4
“ว่าไงจ๊ะพ่อต้อม ตกลงว่าที่เจ้าสาวของเราน่ะเป็นใคร เอ๊ะ! ใช่สาวไทยหรือเปล่า” นวลจันทร์ถามต่ออย่างสนใจ
“สาวไทยครับ” เสกสรรตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
“อุ๊ย สาวไทยจริงๆ ด้วย” นวลจันทร์ยิ้มกว้างอย่างดีใจที่ทายถูก
“ได้กำหนดวันแต่งเมื่อไหร่ค่อยเปิดตัวแล้วกันนะนวล ตอนนี้อะไรๆ ก็ยังไม่ค่อยแน่นอนเท่าไหร่จ้ะ” เพียงดาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนจะปรายตามองคนที่นั่งอยู่อย่างสื่อความนัยบางอย่าง เสกสรรรีบหลบสายตาของผู้เป็นยาย พลางรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“เอ่อ...กับข้าวอร่อยมากเลยนะครับ ต้อมไม่ได้ทานอาหารไทยนานแล้ว ไปทานที่ไหนก็ไม่อร่อยเหมือนทานที่ไร่ของยาย” เสกสรรรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“ไม่น่าเชื่อนะว่าพ่อต้อมจะชอบอาหารไทย ”
“แหม ต่อให้หน้าตาไม่เหมือนคนไทยเท่าไหร่ แต่ต้อมก็หลงใหลในความเป็นไทยทุกอย่างครับ” เสกสรรรีบเอ่ยเอาใจบุคคลที่กุมชะตาความรักของตนกับ สาวเจ้าทันใด
“น่าภูมิใจแทนเธอจริงๆ นะเพียงที่มีหลานชายน่ารักแบบนี้”
“แหม พ่อนาวาก็ใช่ย่อยซะที่ไหน ได้ข่าวว่าฮ็อตจนดารานางแบบไทยยื้อแย่งกันอยู่ไม่ใช่เหรอ ” เพียงดาวหันไปส่งยิ้มให้คนที่หลงใหลในความเป็นไทยอย่างขำๆ ‘หึ นี่ขนาดหลงใหลนะ ปีหนึ่งมาไม่ถึงเจ็ดวัน’
“ฉันน่ะกลัวมากๆ เลยนะตอนแรก แต่พอนาวาบอกว่ายังไม่เจอคนที่ใช่ ฉันละแทบจะจุดพลุฉลอง”
“ทำไมล่ะ ?”
“ก็กลัวว่าจะได้ผู้หญิงพวกนั้นเป็นหลานสะใภ้สิเธอ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ ?”
“แต่ละนางนี่สุดๆ ทั้งนั้นเลย”
“เอ...แบบนี้จะได้หลานสะใภ้หรือเปล่าจ๊ะนวล” เพียงดาวอดแซวเพื่อนเก่าไม่ได้
“ไม่แน่ วันก่อนพ่อนาวาเขามาไม่ได้เพราะติดประชุม เจ้าตัวก็บ่นแล้วบ่นอีกว่าเสียดาย พอวันนี้รู้ว่าฉันจะมาที่ไร่ก็โทร. ไปสั่งยกเลิกประชุมกะทันหันแน่ะเพียง”
“อ้าว จริงเหรอเนี่ย” เพียงดาวตกใจนิดๆ กับคำบอกเล่าของเพื่อน
“อืม สงสัยว่าจะเจอคนที่ใช่เข้าแล้วน่ะ คิกๆๆ” นวลจันทร์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อนึกไปถึงอาการของหลานชาย
ครืดดดด
ร่างสูงที่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาเพียงดาวกับนวลจันทร์ตกใจไปตามๆ กัน
“พ่อต้อมเป็นอะไรหรือจ๊ะ” นวลจันทร์ถามอย่างสงสัย
“เอ่อ...พอดีต้อมเพิ่งนึกได้ว่าสั่งงานคนสนิทเอาไว้น่ะครับ ไม่รู้ว่าเป็นยังไงมั่ง ขอตัวไปดูก่อนนะครับ” คนที่นั่งไม่ติดเอ่ยกลบเกลื่อนอาการร้อนรุ่มในใจ หลังจากที่รู้แน่ว่าอีกฝ่ายมาเพื่ออะไร
เพียงดาวมองดูหลานชายด้วยความรู้สึกสะใจนิดๆ ที่เห็นอีกฝ่ายมีอาการขึ้นมา
สองปีก่อน...
‘ต้อมว่า...น้องแพรน่ารักไหม ?’ เพียงดาวลองหยั่งเชิง หลังจากที่แอบสังเกตสายตาของหลานชาย เวลาที่จ้องมองเด็กสาวในอุปการะมาได้สักพัก
‘ก็น่ารักนะครับ แต่ไม่ใช่สเปกต้อม’
คำตอบนั้นทำให้เพียงดาวไม่กล้าเอ่ยถามอะไรต่อ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าตนจะจับคู่ให้ แล้วพานไม่อยากมาหาตนที่ไร่อีก
แต่อยู่ๆ เมื่อคืนกลับโผล่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมมีเรื่องที่ทำให้ตนแทบช็อกจนเกือบจะเป็นลมที่เห็นทั้งสองนอนอยู่บนเตียง ในสภาพที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมา เพราะร่องรอยทุกอย่างชัดเจนจนไม่ต้องคาดเดาเหตุการณ์ใดๆ
เธอยอมรับว่าออกจะมึนงงไปสักนิด แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่หวังอยู่ในใจมาตลอด ที่จะให้ทั้งสองแต่งงานกัน ซึ่งผิดกับเมื่อสองปีก่อนลิบลับ
แต่จากคำพูดเมื่อครู่ของนวลจันทร์ เกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงที่เยอะแยะมากมายของอีกฝ่าย ก็ทำให้เธอกังวล...บางทีถ้าเสกสรรยังไม่พร้อมจะหยุดที่การแต่งงาน เธอคงจะรู้สึกผิดที่ไปเห็นดีเห็นงามด้วย แล้วเด็กสาวที่เธอรับอุปการะเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กและรักดั่งลูกดั่งหลานแท้ๆ จะต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงกับชายหนุ่มที่มีข่าวฉาวเรื่องผู้หญิงจนนับไม่ถ้วน ก็ดูจะไม่ยุติธรรมกับแพรลานนาเอาซะเลย คืนนี้คงต้องเรียกทั้งสองเข้าไปเคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
“รีบไปเถอะจ้ะ” คุณนวลจันทร์ยิ้มอย่างเข้าใจ
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” เสกสรรเอ่ยเสร็จก็เดินออกห้องไปอย่างไม่รอช้า เพียงดาวมองตามหลานชายคนโตที่เดินออกไปด้วยสายตานิ่งๆ
“แล้วหลานชายอีกคนของเธอล่ะ คารอส เพชรดนัย ใช่ไหม ?”
“ใช่จ้ะ”
“ฉันคงจะมีโอกาสได้เจอนะ แต่ที่แน่ๆ ลูกสาวของเธอน่ะ หนูพราวดาราจะกลับมาเที่ยวที่ไทยเมื่อไหร่กันจ๊ะ” นวลจันทร์ถามอย่างสนใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกนวล เดี๋ยวเธอได้เจอครบแน่ๆ เพราะทุกคนจะเดินทางมาในงานแต่งของตาต้อมที่นี่จ้ะ” เพียงดาวตอบอย่างมั่นใจ
“เยี่ยมเลย ฉันจะได้นัดลูกชายกับลูกสะใภ้ให้มาเจอหน้าพร้อมๆ กัน คงจะสนุกดีเนอะ เธอว่าไหมเพียง” นวลจันทร์เสนอความคิดด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ได้สินวล เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ”
เพียงดาวยิ้ม ก่อนจะชวนเพื่อนย้ายขึ้นไปห้องนั่งเล่นที่ชั้นสาม เพราะมีกล้องส่องทางไกลที่สามารถส่องดูส่วนต่างๆ ของไร่ได้อย่างชัดเจน โดยที่ไม่ต้องออกไปเดินดูเหมือนกับคนหนุ่มคนสาว
ด้านคนที่กำลังโมโหเพราะเจอคู่แข่งที่สูสีเข้า รีบกดมือถือหาคนสนิทให้มาพบที่ห้องนอนของตน
“บอสจะให้ผมทำอะไรครับ” ไทเลอร์มองดูสีหน้าดุดันของผู้เป็นนายอย่างสงสัยว่าอีกฝ่ายจะไปมีเรื่องกับใคร
“แกไปตามดูน้องแพรกับไอ้หน้าจืดนั่น ว่าทำอะไร อยู่ตรงไหนของไร่ แล้วโทร. มารายงานฉัน ” เสกสรรสั่งการ พลางคาดโทษสาวเจ้า ที่ดูจะระริกระรี้ออกไปกับอีกฝ่าย
“ไอ้หน้าจืดนั่น... ใครหรือครับบอส ?” ไทเลอร์สงสัยขึ้นมาตงิดๆ
“ก็ไอ้น่านนาวาไง ” เสกสรรตอบกลับเสียงดังอย่างไม่พอใจ
“แต่ผมว่าคุณน่านนาวาไม่ได้หน้าจืดนะครับบอส ออกจะหล่อคมเข้มซะด้วยซ้ำ ” ไทเลอร์แสดงความคิดเห็น
“อ๊ะ ไอ้นี่วอนอยากเจ็บตัวหรือไง ” เสกสรรหันมาต่อว่าคนสนิทที่บังอาจชมคู่แข่งหัวใจ ‘เปลี่ยนมือขวาซะดีไหมวะ ’
“โอเคครับ อีกสิบนาทีผมจะโทร. มารายงานครับ” ไทเลอร์บอกเสร็จก็รีบออกจากห้องไปก่อนที่จะได้รางวัลจากผู้เป็นนาย
สิบนาทีต่อมา...
“ว่าไงเจมส์ น้องแพรกับไอ้หน้าจืดทำอะไรอยู่ ” เสกสรรเอ่ยถามทันทีที่คนสนิทกดรับสาย
“เอ่อ...ผมยังไม่ได้ไปครับบอส” ไทเลอร์ตอบเสียงอ่อยๆ
“ฮะ แล้วมึงมัวทำอะไรอยู่วะ ” เสกสรรตะโกนถามอย่างโมโห ก่อนจะรีบเดินไปดูที่หน้าต่างด้วยอารมณ์เดือดๆ
“อะ...เอ่อ คือว่าผมหาเกียร์ว่างยังไม่เจอครับบอส” ไทเลอร์กลั้นใจสารภาพไปตรงๆ ไอ้ครั้นจะถามคนงานที่เดินผ่าน ก็รู้สึกกระดากอาย
“มึงว่าอะไรนะ ” เสกสรรถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบ ทำเอาปลายสายถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“คะ...คือตอนนี้ ผมใกล้จะหาเจอแล้วครับ” คนที่ไม่รู้ว่าเกียร์ไหนเป็นเกียร์ไหน ยิ่งสับก็ยิ่งมึนงง เห็นแต่ไฟสีเขียววิ่งผ่านเลยตัว N ไปมา
“ไอ้เจมส์ มึงมองขึ้นมาที่ห้องกูซิ ” เสกสรรเอ่ยขณะจ้องมองคนสนิทผ่านหน้าต่างบานใหญ่ด้วยสายตาดุดัน
