ตอนที่ 2 แขกไม่ได้รับเชิญ
สายลมเย็นพัดผ่านปะทะใบไม้ไหวจนเกิดเสียงอันไพเราะ ขับกล่อมให้ชายหนุ่มรูปร่างสันทัด ผิวสีแทน คิ้วเข้มดกดำ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักได้รูปสีคล้ำ จากการสูบบุหรี่มาตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น หลับอยู่บนเปลในบ้านต้นไม้หลังเล็กอย่างสบายตัว เขาคือ ‘พ่อเลี้ยงเวหา’ ผู้ซึ่งเป็นที่รักใคร่ของคนงานในไร่ภูผาแห่งนี้ และเป็น ‘พี่ใหญ่’ พี่ชายที่น่ารักของน้องชายทั้งสองคนอีกด้วย
“พี่ใหญ่ครับ!”
“.....”
“พี่ใหญ่ครับ!”
เสียงที่คุ้นหูตะโกนดังมาจากเบื้องล่าง ทำให้คนที่นอนกอดอกหลับอยู่บนเปลรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นช้า ๆ ก่อนจะอ้าปากหาวหวอด โน้มตัวขึ้นนั่งแล้วหยิบหมวกคาวบอยหนังสีน้ำตาลขึ้นมาสวมใส่ ชะโงกหน้าลงไปมองยังพื้นดินด้านล่างก็เห็น ‘ธารา’ น้องชายคนสุดท้องและยังเป็นสัตวแพทย์ประจำไร่อีกด้วย
“มีอะไรวะไอ้เล็ก”
“รีบลงมาเร็วพี่ มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว”
“เรื่องอะไรของมึงวะ ทำหน้าตาตื่นเชียว”
“เร็ว ๆ รีบลงมาเถอะ”
“เออ ๆ เดี๋ยวกูลงไป รออยู่นั่นล่ะ”
คนเป็นพี่ลุกขึ้นจากเปลนอน ก่อนจะค่อย ๆ ไต่บันไดลงมาหาน้องชายอย่างคล่องแคล่ว สมกับที่ปีนป่ายต้นไม้มาตั้งแต่เด็กจนโต
“สรุปว่าเรื่องอะไร”
“มีผู้หญิงมาหาถึงที่บ้าน บอกว่าเป็นคู่หมั้นพี่ใหญ่ ผมเลยรีบมาตามครับ”
“แม่ง! ใครกันวะ กูไม่เคยมีคู่หมั้นที่ไหนนี่นา” เวหายืนขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความงุนงง เขาไม่เคยไปยุ่งหรือให้คำสัญญากับผู้หญิงคนไหนมาก่อน มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน
“ใช่หรือไม่ใช่ก็ไปดูให้เห็นกับตาเสียก่อน”
“กูว่าแม่งต้องเป็นคนบ้าแน่ ๆ ผู้หญิงอะไรจะมามั่วบอกว่าคนอื่นเป็นคู่หมั้นตัวเองอย่างนี้”
“ไปเถอะพี่ผมเองก็อยากจะรู้ความจริงเหมือนกัน”
“เออ ๆ”
หลังจากนั้นทั้งสองหนุ่มก็นั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซต์ มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านที่ตอนนี้กำลังมีเรื่องตื่นเต้นรออยู่
*-*-*-*-*-*-*-*
ภายในบ้านไม้สองชั้นสไตล์รีสอร์ต ตอนนี้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความอึดอัดสำหรับแขกที่เพิ่งจะเข้ามาถึง เพราะชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอาแต่จ้องมองอ่านกินเธอแทบไม่ละสายตา จนต้องเอาเสื้อมาปิดที่ต้นขาขาวเนียนไว้
เขาคนนั้นคือ ‘พนา’ น้องชายคนกลางของคนที่เจ้าหล่อนกำลังรอพบหน้า เป็นวิศวกรที่ควบคุมกระบวนการผลิตทางการเกษตรให้กับไร่ เพราะจบวิศวกรรมการเกษตรมาจากต่างประเทศ ด้วยความที่พนาเป็นหนุ่มนักรัก จึงไม่แปลกที่จะมองหญิงสาวด้วยสายตากรุ้มกริ่มเช่นนี้ แต่ทว่าพอมองไปนาน ๆ แล้วกลับรู้สึกคุ้นหน้า เหมือนเคยเห็นกันมาก่อนเสียอย่างนั้น
เจ้าหล่อนแต่งตัวดูดีมีรสนิยมทางแฟชั่น ใบหน้าสะสวย ผิวพรรณขาวสะอาด ดู ๆ แล้วน่าจะเป็นหญิงเมืองกรุงอย่างแน่นอน
“เมื่อไหร่จะมาสักทีคะคุณ”
“รออีกสักครู่นะครับ อีกประเดี๋ยวก็คงจะมาแล้วล่ะคนสวย พี่ใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ล่ะไม่ค่อยอยู่บ้านสักเท่าไหร่ ว่าแต่คุณเถอะไปรู้จักกับพี่ชายผมตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นานจนจำไม่ได้แล้ว ฉันไม่เคยเห็นหน้าเขามาเกือบจะยี่สิบปีแล้ว”
“ห๊ะ! เกือบจะยี่สิบปีแล้ว พี่ใหญ่กับคุณไปหมั้นหมายกันตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย สวย ๆ อย่างคุณไม่น่าเป็นพวกสิบแปดมงกุฎเลยนะครับ”
“เอ๊ะ! นี่คุณจะมากไปแล้วนะ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น รอให้พี่ชายคุณมาก่อนเถอะ ฉันมั่นใจว่าเขาต้องรู้จักฉันแน่นอน” พรรณวรทลุกขึ้นยืนเท้าสะเอว ชักสีหน้าใส่คนที่นั่งตรงหน้า เห็นอย่างนั้นพนาก็ยืนขึ้นตาม
น้องชายยังกวนประสาทมากขนาดนี้ เธอนึกไม่ออกเลยว่าคนเป็นพี่ชายจะขนาดไหนกัน
“อ้าว! พี่ใหญ่มาพอดีเลย” พนากำลังจะตอบกลับแต่ทว่าเห็นพี่ชายเดินเข้ามาพอดี
“ไหน! ใครที่มาอ้างตัวว่าเป็นคู่หมั้นกูวะ” เข้ามาถึงในห้องรับแขกแล้ว พ่อเลี้ยงก็โวยวายกวาดสายตามองหาผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะพบว่ากำลังยืนอยู่ตรงข้ามกับน้องชาย
เขามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจนต้องตะลึงในความสวย ดูจากผิวพรรณและการแต่งตัวรู้ทันทีเลยว่าไม่ใช่คนแถวนี้ แถมยังรู้สึกคุ้นหน้าแต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก
“มาสักทีสินะคุณใหญ่”
“รู้จักชื่อผมด้วย?” คนถามยังคงขมวดคิ้วมองเธออย่างจับผิด
“จะยืนคุยกันอย่างนี้เหรอคะ ฉันว่าเรานั่งคุยกันดีกว่าไหม” ว่าแล้วก็นั่งลงบนโซฟาตัวเดิม พยักพเยิดเชิดหน้าราวกับนางพญาหงส์ ทำเอาผู้มาใหม่ถึงกับมองอย่างไม่ชอบขี้หน้า
พรรณวรทมองไปรอบตัวรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกสอบปากคำ จึงเหลือบตามองบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งสอง ให้รู้ตัวว่าเธอไม่ประสงค์จะให้อยู่ร่วมฟังบทสนทนาด้วย