บทที่ 1 สตรีใจมาร
เมืองฉีเฟิงตั้งอยู่ทิศเหนือของเมืองหลวงแคว้นซีไห่ เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีผิงชินอ๋องปกครองเป็นเจ้าเมือง และมีหวู่เยว่ซินเป็นแม่ทัพคุ้มกันเมือง
ชาวบ้านล้วนอยู่อย่างสงบ เพราะแม่ทัพหวู่คอยกำจัดศัตรูที่คุกคามจนสิ้น เขาเก่งกาจ รอบคอบ ไม่เคยแพ้ในสนามรบใด ทว่า...
ถูกคนที่รับมาเลี้ยงวางยาสังหาร เพื่อแย่งอำนาจทางการทหาร เด็กสาวคนนั้นถูกท่านแม่ทัพเลี้ยงมาอย่างดี เขาฝึกวรยุทธ์ให้นางด้วยตัวเอง ใครจะคิดว่าเด็กที่มีพรสวรรค์ฝึกวิชาสำเร็จภายในหนึ่งปี จะอกตัญญูทำร้ายผู้มีพระคุณ
ว่ากันว่าแม้แต่ร่างไร้ลมหายใจของท่านแม่ทัพ ยังกลบฝังไร้ซึ่งพิธีทางศาสนา ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปีแล้ว ชาวบ้านก็ยังไม่ลืมเรื่องเล่าพวกนี้ ทุกครั้งที่พบว่านจิ่วซิ่นก็จะพากันซุบซิบนินทา “เจ้าดูนางสิกล้ามาเดินอวดโฉมที่ตลาดอีกแล้ว ไร้ยางอายเสียจริง”
“นั่นสิสังหารได้แม้กระทั่งผู้มีพระคุณ หลายปีมานี้มองไม่เห็นความเศร้าเสียใจในแววตาของนางเลย”
“เจ้าว่าเหตุใดท่านแม่ทัพในตอนนี้ไม่จัดการนางเล่า”
“ก็เพราะนางมีตราบัญชาการทหารครึ่งหนึ่ง ทหารยังต้องฟังคำสั่งนางนะสิ แม้ท่านแม่ทัพมีใจอยากกำจัดทิ้งก็ทำอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้”
“แบบนี้บุตรชายเพียงคนเดียวของท่านแม่ทัพก็ไม่มีสิทธิ์สั่งการใช่รึไม่”
“ท่านแม่ทัพคนใหม่มีตราบัญชาการอีกครึ่ง แต่ก็ไม่ต่างจากหุ่นเชิด ทหารแทบไม่ฟังคำสั่งเขานอกเสียจากนางพยักหน้า”
สาวน้อยนางหนึ่งสวมชุดบุรุษสีดำดูทะมัดทะแมงกระโจนใส่พวกปากไม่มีหูรูด “หลายปีมานี้รองแม่ทัพว่านก็กำจัดพวกซ่านหู่ให้พวกเจ้าอยู่ดีมีสุข ความดีความชอบมีมากมายพวกเจ้าไม่พูดถึง พูดแต่เรื่องที่ไม่มีมูลน่าจับไปรับโทษที่ค่ายทหารนัก” ชิงหลันชักกระบี่ออกมาอย่างเหลืออด รองแม่ทัพของนางเหน็ดเหนื่อยเพื่อปวงประชา รับมือกับศัตรูภายนอกยังต้องมารับมือกับปากหอยปากกาภายในฉีเฟิงอีก
หลายปีมานี้รองแม่ทัพของนาง ไม่เคยนอนหลับสบายเหมือนชาวบ้านพวกนี้ด้วยซ้ำ อยู่สุขสบายเพราะมีรองแม่ทัพปกป้องเมืองยังกล้ามาปากดีอีก มันน่าปล่อยพวกเหมียวเจียง และซ่านหู่มาจัดการนัก
ชิงหลันเป็นที่ปรึกษาในกองทัพ เนื่องจากนางตามบิดามากองทัพทุกวัน ทำให้ซึมซับกลการศึกจากบิดา เมื่อบิดาป่วยจนสิ้นใจชิงหลันจึงสืบต่อหน้าที่นี้
เมืองฉีเฟิงเปิดกว้าง สตรีและบุรุษถ้ามีความสามารถ อยากประกอบอาชีพใด ล้วนได้รับอิสระไม่แบ่งแยก
“หลันเอ๋อร์ไปกันเถิด” ว่านจิ่วซิ่นจับแขนบอบบางของชิงหลันลากเดินออกจากตรงนั้น ก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปกว่านี้
“ท่านทนได้แต่ข้าทนไม่ได้เจ้าค่ะ”
“เอาน่า อย่าเก็บมาใส่ใจเลย ได้ของครบแล้วกลับจวนกัน” วันนี้นางออกมาซื้อผ้าไหม ไปตัดเย็บชุดคลุมให้หวู่ไฉตงเพราะเริ่มเข้าฤดูหนาวแล้ว แม้เขาจะไม่ชอบหน้านาง และไม่เคยหยิบชุดคลุมที่นางเย็บให้มาใส่เลย แต่นางก็ยังตัดเย็บให้เขาทุกปี
ชิงหลันไม่เต็มใจนัก แต่ไม่คิดขัดคำสั่งรองผู้บังคับบัญชา แม้ว่ารองแม่ทัพจะเป็นสตรี แต่กลยุทธ์ทางการทหารโดดเด่น ไม่แพ้บุรุษอย่างท่านแม่ทัพแน่นอน
สามปีที่นางติดตามรองแม่ทัพ ก็เห็นอยู่ว่าทุกเรื่องท่านแม่ทัพไม่เคยแก้ปัญหาเองเลย โยนมาไว้บนบ่ารองแม่ทัพว่านเสมอ
สองสตรีกลับถึงจวนแม่ทัพ ก็มีทหารเข้ามารายงาน “รองแม่ทัพว่าน ท่านแม่ทัพเกิดเรื่องแล้วขอรับ”
ว่านจิ่วซิ่นฟังรายงานแล้ว เร่งรีบไปที่ค่ายเพื่อนำทหารไปช่วยหวู่ไฉตง นางมาถึงก็ตกใจจนแทบสิ้นสติ เพราะหวู่ไฉตงกำลังจะถูกกระบี่แทงที่จุดตาย หญิงสาวไม่รอช้ากระโจนเข้าไป ใช้ตัวบังกระบี่ให้หวู่ไฉตง กระบี่แทงลึกที่หัวไหล่ซ้าย นางทนกับความเจ็บ โอบพลิกคนเมาพาออกไปจากที่อันตรายแห่งนี้ แขนของนางอ่อนแรงแทบขยับไม่ไหว คนร้ายก็ตามมาติด ๆ หากเป็นแบบนี้ต่อไปคงต้านไว้ไม่ไหวแน่
ว่านจิ่วซิ่นตัดสินใจกอดร่างกำยำของหวู่ไฉตงแล้วทิ้งตัวลงพื้นกลิ้งลงทางลาดชัน ละแวกนี้เป็นป่าเขาจุดที่นางทิ้งตัวเป็นป่าทึบบดบังได้เป็นอย่างดี
ทั้งสองกลิ้งหลายตลบกว่าจะถึงพื้นเรียบ แผลของว่านจิ่วซิ่นเจ็บหนักแถมฉีกขาดกว่าเดิม ทั่วทั้งร่างของนางเต็มไปด้วยแผลถลอก แขนซ้ายไร้แรงขยับ ความเจ็บปวดแทรกซึมทุกอณูจนแทบรักษาสติไว้ไม่ได้
เสียงสวบสาบที่อยู่ไม่ไกล ทำให้ว่านจิ่วซิ่นหวาดหวั่น กลัวว่าคนร้ายที่ดักซุ่มโจมตีหวู่ไฉตงจะตามมาทัน และที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าคือนางไม่มีแรงจะลุกขึ้นสู้ “ไฉตง เจ้าบาดเจ็บรึไม่”
หวู่ไฉตงหมดสติไปแล้ว ว่านจิ่วซิ่นอยากจะลุกขึ้นมาดูอาการเขาก็ลุกไม่ไหว เขาอาจแค่เมา...เมาจนหลับไปนางปลอบใจตนเองเช่นนั้น หญิงสาวกัดฟันทนเจ็บได้อีกเล็กน้อยก็หมดสติไป เพราะสูญเสียโลหิตไปจำนวนมาก
กวางหมิงนำกำลังทหารตามมาสมทบกับเหล่าทหารที่ว่านจิ่วซิ่นนำมา ไม่นานเขาก็จับกุมพวกที่ลอบสังหารหวู่ไฉตงได้ คนพวกนั้นเป็นทหารเดนตายพอถูกจับได้ก็กัดพิษฆ่าตัวตาย
กวางหมิงงัดพิษในปากคนร้ายได้หนึ่งคน เขาจึงสั่งให้นำตัวคนรอดชีวิตไปขังไว้ที่ค่ายอี๋หลิงรอสอบสวน จากนั้นก็นำกำลังจำนวนหนึ่งค้นหาหวู่ไฉตงและว่านจิ่วซิ่น
“รองแม่ทัพกวางเจอท่านแม่ทัพแล้วขอรับ” ทหารนายหนึ่งวิ่งมารายงานกวางหมิงอย่างหอบเหนื่อย
กวางหมิงยิ้มดีใจเขาหาจนเริ่มท้อแล้ว เวลาสามชั่วยามที่ค้นหาไม่ใช่น้อย ๆ ยิ่งใช้เวลานานเขาก็ยิ่งหวาดกลัว…กลัวว่าศัตรูจะพบคนทั้งสองก่อน
ตอนได้ฟังทหารรายงานว่าหวู่ไฉตงเมา ว่านจิ่วซิ่นได้รับบาดเจ็บ กวางหมิงถึงกับหัวใจวูบโหวง เขากลัวว่าทั้งสองคนจะรับมือกับอันตรายไม่ได้ เมื่อได้ยินว่าพบคนแล้วความหนักอึ้งในใจก็เบาลง “ปลอดภัยรึไม่”
“ปลอดภัยขอรับ เพียงแต่ไม่พบรองแม่ทัพว่าน”
“เจ้าหาดีแล้วรึ พวกเขาตกมาพร้อมกันจะต้องอยู่ไม่ไกลแถวนี้รีบหาตัวรองแม่ทัพว่านให้พบ” กวางหมิงสั่งการ
“ขอรับรองแม่ทัพกวาง”
กวางหมิงวิ่งมาตามคำบอกกล่าวของทหาร เมื่อเห็นหวู่ไฉตงนอนอยู่โคนต้นไม้ ก็ถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะเดินเข้าไปตบเบา ๆ ที่ใบหน้าของสหายรุ่นน้อง “ไฉตงตื่นได้แล้ว ก่อเรื่องเก่งเสียจริง ข้านี่อยากฟาดไม้เรียวที่หลังเจ้าแทนท่านอาเยว่ซินนัก รีบตื่น”
“อะไรของเจ้าปลุกแต่เช้า” หวู่ไฉตงโวยวายที่ถูกรบกวนการนอน
“ดูสถานที่ที่เจ้านอนอยู่ด้วย เสือไม่คาบไปกินก็บุญแล้ว” กวางหมิงส่ายหน้าไปมาอย่างจนใจ เด็กคนนี้ไม่รู้จักโตสักที
หวู่ไฉตงลืมตาขึ้นมาแล้วหรี่ตาลงเพราะปรับตัวกับแสงไม่ทัน “ที่นี่ที่ไหน” ศีรษะของเขาหนักอึ้งเหมือนมีก้อนหินทับอยู่ ทั่วทั้งร่างปวดระบมไปหมด ความจำเลือนรางคล้ายถูกมารดาปกป้องไว้ในอ้อมกอด ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกสงบมาก หากแต่มารดาของเขาป่วยสิ้นใจไปนานแล้ว ใครกันมอบอ้อมกอดอบอุ่นนี้ให้เขา
“ซิ่นเอ๋อร์ตกลงมาพร้อมเจ้าเห็นนางรึไม่”
