บท
ตั้งค่า

บทที่ 6

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ฝ่าบาทและไทเฮาทรงมีรับสั่งให้คณะหมอหลวงติดตามขบวนเสด็จอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังจัดคนมาคอยช่วยดูแลบุตรสาวของท่านโหวเป็นอย่างดี”

“เฮ้อ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่สบายใจอยู่ดี”

คนที่รักลูกห่วงลูกจนออกนอกหน้า ได้แต่ถอนหายใจออกมาหลายต่อหลายครั้ง ทำเอาหัวหน้าหมอหลวงได้แต่ส่ายศีรษะ ก่อนจะจัดการเขียนเทียบยา เพื่อรักษาอาการคนวิตกกังวลเพิ่มไปอีกหลายขนาน

นี่หากเป็นขุนนางคนอื่นคงได้แต่ยิ้มหน้าบาน คุยโวไปสามบ้านเจ็ดบ้าน แต่หลิวโหวผู้นี้กลับมีสีหน้าเหมือนได้รับคำสั่งเนรเทศให้ไปอยู่ชายแดนอย่างไรอย่างนั้น...

ทางด้านหลิวฟ่านซี หลังจากให้หัวหน้าหมอหลวงตรวจชีพจรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในเวลานี้กำลังนั่งกินขนมไปพลาง ฟังน้องชายบรรยายเรื่องงานเทศกาลล่าสัตว์ของราชวงศ์ไปพลาง พร้อมด้วยเฉินห่าว เว่ยซู และอู๋ทง ที่ลอบออกมาจากจวนตระกูลหานในยามค่ำคืน ส่วนซิ่วชิงนั้นถูกไล่ให้ไปนอนพักผ่อนตั้งแต่หัววัน

“หากท่านพี่คิดจะไปร่วมงานล่าสัตว์ในครั้งนี้ ก็จะต้องปฏิบัติตัวตามคำสั่งของข้าอย่างเคร่งครัด” หลิวต้าผิงทำเสียงเข้ม หน้าตาดูจริงจังผิดจากทุกครั้ง

“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว งานนี้มีทั้งไทเฮา ฮ่องเต้ และฮองเฮา รวมถึงสนม ชายาทั้งหลายไปร่วมงานด้วย ต่อให้มดตัวเดียวยังไม่อาจรอดพ้นสายตาของพวกหน่วยอารักขาไปได้ อีกทั้งอย่าลืมสิว่ามีข้าอยู่ด้วยทั้งคน!!” เฉินห่าวพูดพลาง สวาปามขนมอบที่ยัดไส้หมูแดงเข้าปากด้วยความเอร็ดอร่อย

หลิวต้าผิงไม่ได้สนใจคำพูดของเฉินห่าว เขาหันหน้าไปกล่าวกับหญิงสาวด้วยท่าทางจริงจัง “ภายในงานล่าสัตว์ ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมด้วย ภายในป่ามีแต่อันตรายรอบด้าน ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าได้คิดจะเข้าไปโดยเด็ดขาด”

“อ้าว...แล้วเรื่องที่เจ้าบอกให้ข้าเรียนยิงธนูกับท่านแม่ทัพ ก็เสียเปล่าน่ะสิ” หลิวฟ่านซีนึกแปลกใจที่ได้ยินน้องชายเอ่ยปากห้ามปรามในเรื่องนี้ ได้แต่คิดว่าเขาคงจะเป็นห่วง กลัวว่านางจะได้รับอันตราย เลยอดรู้สึกตื้นตันใจไม่ได้

“ข้าให้ท่านเรียนยิงธนูกับท่านแม่ทัพ เพื่อจะได้หาทางใกล้ชิดกับเขา ไม่ใช่เรียนเพื่อเอาไปใช้ล่าสัตว์จริง ๆ สักหน่อย หากเป็นไปได้ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงฝีมือให้ใครเห็น อย่างไรเสียทุกคนต่างรู้กันดีว่าท่านพี่มีร่างกายอ่อนแอ ฮ่องเต้เองก็แค่มีรับสั่งให้ไปร่วมงาน แต่ไม่ได้บอกให้ติดตามเข้าป่าไปล่าสัตว์ด้วยไม่ใช่หรือ”

