ตอนที่ 10 มรสุมชีวิต
ตอนที่ 10
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ก็ผ่านมาได้เกือบครึ่งเดือนแล้ว แผลบนหลังของสตรีทั้งสองนางก็ค่อย ๆ หายดี กระนั้นก็ยังไร้วี่แววของจวนสกุลหาน ว่าจะส่งผู้ใหญ่มาจัดการเรื่องยุ่งยากนี้ให้จบลงแต่โดยดี
ใต้เท้าจ้าวเองก็มิกล้าไปเร่งรัดมาก เพราะคนของตนเป็นฝ่ายผิด ยังดีที่เรื่องน่าอับอายนี้ยังไม่แพร่งพรายออกไป
ซึ่งใต้เท้าจ้าวเข้าใจผิดไปแล้ว เพราะทันทีที่แผลหายดี ฮูหยินฮุ่ยเยว่ได้สั่งให้ซีฮันออกไปจับจ่ายซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารด้วยตัวเอง โดยอ้างว่าสาวใช้คนเดิมที่ทำหน้าที่นี้ไว้ใจไม่ได้ มีการยักยอกเอาเงินค่าอาหารเก็บไว้เป็นของตนเอง
“สุ่ยเซียน เจ้าดูผักนี้สิ นำไปผัดกับน้ำมันน่าจะอร่อย”
ซีฮันหยิบเลือกผักจากแผงลอยของหญิงวัยกลางคน หลังจากซื้อพวกเนื้อสัตว์ครบแล้ว ด้านหลังมีสุ่ยเซียนที่เดินหิ้วตะกร้าอันเต็มไปด้วยข้าวของที่ซื้อมาใส่จนเกือบจะเต็มแล้ว
“เจ้าคะ ถ้าใส่เนื้อเข้าไปด้วยยิ่งอร่อย”
สาวใช้ยิ้มรับคำพูดของผู้เป็นนาย แต่สายตาของนางมองกราดไปรอบ ๆ ตัว ที่บรรดาผู้คนจับกลุ่มสุมหัวซุบซิบกัน ต่างพากันมองมาทางคุณหนูของนางเป็นตาเดียว
“ผักนี้ราคาเท่าไรเจ้าคะท่านป้า”
หญิงวัยกลางคนแจ้งราคา ก่อนจะหยิบผักยื่นให้หญิงสาวที่อยู่ในหัวข้อของข่าวซุบซิบในวันนี้
...ท่าทางเป็นคุณหนูผู้เรียบร้อย ไม่นึกว่าจะทำตัวร้ายกาจแบบนั้น...
...ใช่ นางช่างกล้านะ กล้าวางยาปลุกกำหนัด...
...นี้อย่างไรเล่า ที่เขาว่าอย่าดูคนที่ภายนอก เห็นนุ่มนิ่มแบบนี้ แต่นิสัยเป็นนางร้ายดี ๆ นี้เอง...
ซีฮันมัวแต่สนใจเลือกซื้อวัตถุดิบในการทำอาหาร จึงไม่ได้ยินเสียงพูดคุยของสตรีกลุ่มใหญ่ แต่สุ่ยเซียนนางได้ยินชัดเต็มสองหู จึงบอกให้คุณหนูรีบกลับไปรอที่รถม้าก่อน ส่วนตัวนางนั้นรีบตรงเข้าหาสตรีกลุ่มนั้นทันที
“พวกเจ้าว่าใครกัน”
“ว่าคุณหนูเล็กจ้าวอย่างไรเล่า จริงหรือไม่ ที่นายของเจ้าลอบวางยา เพื่อจับท่านแม่ทัพมาเป็นสามี” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นตามตรง ไม่ได้กลัวท่าทางเอาเรื่องของสาวใช้สกุลจ้าวแม้แต่น้อย
“ไปเอาข่าวบ้า ๆ นี้มาจากไหน” สุ่ยเซียนถามเสียงเข้ม
“ก็เขาลือกันไปทั่ว ปานนี้ข่าวลือนี้คงแพร่ไปทั่วเมืองแล้วกระมัง...เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยว่าจริงหรือเปล่า”
สุ่ยเซียนเมื่อรู้คำตอบของสายตาหลายคู่ ที่พากันจับจ้องมาทางพวกนางตลอดเส้นทางที่เดินผ่าน สะบัดหน้าเดินหนีออกจากกลุ่มพวกชาวบ้าน ที่วัน ๆ ไม่ทำอะไรเอาแต่ซุบซิบนินทาเรื่องของชาวบ้าน คนประเภทนี้แก้ต่างไปก็ไม่มีวันยอมเชื่อนางหรอก สู้ตอนนี้รีบพาคุณหนูกลับจวนจ้าวโดยเร็วดีกว่า นางไม่อยากเห็นคุณหนูต้องมาไม่สบายใจอีก
แต่แม้จะปิดบังแค่ไหน คุณหนูของสุ่ยเซียนก็รู้ความจริงจนได้ เมื่อใต้เท้าจ้าวกลับบ้านมาด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น เพราะรู้เรื่องข่าวเสียหายที่แพร่ออกไปเป็นวงกว้างแล้ว จนเขาแทบจะเอาตะกร้าคลุมหัวกลับเข้าบ้าน
ดังนั้นพอมาถึง เขาก็เรียกบุตรีคนเล็ก ไปว่ากล่าวระบายอารมณ์ เพียงแต่ไม่สั่งทำโทษอีกก็เท่านั้น เพราะใต้เท้าจ้าวคิดว่าบุตรีได้รับผลของการกระทำมากเพียงพอแล้ว
“เอาล่ะ ด่าเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าคงต้องบากหน้าไปจวนหาน เพื่อขอร้องให้แม่ทัพห่าวซวนกู้ศักดิ์ศรีให้สกุลของเราบ้าง”
หลังจากดุด่าบุตรสาวตัวดีจบ ใต้เท้าจ้าวตัดสินใจออกจากจวนไปอีกรอบ ทั้ง ๆ ที่พึ่งกลับเข้ามา สร้างความผิดหวังให้กับสองแม่ลูก ที่เป็นผู้ปล่อยข่าวลือ เพื่อให้ใต้เท้าจ้าวโกรธและขับซีฮัน ออกจากวงศ์ตระกูล แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นดังใจหวังอีกจนได้
พายุโหมกระหน่ำเท่านี้ยังไม่เพียงพอ เช้าวันรุ่งขึ้นเรือนปีกตะวันออกก็เข้าสู่สภาวะตึงเครียดอีกครั้ง เมื่อบุตรีของเสนาบดีฝ่ายขวาอู๋กุ้ยฟาง เหยียบย่างมาที่เรือนด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ
“ซีฮัน สหายทรยศ เหตุใดเจ้าถึงทำกับข้าได้ลงคอ ทั้ง ๆ ที่ข้าอุตส่าห์ลดตัวลงมาเป็นสหายกับคนอย่างเจ้า”
ท่าทีและน้ำเสียงที่เคยเป็นมิตรหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงแต่ความอาฆาตแค้น ที่ถูกสตรีที่แสดงออกมาตลอดเวลาว่าเป็นคนเรียบร้อยอ่อนหวานแย่งคนที่นางรักไป
“กุ้ยฟาง ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
สตรีเจ้าของเรือน อยู่ในภาวะน้ำท่วมปาก มิอาจบอกความจริงได้ว่า เรื่องทั้งหมดเริ่มจากพี่สาวของตน เพราะนางตั้งใจที่จะยอมรับความผิดนั้นเอาไว้คนเดียว
“ไม่ได้ตั้งใจหรือ”
...เพียะ...
ฝ่ามือเรียวงามของกุ้ยฟางฝากร่องรอยไว้บนแก้มขาวนวลของสตรีที่นางเคยคิดว่าเป็นสหายอย่างไร้เยื่อใย หากสาวใช้ของอีกฝ่ายไม่รีบเอาตัวเข้ามาขวาง นางได้ฝากรอยมือไว้บนแก้มอีกข้างแน่
“ทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ” สุ่ยเซียนกล่าวอย่างเหลืออด ที่มากระทำกับผู้เป็นนายแบบนี้
“สุ่ยเซียน เจ้าอย่ามายุ่ง...กุ้ยฟาง เจ้าอยากจะตีอยากจะทำร้ายข้า ลงมือได้เลย ขอเพียงเจ้ายอมให้อภัยแล้วเรากลับมาเป็นสหายที่รักกันมากเหมือนเดิม”
ซีฮันพยายามดันตัวสาวใช้ออก เพื่อเข้าไปให้สหายลงมือทำโทษนางให้สาสมใจ แต่ว่าสุ่ยเซียนก็ไม่ยอมให้นางได้ทำตามใจ กลับยิ่งเอาตัวขัดขวางนางหนักกว่าเดิมอีก
“เหมือนเดิมหรือ ทุกอย่างไม่มีทางเหมือนเดิมหรอก ข้าไม่มีวันเป็นสหายกับคนที่แย่งบุรุษอันเป็นที่รักไปแน่”
สตรีเจ้าของเรือนส่ายหน้า หยดน้ำตาเม็ดโตหลั่งไหลออกมา หากนางรู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางจะไม่มีวันทำให้เกิดเรื่องผิดพลาดเช่นนี้แน่
“ไม่กุ้ยฟาง อย่าตัดรอนข้าแบบนี้ จะให้ข้ากราบเท้าเจ้าก็ได้”
“ไม่นะคุณหนู ใครเขาไม่อยากคบก็ปล่อยเขาไป” สุ่ยเซียนกอดร่างบอบบางเอาไว้ ไม่ยอมให้คุณหนูยอมลดศักดิ์ศรีคุกเข่าขอโทษใครหรอก
“ต่อให้เจ้าตายตรงหน้าข้า ข้าก็ไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด แต่ข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องบอกให้เจ้าจำใส่กะโหลกเอาไว้ ว่าถึงแม้เจ้าจะใช้วิธีสกปรกจนได้เข้าจวนหาน แต่เจ้าไม่มีวันได้ใจของท่านแม่ทัพ เพราะเมื่อสามวันก่อน เขาไปที่จวนของข้าพร้อมมารดา เพื่อสู่ขอข้าเข้าไปเป็นฮูหยินรอง...แต่บอกไว้ก่อน ถึงข้าจะได้ชื่อว่าเป็นฮูหยินรอง แต่ท่านแม่ทัพเอ่ยปากด้วยตนเองเลยว่า ข้าจะได้เป็นใหญ่ที่สุดในจวน...เจ้าเองเตรียมใจไว้ให้ดีเถอะ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าได้อยู่อย่างสุขสบายแน่”
หลังจากร่ายยาวจนจบ สตรีงามล่มเมืองสะบัดหน้า เดินกระแทกเท้าออกจากเรือนปีกตะวันออกไปแบบไม่หันหลังมามอง
ผิดกลับอีกนาง ที่ทั้งตะโกนเรียกชื่อ ทั้งดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการ หวังเพียงให้ความสัมพันธ์อันดีที่เคยมีต่อกัน กลับมาเป็นดังเดิม
“กุ้ยฟาง อย่าพึ่งไป กลับมาหาข้าก่อน...สุ่ยเซียนปล่อยข้าสิ”
“คุณหนู ตั้งสติหน่อยเจ้าคะ คุณหนูกุ้ยฟางบอกแล้ว ว่าไม่มีวันให้อภัยคุณหนูเด็ดขาด อย่าพยายามทำให้ตนเองเจ็บปวดมากไปกว่านี้เลยนะเจ้าคะ”
ซีฮันหยุดดิ้นรนทรุดกายลงนั่งกับพื้น โดยมีสาวใช้โอบกอดเอาไว้
“ฮือ ๆ สุ่ยเซียนข้าไม่เหลือใครแล้ว ท่านพ่อก็ผิดหวังในตัวข้า ท่านแม่ทัพกับกุ้ยฟางก็เกลียดชังข้า ฮือ ๆ”
“คุณหนูยังมีบ่าวอีกทั้งคนนะเจ้าคะ นายท่านก็แค่ผิดหวัง แต่ความรักที่ท่านมีต่อคุณหนูยังคงเหมือนเดิม ส่วนท่านแม่ทัพกับคุณหนูกุ้ยฟาง หากเขาอยากเกลียดชังก็ปล่อยไปเถิด เว้นเสียแต่ว่าคุณหนูของบ่าวคงไม่ได้แอบชอบพอท่านแม่ทัพหรอกนะเจ้าคะ”
“...”
“โธ่ คุณหนู”
อาการเงียบของคุณหนูแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี หากคุณหนูมีใจให้ท่านแม่ทัพเช่นนี้ ภายภาคหน้าจะต้องพบกับความชอกช้ำมากเพียงใดหนอ
“ข้าก็พยายามห้ามใจแล้วนะสุ่ยเซียน”
ซีฮันร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของสาวใช้ ปลดเปลื้องความทุกข์ที่เกิดขึ้นออกมาเป็นหยดน้ำตา...