“มะ...มีอะไรครับบอส” ไทเลอร์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นสีหน้าอำมหิตของผู้เป็นนายจ้องมองมาที่ตนอย่างไม่วางตา
“มึงฟังนะ ถ้ากูลงไปถึงข้างล่างนั่น แล้วมึงยังคร่อมไอ้มอเตอร์ไซค์คันนั้นอยู่...มึงตาย ” เสกสรรคาดโทษอย่างโมโห
“ว้ากกกก” ไทเลอร์กรีดร้อง รีบลงจากมอเตอร์ไซค์ แล้วหันไปคว้าจักรยานที่จอดอยู่ใกล้ๆ จูงวิ่งเข้าไร่ไปราวกับคนเสียขวัญ
“พระเจ้า อย่าบอกนะ ว่าจักรยานมึงก็ขี่ไม่เป็น” เสกสรรกลอกตาอย่างเซ็งๆ ก่อนจะรีบเดินตรงขึ้นไปยังชั้นสาม เมื่อนึกถึงห้องดูวิวขึ้นมาได้
ผัวะ
เสียงกระชากประตูห้องดังขึ้น ทำเอาคนที่กำลังสนทนากันอยู่ตกใจ หันไปมองที่ประตูพร้อมกัน
“อะ...อ้าว คุณยายกับคุณนวลอยู่ที่ห้องนี้เหรอครับ ” คนที่เปิดประตูพรวดเข้ามาปรับสีหน้าแทบไม่ทัน เมื่อเห็นผู้ใหญ่กำลังส่องกล้องดูวิวในไร่
“มีอะไรหรือต้อม” เพียงดาวมองหลานชายอย่างคาดเดา
“พอดีต้อมอยากจะเห็นวิวในไร่น่ะครับ” เสกสรรทำสีหน้ายิ้มแย้ม
“ขอยายส่องดูหนูแพรกับพ่อนาวาแป๊บหนึ่งนะจ๊ะ” นวลจันทร์บอก ก่อนจะหันไปส่องกล้องต่อ
“นั่นไง เจอแล้ว พ่อนาวากับหนูแพรอยู่ที่ไร่องุ่นจ้ะเพียง” นวลจันทร์บอกอย่างดีใจ
“อ้าว ที่แท้อยู่ที่ไร่องุ่นหรอกเหรอ” เพียงดาวสังเกตเห็นหลานชายเริ่มหน้าตึงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อน
“เอ่อ...ขอต้อมใช้กล้องสักครู่ได้ไหมครับ พอดีใช้เจมส์ไปทำธุระในสวนส้ม ไม่รู้ว่าไปถูกหรือเปล่า” เสกสรรเอ่ยขออนุญาตด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจกลับร้อนจนแทบจะลุกเป็นไฟ
“ได้จ้ะ” นวลจันทร์ถอยออกจากกล้องด้วยสีหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ขอบคุณครับ” เสกสรรโปรยยิ้มหวานๆ แทนคำขอโทษที่เสียมารยาท
‘หึ ให้ไทเลอร์ไปทำธุระที่สวนส้มงั้นเหรอ ? ช่างเป็นคำโกหกที่น่าสมเพชจริงๆ’ เพียงดาวยกยิ้มมุมปากอย่างขบขัน
เสกสรรส่องกล้องไปทางไร่องุ่น มองหาจุดหมาย แต่ก็มาสะดุดเข้ากับมือขวาที่กำลังปั่นจักรยานหน้าตั้งลงเนินไปด้วยความเร็ว
‘ขอบคุณพระเจ้าที่มันก็ขี่จักรยานเป็น’ เขากลอกตา ก่อนจะรู้สึกแปลกใจที่เห็นคนสนิทขี่จักรยานผ่านไร่องุ่นไปแบบไม่คิดจอด
‘มันไปทำห่าอะไรที่สวนแก้วมังกรวะ ?’ เสกสรรถามตัวเองอย่างมึนงง
ห้านาทีก่อน...หลังจากที่จูงจักรยานวิ่งมาได้สักพัก ไทเลอร์ก็หยุดวิ่งแล้วถามตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมกูไม่ขี่มันวะ ? จะจูงวิ่งมาทำห่าอะไรเนี่ย เหนื่อยฉิบหาย ”
ชายหนุ่มขึ้นขี่จักรยานแล้วปั่นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอเข้ากับดาวเรือง จึงสอบถามถึงแพรลานนา
‘คุณแพรไปสวนองุ่นปู้นเจ้า’ หลังจากที่ทราบคำตอบไทเลอร์ก็ไม่รอช้า จัดการใส่เกียร์หมา เอ๊ย! เกียร์ห้าของจักรยานเพื่อเพิ่มความเร็วขึ้น
ชายหนุ่มปั่นลงเนินที่ลาดชันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงไร่องุ่น ก็เหลือบไปเห็นแพรลานนากับน่านนาวา จึงกำเบรกข้างซ้ายและขวาเพื่อจะหยุดจักรยาน แต่ทว่า...เขากลับสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า ไม่ว่าจะเบรกข้างซ้ายหรือข้างขวา ชายหนุ่มเบิกตากว้าง จ้องมองอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ของไร่ ราวกับจะฝากชีวิตเอาไว้ที่นั่น
“พระเจ้า เบรกไม่มีโว้ยยยยย ”
คนงานในไร่ต่างพากันมองตามจักรยานที่ขี่ผ่านไปด้วยความเร็ว จากไร่องุ่นมุ่งสู่สวนแก้วมังกร กับสีหน้าตกใจของฝรั่งตัวใหญ่ที่แหกปากกรีดร้องเสียงดังมาตลอดทาง
“ม่ายยยย...”
ตู้ม
ห้าวินาทีโดยประมาณ...คือเวลาที่ไทเลอร์ได้เตรียมใจ ก่อนที่จะเหาะลงไปอยู่ในอ่างเก็บน้ำของไร่พร้อมกับจักรยาน
เรือนใหญ่...
“ไอ้บ้าเอ๊ย ” เสกสรรเผลอสบถออกมาเสียงดังอย่างหัวเสีย กับเหตุการณ์ที่สุดแสนจะงามไส้ของคนสนิท ทำเอาเพียงดาวกับนวลจันทร์ที่นั่งจิบน้ำชาอยู่ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“มะ...เมื่อกี้ พ่อต้อมว่าอะไรนะ” นวลจันทร์เอ่ยถามหลานชายของเพื่อนด้วยเสียงสั่นๆ กับประโยคสุดคลาสสิกที่ได้ยินเมื่อครู่
“เอ่อ...คือต้อมพูดว่า อากาศดีเป็นบ้าเลยน่ะครับ” เสกสรรตีหน้ายิ้มๆ กลบเกลื่อนทันใด
ด้านเพียงดาวได้ยินคำแก้ตัวของหลานชายถึงกับส่ายหัวน้อยๆ อย่างเอือมระอา ‘ยังแถไปได้อีกนะนั่น ’
“ใช่จ้ะ วันนี้อากาศดีจริงๆ” นวลจันทร์รีบสำทับ
“เอ่อ...ผมขอตัวก่อนนะครับ ดูเหมือนคนสนิทของผมจะไปสวนส้มไม่ถูกจริงๆ”
“จ้ะ” นวลจันทร์ยิ้มบางๆ ขณะมองตามหลังชายหนุ่มที่เดินเร็วๆ ออกจากห้องไป คล้ายว่ามีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น
“แหม พ่อต้อมนี่มารยาทดีจังนะเพียง” นวลจันทร์เอ่ยชม
“จ้ะ” เพียงดาวจุกหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก เพราะหลานชายนั้นดูจะห่างไกลจากคำว่ามารยาทดีไปสามกิโลเมตรเห็นจะได้
เสกสรรเดินแกมวิ่งลงมายังชั้นล่าง ตรงไปยังมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ที่คนสนิทหาเกียร์ไม่เจอ ร่างสูงตวัดขาขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์ด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว ก่อนจะกดสตาร์ตเครื่องแล้วบีบคลัตช์เข้ามา สับเกียร์ จากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยคลัตช์ พร้อมกับบิดคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้น มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ก็ทะยานออกตัวไปด้วยความเร็ว