ครั้นพอได้ยินว่าน้องชายสั่งห้ามไม่ให้เข้าป่า ไปขี่ม้าเล่นชื่นชมทัศนียภาพอันสวยงาม ก็รู้สึกผิดหวังอยู่ไม่ใช่น้อย ส่วนเรื่องการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้น หลิวฟ่านซีไม่คิดจะสนใจอยู่แล้ว

เฉินห่าวได้แต่ลอบด่าเด็กน้อยในใจว่า ‘ย้อนแย้ง’ แต่ที่ไม่ได้พูดออกมา เพราะกำลังเคี้ยวของว่างที่ไทเฮาและฮองเฮาส่งมาให้อยู่เต็มปาก

“แต่มาคิดดูก็แปลกนะ ปกติแล้วไทเฮากับฮองเฮาควรจะประทับอยู่แต่ในวังไม่ใช่หรือ ?” เว่ยซูเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย ราชวงศ์นี้ไม่กลัวมีการแก่งแย่งช่วงชิงบัลลังก์ หรือมีผู้ไม่หวังดีใช้โอกาสที่ไม่มีคนอยู่ยึดอำนาจหรืออย่างไร

“โอ๊ย...จะต้องกลัวไปทำไม พวกคนใหญ่คนโตที่พอจะมีอำนาจในกำมือ ก็ถูกสั่งให้ไปร่วมงานด้วยกันหมด แล้วจะเหลือผู้ใดให้ทำเช่นนั้นได้เล่า” เฉินห่าวรีบตอบออกมา คนฟังจึงได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยในเรื่องนี้

“ราชวงศ์นี้มั่นคงและเข้มแข็ง ไม่ใช่เพียงเพราะกำแพงวังหรือทหารผู้กล้า แต่เพราะความจงภักดีที่มีต่อฮ่องเต้ต้าเฉวียน ความเชื่อมั่นนี้ไม่สามารถสั่นคลอนได้ง่าย ๆ แม้จะไม่มีไทเฮาหรือฮองเฮารักษาการณ์อยู่ในวังก็ตาม” หลิวต้าผิงช่วยอธิบายเสียใหม่ แต่กลับถูกเฉินห่าวพูดย้อนขึ้นมาทันควัน

“ก็ไอ้พวกคนที่ไม่จงรักภักดี มันถูกกำจัดทิ้งไปหมดแล้วไง!” คำพูดของเฉินห่าว ทำให้คนฟังพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง

“ข้าได้ยินมาว่า ภายในงานจะมีสนามล่าสัตว์จำลอง จัดเอาไว้ให้กับบรรดาบุตรสาวตระกูลขุนนางที่นึกสนุกอยากล่าสัตว์ อย่างพวกกระต่ายหรือพวกลูกกวางเข้าร่วมด้วย แต่ถ้าเกิดมีใครอยากเข้าป่าล่าสัตว์ของจริง ก็สามารถติดตามขบวนของฮ่องเต้และเหล่าขุนนางไปด้วยได้ ดังนั้นเรื่องความปลอดภัยคิดว่าไม่น่ามีอะไรต้องเป็นกังวล” เว่ยซูอธิบายถึงสิ่งที่ตนได้ยินมาจากจวนแม่ทัพให้ทุกคนฟัง

“ใช่แล้ว ในเมื่อท่านแม่ทัพของพวกเรารับหน้าที่ดูแลความปลอดภัย ก่อนถึงวันจริงมีคำสั่งให้ทหารไปตรวจดูความเรียบร้อย ส่วนพวกองครักษ์เกราะทองก็มีการจัดวางตำแหน่งอย่างเคร่งครัด ไหนจะมีพวกข้าทั้งสองติดตามไปด้วยอีกต่างหาก” อู๋ทงช่วยพูดเสริม

“แล้วถ้าเกิดองค์หญิงฉือหนิงใช้โอกาสนี้ หาทางตีสนิทกับท่านแม่ทัพระหว่างการล่าสัตว์ในป่าล่ะ จะทำเช่นไร” เว่ยซูนึกเป็นห่วง กลัวหลิวฟ่านซีจะถูกองค์หญิงต่างแคว้นชิงทำคะแนนตัดหน้า

“หากนางคิดจะทำเช่นนั้นก็ปล่อยนางไปเถิด” หลิวฟ่านซีรีบกลืนขนมเข้าปากอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะพูดสวนกลับทันควัน

“งานนี้เชื่อเลยว่านางจะต้องใช้โอกาสระหว่างที่เจ้ากับข้ามัวแต่กินขนมอร่อย ๆ อยู่กับไทเฮาและฮองเฮาไม่ยอมเข้าป่า หาทางยั่วยวนแม่ทัพหานอย่างถึงเนื้อถึงตัวอย่างแน่นอน” เฉินห่าวเองก็คิดเช่นเดียวกัน

“เหอะ ๆ ในป่ามีแต่ต้นไม้ใบหญ้า แถมยังไปพร้อมกับคนหมู่มาก นางจะทำเช่นนั้นได้ง่าย ๆ เสียเมื่อไหร่” หลิวฟ่านซีฟังที่เฉินห่าวพูดก็ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น

ไม่ใช่ว่าตนไม่เคยเดินป่ามาก่อน ช่วงตอนฝึกภาคสนามก็แทบจะใช้ชีวิตกินนอนอยู่แต่ในป่า นอกจากต้องหาทางเอาตัวรอดจากพวกสัตว์ร้ายแล้ว ยังมีพวกยุง ทาก มด และบรรดาแมลงน่ารำคาญอีกนับร้อยนับพันชนิด ไม่มีหรอกช่วงเวลาที่จะไปชมนกชมไม้ สานสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น

“เจ้านี่มันช่างไม่รู้อะไร นางอาจจะใช้แผนสาวงามตกน้ำก็เป็นได้!” เฉินห่าวส่งเสียงเยาะออกมา อู๋ทงและเว่ยซูได้แต่ผงกศีรษะเห็นด้วย

“นั่นสิ...ลูกพี่หลิวอาจไม่กล้าใช้แผนการนี้ แต่ใช่ว่าคนอื่นจะไม่กล้าใช้หรอกนะ ทางที่ดีควรติดตามฮ่องเต้กับท่านแม่ทัพเข้าป่าไปแสดงฝีมือการยิงธนู เพื่อสร้างความประทับใจจะดีกว่า” อู๋ทงกล่าวด้วยท่าทางเป็นห่วง ในใจเชื่อว่าคนกล้าได้กล้าเสียอย่างองค์หญิงผู้นั้น อาจวางแผนการอะไรเอาไว้เป็นแน่

“ต่อให้นางกล้าใช้แผนการสาวงามตกน้ำจริง แล้วมันเรื่องอะไรที่ท่านแม่ทัพจะต้องเป็นคนลงไปงมนางขึ้นมาด้วยตัวเองกันเล่า! ผู้ติดตามก็มีตั้งเยอะแยะ ท่านแม่ทัพมีหน้าที่คอยอารักขาฮ่องเต้ ไม่มาเปลืองตัวกระโดดน้ำลงไปช่วยหรอก” หลิวฟ่านซีรีบโต้แย้งกลับไป

หลิวต้าผิงได้แต่ถอนหายใจออกมา “ใช่แล้ว ท่านพี่ควรนั่งรออยู่เฉย ๆ แค่ท่านสามารถไปร่วมงานได้ก็ไม่มีใครกล้าตำหนิแล้ว”

เฉินห่าวได้ยินก็รีบพูดสวนทันควัน “ตกลงเจ้าจะเชื่อฟังไอ้เด็กนี่ ไม่ยอมเข้าป่าไปล่าสัตว์เพื่อไปกันท่าองค์หญิงฉือหนิงงั้นหรือ ?!”

“ย่อมต้องเชื่อข้า ไม่ว่าอย่างไรงานนี้ท่านพี่จะต้องอยู่ให้ห่างจากฮ่องเต้ ข้าถึงจะวางใจ!” สีหน้าของเด็กชายดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหมดต่างจ้องไปยังเขาเป็นสายตาเดียวกัน

“เพราะอะไร ? อย่าบอกนะว่าเจ้ากลัวฮ่องเต้ถูกใจใบหน้านางมารน้อยนี่ แล้วรับนางไปเป็นสนม!” เฉินห่าวทำตาลุกวาว ในสมองกำลังชั่งใจระหว่างของอร่อยที่จวนตระกูลหาน กับของอร่อยในวังหลวงชั่วครู่ ในใจได้แต่นึกว่าถ้าได้แต่งเข้าวังหลวงก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่

ทว่ายังไม่ทันที่เฉินห่าวจะได้คิดฝันไปไกล หลิวต้าผิงก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น

“ไม่ใช่”

“งั้นอะไรเล่า!” เว่ยซูและอู๋ทงรีบถามพร้อมกัน ยามเห็นสีหน้าดูเป็นกังวลของเด็กน้อยตรงหน้า

“หรือจะมีมือสังหารลอบปลงพระชนม์!?” คนหัวไวในเรื่องอะไรแบบนี้อย่างหลิวฟ่านซีรีบโพล่งขึ้นมาด้วยท่าทางตกใจ

หลิวต้าผิงได้ยินก็ชะงักงันไปชั่วขณะ รีบพูดปฏิเสธออกมาด้วยใบหน้าไม่เปลี่ยนอารมณ์ “ข้าแค่กลัวว่าสตรีที่อ่อนแออย่างท่านพี่จะเป็นอันตราย”

แต่มีหรือที่อดีตเหล่าคนในวงการตำรวจ ที่ทั้งชีวิตมีหน้าที่คอยจ้องจับผิดคนร้าย จะไม่เห็นพิรุธจากสายตาของอีกฝ่าย ถึงแม้เขาจะทำหน้าตาย แต่ทั้งสามกลับรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในแววตา

“เฮ้ย...เจ้าเด็กนี่ต้องโกหกแน่ ๆ จับตัวเอาไว้!” เฉินห่าวออกคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองก็เคลื่อนไหวพร้อมกันอย่างรู้งาน

“ได้เลย!” เว่ยซูและอู๋ทงโถมตัวเข้าใส่ แล้วใช้ร่างปุกปุยนอนทับหลิวต้าผิงเอาไว้ในทันที

“โอ๊ย ปล่อยข้านะ!” หลิวต้าผิงที่ถูกตะครุบตัวไว้ส่งเสียงร้องออกมา

“นี่เบา ๆ หน่อยสิ! เดี๋ยวเขาก็ได้รับบาดเจ็บกันพอดี!”

หลิวฟ่านซีรีบโผเข้าไปขยุ้มคอสุนัขสีน้ำตาลและสีเทาให้ออกห่างจากตัวน้องชาย ร่างของทั้งสองใช่ว่าจะมีน้ำหนักน้อย ๆ เสียเมื่อไหร่ เกิดซื่อจื่อผู้เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลหลิวกระดูกกระเดี้ยวหักไป คงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ

หลิวต้าผิงพอลุกขึ้นมาได้ก็ปัดเสื้อผ้าไปมาด้วยหน้าตาบูดบึ้ง ดูอย่างไรก็น่ารักน่าชังมากกว่าที่จะดูดุดันหรือน่ากลัว

“นี่ถ้ามีเครื่องจับเท็จก็คงจะดี!” อู๋ทงพูดออกมาด้วยท่าทางเสียดายที่ในยุคสมัยนี้ไม่มีอุปกรณ์ทันสมัยอย่างในยุคปัจจุบัน

“มีสิ! ก็นางยังไงล่ะ” เฉินห่าวสะบัดหน้าไปทางหลิวฟ่านซีในทันที ทำเอาทั้งหมดหันไปหาหญิงสาวที่กำลังชี้มือมาที่ตัวเองด้วยความประหลาดใจ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel