ตอนที่ 2 ขอโอกาส
บุษบันมองตามท้ายรถที่วิ่งออกไปจากหน้าคอนโดแล้วเงยหน้ากรอกตาไปมา ก่อนจะหมุนตัวเดินขึ้นห้องพลางใช้นิ้วนวดตรงหัวคิ้วทั้งสองข้าง ตอนนี้ยอมรับเลยว่าเธอยังมึนไม่หายกับการเปลี่นแปลงแบบข้ามขั้นในระยะเวลาไม่ถึงชั่วโมงของอริญชย์
ถ้าถามว่ามันดีไหม มันก็ดีแหละแต่รู้สึกแปลกๆ ชอบกล ที่จู่ๆ คนเคยจิกกัดตลอด มาบอกขอโทษที่เคยพูดไม่ดี นับจากวินาทีนั้นอริญชย์ก็พูดจากับเธอดีมากๆ แถมสายตาที่ชายหนุ่มใช้มองมองเธอ มันยังชวนให้จั๊กจี้พิกล นี่ยังรวมไปถึงอโรชากับอริสราที่มองเธอกับอริญชย์แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย ถามว่ามีอะไรคำตอบที่ได้คือเปล่าไม่มีอะไร แต่ยังแอบมองแอบยิ้มตลอด ดังนั้นทันทีที่ถึงห้องบุษบันก็ต่อสายหาอริสราทันที
“ว่าไงจ๊ะ”
เหมือนปลายสายจะรู้ตัวหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ เสียงรอสายดังไม่ถึงสามครั้งเสียงทักสดใสก็ดังขึ้นมาตามสาย
“ไม่ต้องมาว่าไงจ๊ะเลยนะ ตกลงวันนี้มันอะไรกัน…ฉันไม่ต้องการคำตอบว่าไม่มีอะไร” บุษบันเอ่ยดักเอาไว้ก่อนทำให้เธอได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจดังตอบกลับมา
“แล้วมันอะไรนี่อะไรล่ะ” อริสราแกล้งถามเสียงกลั้วหัวเราะ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดีเลยละว่าเพื่อนสนิทหมายถึงเรื่องอะไร
“ก็เรื่องนายซันไง มันอะไร จู่ๆ เขาก็มาพูดดีทำดีกับฉัน และแกกับพี่ซีก็มองฉันกับนายนั่นแล้วยิ้มเหมือนมีอะไร”
“แล้วมันไม่ดีหรือไง”
“ก็ดี แต่มันรู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้” บุษบันตอบพลางขมวดคิ้วอย่างคนกำลังพูดไปคิดไป เดินจากระเบียงกลับมาที่เตียงนอน
“แปลกยังไง ฉันหมายถึงความรู้สึกของแกน่ะแปลกยังไง รู้สึกดีหรือใจเต้นไหม” ปลายสายถามเสียงกระตือรือร้น จากนั้นก็เงียบเหมือนรอลุ้นคำตอบ
“ไอ้รู้สึกดีมันก็รู้สึดีอยู่หรอกแต่แค่แปลกใจเท่านั้นว่าเพราะอะไร อย่าลืมนะว่าฉันโดยนายนั่นว่าจนต้องออกไปสงบสติอารมณ์นอกบ้านแต่ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนายซันกลับกลายเหมือนเป็นคนละคน เอ่อ ว่าแต่ทำไมฉันต้องใจเต้นด้วยล่ะ”
ท้ายประโยคของบุษบันเรียกเสียงถอนหายใจจากอริสราได้เป็นอย่างดี “ถอนหายใจยังกลับมีเรื่องกลุ้มหนัก แล้วตกลงจะบอกเรื่องที่ฉันถามได้หรือยังล่ะแม่คุณ” บุษบันประชดพร้อมกับล้มตัวลงนอนบนที่นอนแล้วกลิ้งไปมา
“แกว่าซันเป็นยังไง” อริสรายังไม่ยอมตอบหากย้อนถามกลับ
บุษบันกรอกตาพร้อมกับบุ้ยปากไปมา พยายามจำกัดความความเป็นอริญชย์ในความรู้สึกและสายตาของเธอ
“ก็เป็นผู้ชายที่ดูดีคนหนึ่งอาจจะเข้าขั้นหล่อเลยละ แต่กวนประสาทและปากเสียมากๆ และไอ้ที่มาดีกับฉันนี่ก็ไม่รู้จะกี่วันนะ”
“แค่เนี่ย” ปลายสายถามเสียงสูงเหมือนคำตอบที่ได้ยังไม่ตรงใจ
“เอ้อ ก็แค่นี้แกจะเอาแค่ไหนล่ะ” และก็เป็นอีกครั้งที่บุษบันได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาตามสาย
“ตกลงแกเป็นอะไร รู้สึกแกจะถอนหายใจทุกครั้งที่ฉันตอบคำถามแกเลยนะ”
“ก็คำตอบมันไม่โดนใจฉันนี่”
“อ๋อเหรอ…งั้นบอกว่ามาซิว่าคำตอบที่โดนใจแกมันคือคำตอบยังไง”
“ฉันอยากได้ความรู้สึกพิเศษที่แกมีต่อซันและ…”
“เดี๋ยวๆๆๆ”
ยังไม่ทันที่อริสราจะพูดจบคนที่รู้สึกสะดุดกับคำว่า ‘ความรู้สึกพิเศษ’ ต้องรีบเบรกเอาไว้เสียก่อน และเธอขอเดาจุดประสงค์ของเพื่อนรักว่า
“นี่แกกำลังจะจับคู่ฉันกับนายซันใช่ไหม”
“ก็ไม่เชิง”
“ไม่มีทาง” บุษบันตอบบบไม่เสียเวลาคิด
“แต่ซันมันชอบแก”
“ไม่จริง”
“จริง”
อริสราแย้งเสียงหนักแน่น ทำให้บุษบันดีดตัวลุกขึ้นนั่งพลางสูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนออก กะพริบตาปริบๆ อย่างไม่รู้จะเชื่อหรือไม่เชื่อดี “จริงๆ นะบุษ ซันมันแอบชอบแกมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยแล้ว ฉันกับพี่ซีรู้ดี” อริสราย้ำปลายน้ำเสียงติดจะอ้อนให้เพื่อนรักเชื่อ
“แต่ฉันไม่คิดว่าเป็นอย่างนั้น” บุษบันบอกเสียงแผ่ว ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีความรู้สึกอะไรกับเธออย่างที่เพื่อนกำลังบอก
“เชื่อเถอะ ถึงมันจะไม่ใช่เด็กประถมแต่ก็ชอบแกล้งคนที่ตัวเองชอบเหมือนเด็กประถม…และตอนนี้ฉันกับซีก็เกลี้ยกล่อมจนมันกล้ายอมรับและทำตัวใหม่กับแกไง”
คราวนี้บุษบันถึงกับพยักหน้า รู้ถึงที่มาที่ไปของการเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหันของอริษญย์ รวมถึงสายตามีเลศนัยของสองพี่น้อง
“แต่ฉันไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนั้นกับซัน…”
“ลองเปิดใจดูก่อน ให้โอกาสมันหน่อย ของอย่างนี้มันต้องใช้เวลา บางทีในใจลึกๆ แกอาจจะนึกชอบซันมันอยู่ก็ได้ แต่เพราะใกล้กันเกินไปและซันเองมันก็ปากเสียกับแกตลอด เลยทำให้แกลืมความรู้สึกลึกๆ นั้นไปก็ได้ นะบุษนะ แกลองให้โอกาสซันมันหน่อย”
อ๋อ เหรอมันคงจะลึกเป็นพันๆ ไมล์เลยมั้ง ไอ้ความรู้สึกที่ว่าเนี่ย บุษบันอยากจะตอบออกไปอย่างนั้น แต่ก็กลัวเพื่อนจะเสียใจจึงทำแค่เงียบฟัง และตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้
“ถึงแกจะพูดอย่างนั้น แต่ฉันเอ่อ…อยากขอเวลา”
“ไม่มีปัญหา ระหว่างที่แกขอเวลาทบทวนความรู้สึก แกก็ให้เวลาซันได้พิสูจน์ความรู้สึกตัวเองไปด้วยไง ตกลงเอาตามนี้ ฉันจะไปบอกซัน แค่นี้นะแก”
“ดะ…เดี๋ยวยายซายด์ ยายซายด์ อ้าว เฮ้อ…”
บุษบันถอนหายใจ มองโทรศัพท์ที่อริสราชิงตัดสายไปก่อนจะทันได้คุยกันให้รู้เรื่อง แล้วทิ้งตัวนอนแผ่หรา มองเพดานห้องด้วยความรู้สึกหนักอกหนักใจ ก็เพื่อนรักเล่นมัดมือชกอย่างนี้จะให้ทำไงล่ะ
ที่ขอเวลาไม่ใช่เพื่อทบทวนความรู้สึกตามที่อริสราคาดเดา แต่แค่อยากยืดเวลาปฏิเสธออกไปเพื่อไม่ให้มันดูน่าเกลียดจนเกินไป แต่พอมาโดนแบบนี้จะทำยังไงล่ะ ก็คงต้องลองให้โอกาสอริญชย์ แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องนี้มันไม่มีทางเป็นไปได้!!!
ร่างสูงที่เดินลวงกระเป๋ากางเกงพร้อมกับฮัมเพลงลงมาจากบันไดอย่างอารมณ์ดี กวาดสายตามองบริเวณห้องรับแขกเล็กน้อยเมื่อไม่เห็นใครชายหนุ่มจึงยักไหล่แล้วเดินเลยจะออกจากบ้าน
“นั่นแกจะไปไหน ไม่กินข้าวเช้าก่อนหรือไง” เสียงทักจากบิดาทำให้ร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนสีซีดหมุนตัวเดินกลับมากอดบิดา
“อรุณสวัสดิ์ครับพ่อ”
“แกยังไม่ตอบพ่อเลยว่าจะไปไหนแต่เช้า วันนี้ไม่มีงานไม่ใช่เหรอ”
“พอดีผมนัดกับเพื่อนไว้ครับ” คนเป็นพ่อเลิกคิ้ว มองรอยยิ้มเหมือนเด็กเกเรของลูกชาย แล้วถามต่อไปว่า “เพื่อนที่นัดคือดาราสาวที่กำลังมีข่าวว่าแกเกาะเขาดังใช่ไหม”
บอลด์วินไม่ตอบ แต่ปรายตามองคนเป็นพ่อเล็กน้อยแล้วหัวเราะหึๆ ในลำคอพร้อมกับกดยิ้มมุมปาก นั่นมันก็เกินพอแล้วว่าใช่!
“ยังไงก็ระวังๆ เรื่องข่าวคาวๆ บ้างนะ อย่าให้มันมากนัก อย่าลืมละว่าแกต้องมารับช่วงงานต่อจากพ่อ…เหลือเวลาอีกสามเดือน”
“สามเดือนกับอีกหนึ่งวันครับ” ลูกชายแก้ แม้วันเดียวก็จะเอา ถือว่าอย่างน้อยมันก็ยืดเวลาให้ยาวไปอีกวันละ
“ฮึ! นับวันนับคืนให้ดี…ครบสามเดือนเมื่อไหร่ ตามสัญญา”
“คร๊าบบบ ผมไปนะครับเดี๋ยวสาย” บอลด์วินรับคำเสียงยานคาง
“อย่ากลับดึกนักล่ะ”
“พรุ่งนี้มีงาน ค่ำๆ ผมก็กลับแล้วครับ”
บอลด์วินเอี้ยวตัวกลับมาบอกคนเป็นพ่อ แล้วรีบเดินออกจากบ้านก่อนที่คนเป็นพ่อจะเริ่มบ่นยาวเรื่องงานของเขาอีก
งานนายแบบเป็นงานที่เขาทำมาตั้งแต่กลับมาอยู่เมืองไทย อีกทั้งเป็นงานที่เขาเคยทำตั้งแต่เรียนอยู่เมืองนอกเพื่อหารายได้เสริม และด้วยความที่เป็นงานท้าทาย ได้พบปะผู้คนเยอะแยะมากหน้าหลายตา เป็นอะไรที่ไม่น่าเบื่อ เลยคิดเล่นๆ ว่าเขาอาจจะยึดอาชีพนี้ไปจนกว่าจะเบื่อ ทว่าในความเป็นจริงมันเป็นไปได้ค่อนข้างยาก เพราะพ่อของเขาค้านหัวชนฝาและต้องการให้เขามารับช่วงดูแลบริษัท
บริษัทที่มีครอบครัวเขามีหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง ถ้าเอาหุ้นที่พ่อและแม่เลี้ยงถืออยู่มารวมกันละนะ อีกอย่างท่านทั้งสองก็เห็นพ้องต้องกันว่าอาชีพนายแบบเป็นอาชีพฉาบฉวย อายุมากขึ้นหรือแก่ตัวไปก็คงไม่สามารถทำงานนี้ได้ สู้เอาเวลาตอนนี้มาเรียนรู้งานที่บริษัทน่าจะเป็นอะไรที่ดีและยั่งยืนมั่นคงกว่า
ตอนแรกเขาะจะไม่ยอมเพราะยังรู้สึกสนุกกับงาน แต่พอโดนคำขู่ที่ว่าถ้าเขาไม่ยอม ท่านทั้งสองจะขายหุ้นบริษัทที่มีทิ้งและทรัพย์สินทุกอย่างจะยกให้การกุศล เขาทายาทโดยชอบธรรมเพียงคนเดียวมีหรือจะยอม เลยมีการตกลงกันว่าเขาจะขอทำงานในการเป็นนายแบบนี้สามปีสามปีเท่านั้นแล้วเขาจะออกจากวงการไปทำงานบริษัท และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ สามปีมันช่างผ่านไปเร็วนัก…เหลือเวลาอีกแค่สามเดือนกับหนึ่งวันเท่านั้น!!!
วันหยุดที่คิดว่าจะนอนดูหนังฟังเพลงสบายๆ อยู่ที่ห้องหรือไม่ก็ออกไปเดินหาซื้อของเล็กๆ น้อยๆ มาทำอาหารกินเอง กลับกลายเป็นว่าตลอดสามวันนี้เธอถูกชวนเดททั้งสามวัน จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะอริญชย์
เล่นมาถึงคอนโดแล้วถึงโทร.ชวนและที่สำคัญก่อนที่อริญชย์จะโทร.มา อโรชาได้โทร.มาถามเธอก่อนแล้วว่าอยู่ไหน ด้วยความที่ไม่รู้ว่าพี่น้องจะมาแผนนี้เลยเผลอบอกความจริงไปว่าอยู่ห้อง
นั่นคือวันแรกส่วนวันที่สองสามอริญชย์เล่นมัดมือชก หลังจากมาส่งแล้วเอ่ยปากชวน ชายหนุ่มไม่รอฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธกรีบบึ่งรถจากไป เท่านั้นยังไม่พอก่อนนอนอริสรายังโทร.มาถามเรื่องออกเดท ทั้งดันทั้งอวยคู่แฝดสุดฤทธิ์สุดเดชเล่นเอาเธอพูดไม่ออก ใครจะไปรู้ว่าพี่น้องเขาทำงานเป็นทีมได้ดีอย่างนี้
“วันนี้ไปไหนดีครับ”
‘ครับ’ หางเสียงแบบนี้ได้ยินกี่ทีบุษบันต้องขมวดคิ้วทุกครั้ง แม้สองสามวันมานี้จะได้ยินบ่อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ชินแถมยังชวนจั๊กจี้หูตลอด
“ไม่รู้สิ นายอยากไปไหนล่ะ” บุษบันพยายามทำตัวปกติ แม้จะรู้สึกไม่ปกติทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มและสายตาหวานเชื่อมของอริญชย์
อริญชย์พลิกนาฬิกาดูแล้วหันมาพูดกับคนข้างพร้อมกับสตาร์ทรถ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนมันออกจากคอนโด “เที่ยงแล้วเรากินข้าวกันก่อนดีกว่า”
“ก็ดี…แล้ววันนี้นายไม่ได้ทำงานเหรอ”
“ไม่ นานๆ อยากหยุดสักที”
“แล้วนานๆ หยุดนายไม่คิดจะไปไหน หรือทำอย่างอื่น นอกจากมาหาฉัน”
“ไม่…ไม่มีที่ไหนอยากจะไป เห็นว่าเธอเองก็หยุดเลยมาชวน เผื่อเราจะได้รู้จักกันมากขึ้น” ตอบพลางหยุดรถแยกไฟแดง แล้วหันมายิ้มหันบุษบันที่นั่งยิ้มแหยๆ
“ฉันคิดว่ารู้จักนายดี”
“แต่ยังไม่ดีพอ ที่ผ่านมาเราทำอะไรตรงข้ามกับใจมากไปหน่อย มันอาจจะทำให้เธอคิดว่าเราเป็นคนอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่”
อริญชย์หันมาอธิบายพร้อมกับใช้มือประกอบคำพูดให้หญิงสาวฟังอย่างจริงจังจนลืมดูว่าไฟตรงแยกมันเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวไปแล้ว มารู้ตัวก็ตอนที่บุษบันสะกิดและมีเสียงแตรบีบไล่จากรถที่อยู่ด้านหลัง
“เรื่องเธอเราเอาจริงนะบุษ”
“แต่ฉัน…”
“อย่าเพิ่งสรุปตอนนี้ได้ไหม ให้โอกาสเราหน่อย”
ยังไม่ทันที่บุษบันจะปฏิเสธ อริญชย์ที่พอจะเดาคำตอบจากหญิงสาวได้จึงรีบอุธรณ์ร้องขอโอกาสให้ตัวเองได้พิสูจน์ความจริงจังจริงใจ
“ฉันคิดว่าระหว่างเรามันสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ได้”
“นายคิดแต่ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้”
“นั่นเพราะเธอยังไม่รู้จักเราดีพอไง ลองเปิดใจ อย่ายึดติดภาพเดิมๆ ลองมองเราในอีกมุม มุมที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ได้ไหม” ชายหนุ่มขอร้องเสียงอ้อน
บุษบันกอดอกปรายตามองคู่แฝดเพื่อนรักที่รู้จักกันมานานแล้วถอนหายใจ เม้มปากนิ่งใช้ความคิดครู่หนึ่ง เห็นแก่ที่รู้จักกันมานาน เห็นแก่อริสราที่เป็นเพื่อนรัก เห็นแก่อโรชาที่เธอรักและเคารพเหมือนพี่สาว
“ก็ได้ แต่ฉันไม่คิดว่าทุกอย่างมันจะเปลี่ยนแปลง”
“ไม่ลองก็ไม่รู้ว่าไหมล่ะ”