บท
ตั้งค่า

ตอน 5

นั่งแท็กซี่ไปถึงหมอชิต ด้วยความกระวนกระวาย กลัวพวกมันตามมา เฟืองจัดแจงไปต่อคิวซื้อตั๋วโดยสาร สองแม่ลูกกระดากอาย ไม่เคยทำแบบนี้ เฟืองจึงขันอาสาไปซื้อตั๋วอุดรธานีสองใบเที่ยวตีห้าครึ่ง ส่วนเฟืองซื้อตั๋วไปลำพูนกลับบ้านตนเอง

“คุณผู้หญิงแยกกันตรงนี้นะคะ รักษาตัวด้วยค่ะ” เฟืองร่ำลาอาวรณ์นายจ้าง สั่งเสียกันอีกสองสามนาที จึงค่อยแยกจากด้วยความอาลัยรัก

“เราสองคนแม่ลูก ถ้าไม่ได้เฟืองคงแย่” ระหว่างเดินข้ามสะพาน ไปขึ้นรถสายตะวันออกเฉียงหนือ พิมพ์วิไลยังพร่ำสำนึกบุญคุณคนรับใช้ไม่ขาดปาก ตนเป็นถึงคุณผู้หญิง มีบริวารตั้งมาก ได้มาถึงจุดอับมีเงินในกระเป๋าไม่กี่พันบาท แถมหยิบยืมมาเสียอีก

นั่งรถทัวร์ชั้นประหยัด ไม่ได้สบายเท่ากับนั่งเครื่องบินชั้น

เฟิร์สคลาส ต่อให้เพลียง่วงแค่ไหน พอจะหลับไม่อาจข่มตาลงได้ เสียงจอแจ กลิ่นตัวผู้โดยสารคนอื่น ลูกเด็กเล็กแดงร้องกระจองอแง ทำให้ภูดนัยพลิกตัวกระสับกระส่ายตลอดเวลา ขายาวเหยียดไปทางไหนก็ไม่ได้ ที่นี้ยกขึ้นพาดเบาะหน้า บรรเทาอาการเมื่อยขบ

“นี่ !! ไอ้หนุ่มมีมารยาทมั่งสิ ยกเท้าพาดเบาะคนอื่นได้ยังไง ไม่พาดหัวพี่เลยล่ะ” หนุ่มคนนั่งเบาะหน้าโวยลั่นรถ

“พาดได้หรือครับ” ภูดนัยถามกวนๆ

“เอ๊ะ...กวนตีนนี่หว่า” หนุ่มหน้าตาอาวุโสกว่า นั่งมากับภรรยาลุกพรวดขึ้น เจอวัยรุ่นกวนเข้าให้แบบนี้ต้องสั่งสอน

พนักงานบริการบนรถทัวร์ปรี่มาจากด้านหลัง “พี่ทั้งสองอย่ามีเรื่องกันเลยค่ะ” สาวในชุดยูนิฟอร์มสีฟ้าสวมหมวกฟ้าเข้าชุด กางสองแขนห้ามการทะเลาะวิวาท

“ก็ไอ้หนุ่มนี่ มันยกตีนพาดเบาะผม” หนุ่มคู่กรณีชี้หน้า ต่อว่าหนุ่มกรุงเสียหน้าตาดีแต่มารยาทราม

“ขอร้องนะคะอย่ามีเรื่องกัน เอาเป็นมาเป็นไปยังไงคะ ช่วยเล่าให้ดิฉันฟังหน่อย”

ไต่สวนกันได้ความภูดนัยเป็นฝ่ายผิด ฝ่ายคนถูกเลยทำท่ากร่าง กระดิกนิ้วเท้า ยักคิ้ว รอให้คนผิดขอโทษ

“เอาสิ...ขอโทษ” กอดอกวางมาดผู้ชนะ

ภูดนัยเสียหน้า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยอับอายเท่านี้มาก่อน ส่วนมากตนจะเป็นฝ่ายชนะ ได้เป็นฝ่ายเยาะเย้ยคนอื่น คราวนี้ต้องกลายเป็นฝ่ายขอโทษ

“ภูขอโทษน้าเขาซะ เราเสียมารยาทกับเขาก่อน นะลูกเรื่องจะได้จบ ผู้โดยสารคนอื่นเขาจะได้พักผ่อน อีกตั้งหลายชั่วโมงถึงที่หมาย” พิมพ์วิไลขอร้องลูกชาย เพื่อให้เรื่องจบลงอย่างสันติ เท่าที่เจอมาก็หนักพอแล้ว

“ก็ได้แม่” พอจนแต้มหนุ่มนักเรียนนอก จึงต้องตัดใจขอโทษพวกบ้านนอก “ขอโทษ” คำขอโทษไม่เต็มใจพูดขอไปที

“ก็...เท่านี้แหละ” รับคำขอโทษเดินกลับไปนั่งที่เดิมถือจบเรื่องกัน

“ทำดีแล้วภู” พิมพ์วิไลรู้ตัวดีว่าเองเลี้ยงลูกตามใจ ไม่เคยให้ภูดนัยลำบาก ได้แต่โทษตัวเองที่ไม่เคยให้ลูกเจอความลำบาก พอมาเจอช่วงชีวิตพลิกผัน ภูดนัยจึงปรับตัวไม่ได้ เชื่อเหลือเกินว่าไม่นาน ลูกจะสามารถปรับตัวได้มากขึ้น

สภาพรถแคบ แอร์ไม่เย็น ผ้าห่มสกปรก ผ่านมือใครบ้างก็ไม่รู้ อาหารไม่มีบริการผู้โดยสาร ต้องลงไปกินอาหารร่วมกับผู้โดยสารคนอื่น ตรงท่ารถที่พักผู้โดยสาร เข้าห้องน้ำกลิ่นเหม็นคลุ้ง อาหาร น้ำ สะอาดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ภูดนัยมองดูผู้คนนั่งรับประทานอาหารกันเอร็ดอร่อย เบือนหน้าหนีไม่อาจรับประทานได้ เขาจึงแค่เข้าร้านสะดวกซื้อ หยิบน้ำเปล่าสองขวด สำหรับมารดากับตัวเองเท่านั้น

“เราต้องอดทนให้มากนะทองคำของแม่” ยกมือลูบไหล่บุตรชาย เพื่อปลอบใจ ต่อไปนี้สภาพความเป็นอยู่ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“แม่” ภูดนัยเรียกมารดาคล้ายกับต้องการไม่อยากให้ใช้ตำนี้

“ก็แม่รักนี่นา รักเท่าทองคำ” ภูดนัยไม่ชอบให้มารดาเรียกเขาด้วยคำเชยเฉิ่มดูไม่อินเตอร์ ไม่สมความเป็นเด็กปริญญาโทจากนอก

“ตามใจแม่เถอะ เอาเป็นว่าผมจะอดทนเพื่อแม่” เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา ยัดหูฟังกับหูเปิดเพลงฟัง เพื่อตัดตัวเองออกจากสังคมไม่คุ้นเคยเหล่านี้

เดินทางเกือบทั้งวันกว่าจะถึงที่หมาย รถทัวร์เลี้ยวเข้าไปจอด

ชานชาลา สถานีขนส่งอำเภอกุมภาวาปี พิมพ์วิไลกับลูกก้าวลงจากรถ มองหายานพาหนะที่จะพาเธอไปบ้านมารดา พอเห็นสกายแล็บ ใบหน้าจึงระบายยิ้ม เดินไปขอว่าจ้างสามล้อเครื่องไปยังตลาด เพื่อต่อรถไปยังหมู่บ้านเทพสุรินทร์ ครั้นพอตกลงราคากันเป็นที่เรียบร้อย รถสกายแล็บสามล้อวิ่งเอื่อยๆ ครางกระหึ่มมาตามท้องถนน สองข้างทางท้องทุ่งเขียวขจี ต้นข้าวต่างกำลังตั้งท้อง ออกรวงยืนต้นเอนไหวตามแรงลม นำพาความสดชื่นให้กับหญิงหม้ายที่ผ่านเรื่องราวเลวร้ายจากเมืองหลวง พอเห็นอย่างนี้ทำให้ทิ้งความทุกข์ไว้เบื้องหลังได้บ้าง

ความเหนื่อยล้าจากการเดิน ทางหายเป็นปลิดทิ้ง พิมพ์วิไลมองสองฟากฝั่งถนนด้วยความเบิกบาน นานแค่ไหนที่เธอไม่ได้สัมผัสบรรยากาศสดชื่นแบบนี้ ราวกับต่อลมหายใจให้ยาวนานเป็นหมื่นปี ทุกปัญหาทำให้เธอไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้ ครั้นพอมาเจอวิวร้อยล้านปัญหามากมายที่

ถาโถม กลับน้อยนิดลงไปในพริบตา

“ภู ดูสิข้าวกำลังตั้งท้อง” คนเป็นแม่ตื่นเต้นกับต้นข้าวสีทองสองข้างทาง

“ข้าวตั้งท้อง เอาอะไรมาพูด” ภูดนัยไม่สนใจสิ่งที่มารดาชี้ชวน เขาไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย

“ข้าวออกรวงเขียวๆ แบบนี้ ชาวนาต้องทำพิธีรับขวัญข้าวด้วยนะ”

“แม่พูดอย่างกับเป็นชาวนา”

“ใช่ไหมลุง ช่วงนี้เขาทำพิธีรับขวัญข้าวใช่ไหม” ลูกชาวนาเก่าเอ่ยถามคนขับสามล้อสกายแล็บ ซึ่งเป็นคนพื้นน่าจะทราบดี

“ใช่แล้วอีนาง” ลุงคนขับรถหวานเย็น ตอบเป็นภาษาถิ่นอีสาน

ภูดนัยไม่ได้สนใจสิ่งแวดล้อมมีแต่ความเวิ้งว้าง เต็มไปด้วยสีเขียว เขาไม่เคยแยแสต่อชีวิตเช่นนี้ จึงได้แต่นั่งเฉย ไม่ใส่ใจฟังการสนทนามารดากับลุงคนขับสามล้อ ถนนขรุขระทำให้เขาอารมณ์เสีย กว่าจะถึงที่หมาย ตับไต ไส้พุง คงมากองรวมกันแทบจะพิการ ชายหนุ่มปั้นหน้าไม่สบอารมณ์เลยสักอย่าง

หนองน้ำที่ดาระดาดไปด้วยดอกบัวสีชมพูสีอ่อนบ้าง เข้มบ้าง พิมพ์วิไลได้รับพลังงานสดชื่นไว้ต่อลมหายใจ จิตใจที่หมองหม่นแปรเปลี่ยนแจ่มใสอย่างอัตโนมัติ

“ถึงแล้วอีนาง” ลุงคนขับสกายแล็บจอดรถข้างทางในตลาด

“ฉันกับลูกจะไปบ้านเทพสุรินทร์ ไปต่อรถได้ที่ไหนจ๊ะลุง” หญิงหม้ายลิงโลดเมื่อนึกแต่หน้าถึงแม่ หลายปีเหลือเกินที่เธอไม่ได้แวะมาเยี่ยมเยียน ถึงแม้จะมานั่งเครื่องบิน ไม่ได้จนตรอกจนต้องนั่งรถโดยสารอย่างในวันนี้

“ต่อสองแถวเข้าไป รีบไปเถอะเดี๋ยวรถจะหมด รถเข้าหมู่บ้านเทพสุรินทร์หายาก ถ้าพลาดก็ต้องรอเที่ยวพรุ่งนี้เช้า” พิมพ์วิไลรับฟังควักเงินจ่ายค่าโดยสาร หอบหิ้วกระเป๋าเดินลัดเลาะผ่านตลาดร้านรวง เพื่อไปยังท่ารถสองแถวที่ลุงแกชี้บอกทาง ตลาดเย็นกำลังคึกคัก ชาวบ้านต่างจับจ่ายซื้อข้าวของยามเย็น มีผักผลไม้พื้นบ้าน อาหารพื้นถิ่น ของป่าหน่อไม้ ผักหวาน ไข่มดแดง วางขายแบกับดินเป็นกอง ได้บรรยากาศเก่าๆ ตอนยังเป็นเด็กเคยตามมารดาตลาดยามเช้า

“บ้านเทพสุรินทร์จ้า รถจะออกแล้วจ้า ชิดในหน่อยพี่ชิดใน” เสียงชายฉกรรจ์สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีน้ำเงิน ผูกผ้าขาวม้าคาดพุงตะโกนโหวกเหวกเรียกผู้โดยสารเป็นภาษาพื้นถิ่นอีสาน ลูกชาวนาที่เข้าไปอยู่เมืองกรุงตั้งแต่เป็นสาว หันไปมองเจ้าของเสียงตะโกน ด้วยความดีใจ

ความเพลิดเพลินมองการขายของ ถูกขัดจังหวะละสายจากของวางขายแบกับดิน ได้ยินชื่อหมู่บ้าน พิมพ์วิไลเร่งฝีเท้าไปยังรถสองแถว

“เร็วเข้าภูรถจะออกแล้ว” จำได้ว่าลุงขับสกายแล็บบอกว่าเป็นรถเที่ยวสุดท้ายเข้าหมู่บ้าน เธอจึงเร่งเดินเพื่อจะได้ทันรถเที่ยวนั้น

“ลุง ฉันกับลูกจะไปบ้านเทพสุรินทร์ พอมีที่ว่างไหมจ๊ะ”

“ว่างขึ้นเลย ชิดในๆ” แกพูดเสียงดังแข็งกระด้างเป็นภาษาอีสาน ไล่ผู้โดยสารที่ยืนขวางประตูให้ชิดใน

รถสองแถวสภาพเก่าปุโรทั่ง สภาพเหมือนจะวิ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ สนิมเกาะจะพังไม่พังแหล่ มีผู้โดยสารชาวบ้านนั่งอยู่ก่อนด้านหลายคน

“แน่ใจนะแม่ เราจะขึ้นรถคันนี้” ภูดนัยเบะปากมองรถ ไม่แน่ใจว่าสภาพรถแย่ขนาดนี้มันสามารถแล่นได้

“แน่ใจสิภู รถมีเที่ยวเดียวยังไงก็ต้องไป เราไม่มีเงินเช่าโรงแรมนะ ขึ้นไปเถอะอย่าเรื่องมาก” มารดาเร่งลูกชาย

“หลีกๆ” เสียงเอะอะมะเทิ่งดังมาแต่ไกล จังหวะที่ภูดนัยลังเลกับสภาพรถ เจ้าของเสียงดัง เดินมากระแทกร่างชายหนุ่มที่ยืนขวางทางขึ้น กระเด็น ไปพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่

“นี่เธอไม่เห็นคนหรือไง” คนโดนกระแทกทรงตัวได้ หันไปโวยใส่คนเสียมารยาทฐานะเจ้าถิ่นอย่างฉับไว

“เห็นสิ ตาไม่บอด ช่วยไม่ได้ตะโกนให้หลีกไม่ยอมหลีกเอง คนถือของหนักโว้ย” หญิงสาวต่อว่าคนขวางทางด้วยภาษาถิ่น โดยไม่คำนึงว่าคนคนนั้นจะเข้าใจภาษาหรือไม่ การแต่งตัวทะมัดทะแมงอย่างสาวชาวบ้าน กางเกงยีน เสื้อผ้าฝ้ายสีน้ำเงิน สวมหมวกแก๊ปใบเก่า หมุนปีกหมวกไปด้านหลังอย่างพวกทอมบอย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel