ตกลงเราเป็นอะไรกัน
“หลานน้อมบัญชาเสด็จย่า”
“กุ้ยเหริน เจ้ากลับไปก่อนย่ามีเรื่อง หารือกับฮ่องเต้เพียงลำพัง”
“ลู่เอินกุ้ยเหริน ทูลลา” กิริยางดงามน่ามองเป็นที่ต้องตาของทั้งบุรุษและสตรี แม่ทั่วหล้าอาจมีเพียงหนึ่งเดียว แม้แต่พระอัยยิกายังพึงพระทัย แต่หาใช่กับฮ่องเต้ไม่
“เห็นไหมล่ะเจ้าไม่อาจละเลยหญิงงามอย่างกุ้ยเหรินได้ งดงามหาหญิงใดเปรียบ อย่าเอาอดีต มาทำให้ชีวิต จมอยู่ในความเศร้า”
“ลืมได้อาจไม่ลืม ไม่ลืมกลับอยากให้ลืม หลานยังคงยืนยันคำเดิมนางคือนางในดวงใจของหลานเพียงผู้เดียว”
“ทำไมฮ่องเต้ยังคงดื้อรั้น ย่าและหลายคนพยายามที่จะสรรหาหญิงงามทั่วหล้าแต่ฮ่องเต้กลับใช้เวลากับพวกนางแค่เพียงหนึ่งคืน”
“เป็นเพราะหลานไม่อาจลืม เหมยเจียงนางยังอยู่กับหลานตราบลมหายใจ”
“ย่าจะคอยดู ว่าฮ่องเต้จะเป็นแบบนี้อีกสักเท่าไหร่ คนเรามีความรักได้ครั้งที่ร้อย ยิ่งป็นฮ่องเต้ความรัก ไม่ใช่ส่วนประกอบเดียว” รอยยิ้มมีเลศนัยของอัยยิกาทำเอา ฮ่องเต้เริ่มหวาดกลัวหัวใจของตัวเอง
แพรวานั่งนอนอยู่บนที่นอนจนเบื่อเดินออกมาภายนอกเห็นประตูไม่ได้ล็อก เดินไปบนทางเดินที่มีดอกไม้ที่แพรวาไม่เคยเห็นมาก่อนสองข้างทางสวยงาม ชุดรุ่มร่ามที่ใส่อยู่มองแปลกตาแต่สวยอย่างประหลาด เหมาะกับเธออย่างยิ่งสีเหลืองขับผิวนวลที่ไม่ขาวจัดเหมือนพวกสนมนางใน ของที่นี่ ด้วยผิวของแพรวาออกสีน้ำผึ้งหากแต่เนียนละเอียดไร้จุดด่างดำ
ก้มลงดอมดมดอกไม้สีสวย อย่างเพลิดเพลินก่อนจะผุดลุกขึ้นด้วยความรวดเร็ว ชนเข้ากับร่างของบางคนที่ยืนมือไพล่หลังอยู่เบื้องหน้าเซแซดๆ ร่างสูงคว้าตัวไว้โดยเร็ว
“แม่นาง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
เสียงนุ่มเหมือนพระเอกละคร ใบหน้าคมคายหล่อเหลาแววตาหวานซึ้ง ดวงตาเหมือนจะถูกอาบด้วยน้ำผึ้ง
“เปล่า ปู้ปู้ ปู้ (ไม่ไม่ ไม่) ”
แพรวาละล่ำละลัก คนที่นี่ทำไมหน้าตาดีๆ ทั้งนั้นไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย
“แม่นางเหตุไฉน ข้าไม่เคยเห็นเจ้าภายในวังแห่งนี้ ไม่ทราบว่าแม่นางพำนักที่ตำหนักไหน”
“ข้าไม่มีตำหนัก”
เหมือนพวกทรงเจ้าเลยมีตำหนักด้วย555
“ไม่มีตำหนัก รึจะเป็นเทพ ธิดาจากสรวงสวรรค์ ที่จำแลงกายมาให้พานพบจึงได้งดงามปานภาพวาด”
โห ปากหวานเสียด้วย
“ไม่ใช่ ข้าอาศัยอยู่ที่นู่น”
แพรวาชี้มือไปยังตำหนักใหญ่ตรงกลาง คนหน้าหล่อมีแววผิดหวังเล็กน้อย
“เจ้าเป็น....สนม ของเสด็จพี่” เข้าใจผิดไปกันใหญ่
“ไม่ได้เป็นสนม แค่หญิงหนึ่งผ่านมาพักพิง ประเดี๋ยวก็ไป”
พูดให้เข้ากับสถานการณ์เหมือนบทกลอนน่าฟังไม่ได้แกล้งแต่มันเป็นเอง
รอยยิ้มด้วยความเอ็นดูนั้นไม่ปิดบัง
“คงเป็นดังที่เขาร่ำลือว่าฝ่าบาท ทรงช่วยหญิงงามขึ้นจากน้ำ แล้วยังใช้เสื้อคลุมมังกรกับนางไม่แน่ว่าจะเป็นเจ้า”
เรื่องใหญ่แบบรู้กันหมด
“ไม่รู้ว่าใช่หญิงงามหรือเปล่า แต่เป็นข้าเองที่ฮ่องเต้ช่วยขึ้นจากน้ำ”
มือสวยเรียวบางเหมือนมือผู้หญิงยกขึ้นเชยคางของแพรวา เธอสะบัดหน้าจนมือหลุดไป
“งาม จนดอกเหมยยังอาย สายลมยังหลบ จันทราอับแสง เช่นนี้หรือจะไม่เรียกหญิงงาม แม่นางน้อยคนนี้นามว่ากระไร”
“แพร... เฟยลี่ ฮ่องเต้เรียกข้าว่าเฟยลี่”
“โบยบินอย่างดงาม ดั่ง นกน้อยไร้กรงทอง”
ล้ำลึก ที่นี่แต่ละคน พูดได้คำเดียว...ล้ำลึก
“ข้าน้อยมิกล้า”
จำมาจากซีรีส์เช่นกัน555 เสียงหัวเราะขบขันหรือจะพูดผิดเอาใหม่
“เช่นกัน เช่นกัน”
คราวนี้แววตาวาวใสมองแพรวาด้วยความพึงใจ
“ข้าหยางจื้อโหว คารวะแม่นาง”
แพรวาก้มตัวทำความเคารพตามแบบขัดๆ เขินๆ คนที่เรียกตัวเองว่าโหวกับมองว่าน่าเอ็นดูหัวเราะด้วยความพึงใจ
คนคนนี้สงสัยจะ ต้องมีอะไรปิดบังเป็นแน่คนที่หัวเราะได้เสียงดังขนาดนี้ คือคนที่มีความลับมากมาย หาได้เปิดเผยเหมือนเสียงหัวเราะไม่ มีคนเขาว่ามาอย่างนั้น คงเหมือนกับการพิมพ์คำว่า555+ เวลาแชทกันนั่นเอง
“มีโอกาส ข้าโหวหยางจื้อคงได้ร่วมดื่มชาเป็นการคารวะแม่นางอีกครั้ง”
พูดถึงเรื่องดื่มตอนนี้แพรวาอยากที่จะได้แอลกอฮอล์สักแก้วหรือสองแก้ว เพื่อช่วยให้มีความกล้าที่จะเผชิญสิ่งที่กำลังพบเจออยู่นี้
เสียงฝีเท้าคนด้านหลังก่อนเสียงจะตามมา
“คารวะท่านโหวหยางจื้อข้าน้อยเสี่ยวโอ ได้รับบัญชาจากฮ่องเต้ ให้มาพาแม่นางเฟยลี่และเชิญท่านโหว ที่ตำหนักด้านใน”
แหม๋คงแอบดูอยู่ตรงไหนสิท่า ถึงรู้ว่าเธออยู่กับท่านโหว ตาสับปะรดจริงๆ ท่านโหวยกแขนสวมชุดพระเอกซีรีส์จีนให้เข้าที่เข้าทางมืออีกข้างไขว้หลังกิริยาไม่ขัดตาเหมือนกับเธอกำลังดูซีรีส์อยู่ก็ไม่ปานท่าทางงดงามราวกับถูกฝึกมาจนกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ
สาวท้าวเดินเงียบกริบจนไม่อาจได้ยินเสียงฝีเท้า อย่างนี้เองกระมั้งที่เขาเรียกวิชาตัวเบาแพรวาคิด ต่างจากเธอที่ไปไหนก็ลากรองเท้าได้ไปทั่ว มองตามแผ่นหลังผึ่งผายสมชายชาตรีเธอเดินตามพยายามทำตัวให้เล็กที่สุด จะได้ไม่เกิดเสียงดัง
“โหวหยางจื้อ ถวายบังคมฝ่าบาท”
คนที่ถูกเรียกฝ่าบาทยืนมือไพล่หลังทำมาดนิ่งอยู่ตรงนั้น
แพรวามัวแต่มองคนที่เป็นฝ่าบาทจนชนเข้ากับคนที่ทำความเคารพ ล้มลงไปบนตัก อ้อมแขนของท่านโหวโอบรอบเอวบางด้วยความรวดเร็วแพรวายิ้มอย่างอายๆ
เกือบขายหน้า ฮ่องเต้ขยับตัวแต่กลับเปลี่ยนใจทำมาดนิ่งเหมือนเดิม
“แม้นางจะยังไม่ได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งใด แต่นางก็พำนักอยู่ที่ตำหนักข้า ท่านโหวกรุณาแล้ว แต่ไม่อาจรบกวน”
เดินมาฉุดร่างแพรวาขึ้นจากตักท่านโหวสายตาดุเข็มเชือดเฉือนกัน สงสัยจะไม่ค่อยลงรอยกันแพรวาคิด
“ฝ่าบาท กล่าวเกินไปแล้ว โหวหยางจื้อมิกล้า เพียงเพราะบังเอิญได้มีโอกาสสนทนากับแม่นาง...เฟยลี่ จึงทราบว่าแม่นางแค่ผ่านมาพักพิงมิได้ดำรงตำแหน่งใดใดในวังหลัง”
โอโห้ เชือดเฉือนเหมือนกัน ไม่เบาไม่เบา แต่ไม่ค่อยจะเข้าใจ ไอ้ที่พูดมาเลย พูดกันตรงๆไม่ได้เหรอ ปากก็บอกมิกล้าแต่ทำไมถึงเหมือนกับเหน็บแนมชอบกลประมาณว่าช้าไม่มีสิทธิ์ฮ่องเต้ก็ไม่มีสิทธิ์
“อย่างนั้นข้าคงต้อง มอบตำแหน่งใดให้นางกัน ในเมื่อเจ้าก็ดูเหมือนจะพึงใจในตัวนาง”
อะฮ้าพูดกันตรงๆ แบบนี้เลยเหรอฟะ เคยถามแพรวาสักคำไหมว่าพึงใจใครบ้าง
คงต้องขอเวลาทำใจแป็บเพิ่งจะอกหักมา
“ในเมื่อฝ่าบาท เอ่ยมาเช่นนี้โหวหยางจื้อก็อยากเสนอตำแหน่งให้แม่นางเฟยลี่ ด้วยความมิบังอาจเพื่อความยุติธรรมแก่ฝ่าบาทและข้าพระองค์”
“บังอาจ เจ้าคิดว่าเจ้า จะสามารถเอาชนะใจนางได้รึ” ไปกันใหญ่
“ข้าพระองค์เกรงว่าฝ่าบาท จะใช้อำนาจบังคับนาง”
“ข้าไม่ได้ เป็นชายที่ชอบใช้กำลังหากนางไม่สมัครใจ”
เหลือบตามองมายังแพรวา มาทนฟังใครเขาพูดถึงเธอได้แบบนี้นะว่าแต่จะหนีไปไหนได้
“งั้นเพียงแต่ยังไม่ต้องให้นางกินตำแหน่งใด”
“เจ้าก็รู้ กระแสน้ำใสเย็นย่อมมีเขาสูง นางไม่อาจไม่รู้ที่มาที่ไป การใช้ชีวิตที่นี่แน่นอน ไม่อาจวางใจพลาดเพียงก้าวเดียว ถึงกับนั่งอยู่ในแดนประหาร”
“ตำแหน่งใดจะเหมาะกับนาง ก็เป็นเพียงฝ่าบาท ที่ตัดสินใจ”