีกชุดหนึ่ง

“แล้วพวกเจ้าเล่า?” กังเฉินแปลกใจที่เหล่าลู่กับเสี่ยวลิ่งถอยไปยืนอยู่ริมโต๊ะ ไม่ยอมนั่งลง

“วันนี้พวกข้าน้อยคอยรับใช้องค์ชายกับท่านองครักษ์ขอรับ” เหล่าลู่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสงบ

“เช่นนั้นก็ขอบคุณพวกท่าน”

ครั้นองค์ชายสิบห้ามองไปบนโต๊ะอาหารก็ทรงยิ้มไม่ออก สาวน้อยเจ้าของจวนเห็นสีพระพักตร์ขององค์ชายก็ยกยิ้มน้อยๆ

“ในเมื่อองค์ชายทรงให้เกียรติครอบครัวหม่อมฉัน เช่นนั้นหม่อมฉันก็อยากให้องค์ชายได้ทรงทอดพระเนตรความเป็นอยู่จริงๆ ของหม่อมฉันและท่านแม่เพคะ นี่คืออาหารที่พวกเรารับประทานกันเป็นปกติ ด้วยฐานะของพวกเราแล้วไม่อาจจะทานหมูเห็ดเป็ดไก่ฟุ้งเฟ้อได้เพราะเกรงเงินที่มีจะไม่พอใช้จ่ายเพคะ”

คำที่นางกล่าวดูเหมือนจะเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น หมิงเฉิงอวี่จำได้ว่าเพิ่งจ่ายเงินมัดจำงานให้นางไปห้าตำลึง ด้วยเงินขนาดนั้นนางสามารถซื้อเนื้อแพะมาทำอาหารถวายพระองค์ได้สบายแต่นางก็มิได้ทำ...แต่ละจานบนโต๊ะแม้จะส่งกลิ่นหอมยั่วยวนทว่าดูแล้วกลับไม่มีแม้แต่เนื้อสัตว์สักชิ้น

เผยมู่ซีมองอดีตว่าที่พระสวามีด้วยสีหน้าคล้ายจะเย้ยหยันแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อนและเลื่อนถ้วยข้าวหอมกรุ่นมาตรงหน้าพร้อมกับตะเกียบ

“เชิญเสวยเพคะ อย่าให้ท่านแม่ของหม่อมฉันเสียกำลังใจที่นางตั้งอกตั้งใจปรุงพระกระยาหารทั้งหมดนี้เพื่อถวายองค์ชายโดยเฉพาะ”

**********************

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel