บทที่1/1
บทที่1/1
ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโต นัยน์ตาดำขลับริมฝีปากแดงราวกับผลผิงกัว สตรีที่ยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ในยามเว่ย นางราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดจากปลายพู่กันของจิตรกรดัง แม้ในยามเว่ย (คือ 13.00 - 14.59 น.) แดดแรงร้อนแรงจนมีเหงื่อซึมที่ข้างขมับ แต่ถึงกระนั้นนางยังดูงดงามจนไม่อาจละสายตาได้ไม่ว่ามองมุมใดก็หาที่ติมิได้
“คุณหนูเข้าด้านในก่อนเถิดเจ้าค่ะ ฮูหยินก็เข้าไปนั่งที่โต๊ะหินใต้ร่มไม้แล้ว” เสียงแม่บ้านที่ดังมาจากด้านหลัง คะยั้นคะยอให้คุณหนูคนเดียวของตนเข้าไปหลบแดดด้านในจวน
“ไม่ล่ะ อีกไม่ช้าขบวนรถม้าก็มาแล้ว” เผยอิงส่ายหน้า ดวงตายังคงจับจ้องไปที่มุมถนน นางยืนอยู่หน้าจวนของสกุลเผยเฝ้ารอการกลับมาของบุรุษที่นางรักและเทิดทูน นางอยากมั่นใจว่าท่านพ่อจะเห็นนางเป็นคนแรกทุกครั้งที่ท่านออกไปกับขบวนสินค้า ไม่ว่าจะกี่วันกี่เดือน เมื่อกลับมาท่านจะได้รู้ว่ามีนางแล้วมารดารอท่านอยู่ตรงนี้เสมอ
"ท่านพ่อ"
ร่างบางวิ่งออกมาชะเง้อคอรออยู่หน้าจวนตั้งแต่เช้า เมื่อทราบข่าวว่าขบวนรถม้าของบิดาใกล้มาถึงแล้ว เมื่อเห็นชายชราขวบม้าเข้ามาใกล้นางจึงส่งเสียงร้องเรียกด้วยความดีใจ ครานี้บิดาเดินทางไปเมืองหลวงนานมากจริง ทุกครั้งท่านไปเพียงเดือนเดียวก็รีบเดินทางกลับมา แต่หนนี้ไปนานถึงสามเดือน นางหวั่นใจไม่น้อยกลัวบิดาจะกลับมาไม่ทันวันสำคัญ
"ข้านึกว่าท่านจะกลับมาไม่ทันเสียแล้ว" นางโผเข้าหาทันทีเมื่อชายชรากระโดดลงจากหลังม้า กอดแขนบิดาแน่นเอียงคอมองใบหน้าของชายชราด้วยท่าทางน่ารัก จนชายชราอดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มออกมา
"จะกลับช้ากว่านี้ได้อย่างไร ในเมื่อพรุ่งนี้คือวันเกิดอายุครบ ๑๘ ปีของเจ้า อิงอิง ลูกรัก" เผยเหิงกระชับอ้อมกอดก้มลงจุมพิตกระหม่อมบาง ก่อนจะผละออกหันไปหาสตรีวัยกลางคนที่ส่งยิ้มบางอยู่ไม่ไกล แม้อายุจะเข้าเลขสี่แล้วยังคงสวยตราตรึงใจเขาทุกครั้งยามมองนาง ฝ่ามือเหี่ยวย่นเอื้อมไปหาสตรีคู่ชีวิต นางวางมือบนฝ่ามือของเขาอย่างไม่อิดออด
"เข้าไปพักผ่อนกันดีกว่าเจ้าคะ เดินทางมาเหนื่อยๆ " เผยฮูหยินเดินตามแรงจูงของสามีกลับเข้าจวน ไม่ลืมหันไปสั่งบ่าวรับใช้ให้เตรียมที่พักให้สำหรับแขกคนอื่นๆ ที่ร่วมเดินทางมาด้วย แม้จะไม่ได้ต้อนรับกล่าวทักทายตามมารยาทเพราะทุกคนเดินทางไกลมาเหนื่อยๆ ควรได้พักผ่อน อย่างไรพรุ่งนี้ก็ได้เจอกันในงานเลี้ยงวันเกิดของบุตรสาวของนางอยู่แล้ว
"สวยมากเลยเจ้าค่ะ" เผยอิงครางเสียงหวาน เมื่อมองสิ่งที่บิดายื่นมาเบื้องหน้า "แต่...ข้าว่ามันแพงเกินไปนะคะ" เธอทำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ
"เหลวไหลน่าเแพงเพิงอะไรกัน หยกชิ้นเท่าขี้ตา" เผยเหิงพูดเสียงเรียบก่อนจะก้าวประชิดร่างระหงเอื้อมสร้อยคอประดับด้วยหยกสีม่วงหายากแกะสลักเป็นรูปปลา หยกชิ้นนี้หรือจะมีค่าเทียบเท่ากับอิงอิงของเขาเทียบไม่ได้เลย เขาอยากสั่งให้คนทำเครื่องประดับทองชุดใหญ่ให้นางเป็นของขวัญเสียด้วยซ้ำไปแต่เกรงว่านางจะไม่ยอมรับมัน เขาจำต้องยอมลดหักห้ามความเอาแต่ใจของตนลงแต่ถืงกระนั้นเธอยังบอกว่าแพงเกินไปอีกเหรอ บุตรสาวคนเดียวของเจ้าของเมืองทองอันดับสองของแคว้นกลับไม่ชอบเครื่องประดับหรูหรา นางปักเพียงปิ่นหยกขาวมันแพะหุ้มด้วยเศษทองชิ้นเล็กเท่านั้น
"ข้าว่ามันก็ยังแพงอยู่ดี" มือขาวผ่องลูบคลำจี้หยกกลางหน้าอก แม้นางจะไม่ได้ประโคมสวมเครื่องประดับเช่นคุณหนูบ้านอื่นไม้ แต่นางก็พอจะดูออกว่าหยกชิ้นนี้ต้องแพงมากๆ เพราะสีของมันแปลกตาเหลือเกิน คงหายากไม่น้อย มันล้ำค่าเกินไปสำหรับเธอ ถึงบิดาจะบอกว่าเม็ดเท่าขี้ตา แต่ขี้ตาที่ท่านว่าน่าจะขี้ตาช้างเพาะขนาดของมันใหญ่พอๆ กับนิ้วโป้งของเธอเลย
"ข้าก็ไม่รู้ว่าจะใส่เนื่องในโอกาสไหนได้ละเจ้าค่ะ" นางไม่เคยได้ไปที่ไหนไกลจากเมืองชิงหลง อาจมีได้เปิดหูเปิดตาบ้างตาตามบิดาขึ้นหุบเขาเพื่อไปดูการขุดทองที่เหมืองชิงหลง
"ใส่อยู่ในเรือน ใส่อยู่ในจวน ใส่ยามออกมาเดินเล่นในสวน ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลยว่าทำไม่ถึงไม่สนใจเครื่องประดับเช่นสตรีคนอื่นๆ ดูอย่างมารดาเจ้าสิ" ชายชราหันไปพยักพเยิดใส่ภรรยาของตน นางใส่เครื่องประดับสีทองออร่ามตาสมกับเป็นฮูหยินของเจ้าของเหมืองทอง "ข้าอุตส่าห์บากหน้าขอซื้อหยกชิ้นนี้มาให้เจ้า ชิ้นส่วนเพียงเล็กจากหยกแดงก้อนใหญ่แต่ถึงกระนั้นมันกลับมีราคามากกว่าหยกแดงก้อนนั้นเสียอีก" ชายชราตัดพ้อ ไม่ว่าเขาจะซื้ออะไรให้นาง เผยอิงก็ไม่เคยเอามาใส่เลย คราวนี้เขาตั้งใจเลือกชิ้นเล็กที่สุดแต่ล้ำค่ามากกว่าชิ้นไหน แต่นางก็ยังมองว่าเกินตัวอีกแล้ว