บทนำ + ตอนที่ 1
ความอบอุ่นที่อิงแอบแนบชิดทำให้ร่างสูงใหญ่เบียดกายเข้าหาโดยอัตโนมัติทั้งที่ยังไม่ได้สติ ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามสัญชาตญาณ ความรุ่มร้อนในกายทำให้เขาไม่สบายตัวเอาเสียเลย ความเครียดเคร่งคล้ายจะรวมตัวตรงจุดกึ่งกลางกาย...จนปวดหนึบไปหมด
ยิ่งเมื่อลูบไล้ฝ่ามือไปบนผิวเรียบตึงทว่านุ่มเนียนจนอยากสำรวจให้ทั่ว มันก็ยิ่งทำให้เขาร้อนรุ่มจนแทบทนไม่ไหว มือใหญ่หยาบเริ่มต้นสำรวจ...
ความอบอุ่น เต็มไม้เต็มมือ และเรียบลื่นทำให้เขามั่นใจว่าที่สัมผัสอยู่นั้น คือ เนื้อหนังมังสาของผู้หญิง
“ลิ...นิน...ที่รัก” เขาพึมพำชื่อที่ติดตรึงในใจออกมา
เสียงครางดังขึ้นเบาๆ ละม้ายขานรับ
เขาพยายามปรือตามองฝ่าความมืด ท่ามกลางความสลัวราง แสงจันทร์ที่ทอผ่านหน้าต่างสาดจับร่างขาวโพลนเห็นเส้นสายส่วนโค้งส่วนเว้าอันน่ามอง...ก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่ก้อนเนื้อกลมสองก้อนที่สะท้อนขึ้นลงตามจังหวะหายใจอย่างสม่ำเสมอ
ฝ่ามือใหญ่กอบกุมไว้ข้างหนึ่งฟอนเฟ้นความนุ่มหยุ่นเต็มมือก่อนสลับไปที่อีกข้าง
ความง่วงงุนยังหลงเหลือ ทว่าร่างกายเขากลับตื่นเต็มที่ หัวใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น ประหวัดถึงครั้งล่าสุดที่ได้เชยชมเรือนร่างนี้...
นานเท่าไรแล้ว?
“ลินิน...คุณสวยเหลือเกิน” เขาพร่ำข้างใบหูหล่อน “ผม...คิดถึง...คุณ”
จบคำพูดด้วยการแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากนุ่ม บดคลึงอย่างเร่าร้อนอ่อนหวาน ก่อนจะเบียดแทรกลิ้นผ่านกลีบปากเข้าไปเสียดสีกับลิ้นชุ่มชื้น เสียงครางหวานดังขึ้นเบาๆ เขายิ่งได้ใจ...คราวนี้หล่อนไม่ขัดขืน
ริมฝีปากอุ่นจึงขยับจากกลีบปากนุ่มมาตามลำคอขาว จูบซุกไซ้ก่อนขบเบาๆ ตรงลาดไหล่เนียน เขามิได้หยุดตรงนั้นเมื่อที่มาดหมายคือป้านสีเข้มบนทรวงอกที่กระเพื่อมตามจังหวะหายใจ
เมื่อแตะริมฝีปากตรงปลายสุดอันเป็นส่วนที่ไวต่อสัมผัส ผิวที่เคยเรียบก็หดตัวเข้าหากัน...ชูชันขึ้น
ท้าทายให้ครอบครอง...ลิ้มรส เขาใช้ริมฝีปากขบเม้มเบาๆ ก่อนจะแตะลิ้นวนรอบป้านสีเข้มแล้วครอบครองเข้าปาก
แรงดูดดุนทำให้ร่างเล็กอ้อนแอ้นแอ่นอกเข้าหาอย่างลืมตัว เสียงครวญครางดังลอดจากปากยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ให้เริงโลด
มือข้างหนึ่งลูบไล้ลงต่ำผ่านหน้าท้องแบนราบก่อนซุกเข้ากลางพุ่มไหมนุ่มลื่น เพียงแค่แหวกผ่านกลีบนุ่มเขาก็พบกับความชุ่มชื้นทะลักทลาย เขาแตะปลายนิ้วลงบนติ่งตูมเต่งเขี่ยเบาๆ ร่างเล็กก็สั่นสะท้านเบียดสะโพกเข้าหาราวเชิญชวน
หล่อนคงมีความต้องการไม่ต่างจากเขา...คิดเช่นนั้นแล้วจึงรุกคืบด้วยกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ
ทุกทีลินินมักบิดพลิ้วบ่ายเบี่ยงอ้างเรื่องสุขภาพและความเจ็บป่วย เขาตามใจหล่อนก็เพราะรัก
เมื่อสอดนิ้วแข็งแรงเข้าไปกลางความคับแน่นที่ชุ่มชื้น ร่างเล็กสะดุ้งพยายามจะหุบขาหนีแต่ติดท่อนขาแข็งแรงของเขาขวางอยู่
จุมพิตร้อนแรงเพื่อปลุกเร้าและกระตุ้นอารมณ์หล่อนอย่างต่อเนื่องพอจะช่วยให้อาการดิ้นรนผ่อนคลายลง นั่นแหละเขาจึงสอดนิ้วเข้าจนสุดรอให้ชินจึงค่อยขยับอย่างช้าๆ
เสียงครางกระเส่าเริ่มดังขึ้น เป็นสัญญาณให้รู้ว่าหล่อนพร้อมแล้ว
ลำนิ้วแข็งแรงถอนออกมาช้าๆ จดจ่อตัวตนที่แข็งจนปวดหนึบไปทั้งหน้าขาเข้าแทนที่ บดเบียดส่วนมนเข้ากับกลีบนุ่มและติ่งตูม ความเสียดเสียววูบขึ้นมาจากส่วนปลายทำให้ใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำ กดน้ำหนักลงไปอีกนิด...กระแสซาบซ่านยิ่งทวีเมื่อตัวตนของเขาถูกโอบรัดทุกทิศทาง ร่างเล็กดิ้นขลุกขลักโดยไม่รู้ว่ายิ่งดิ้น ก็ยิ่งทำให้เขาเสียวกระสันจนหมดสิ้นความอดทน
“ไม่ไหวแล้ว ผมขอเถอะลินิน ผมรู้คุณเองก็ต้องการเหมือนกัน”
สิ้นประโยคเขาก็ขยับสะโพกเต็มกำลังไม่สนใจอาการดิ้นรนขัดขืนของผู้ที่อยู่ใต้ร่าง เสียงหวีดร้องดังขึ้นแต่เขาก็ปิดกั้นเสียงนั้นด้วยปากที่บดจูบอย่างเร่าร้อนตามอารมณ์ที่ร้อนแรงขึ้นทุกวินาทีของตน
----------------------------------
ตอนที่ 1
“อีนันท์! มึงจะไปไหน กลับมาเดี๋ยวนี้นะกูยังพูดไม่จบ”
เสียงโวยวายด่าทอดังตามไล่หลังมาแข่งกับเสียงฝนที่ตกกระหน่ำราวฟ้ารั่วมาตั้งแต่เช้ามืด ทว่าพนิตนันท์มิได้สนใจ หล่อนสาวเท้าตรงไปที่ประตู คว้าร่มซึ่งแขวนไว้กับข้างฝาได้ก็ตรงลิ่วออกไปทั้งที่ฝนตกลงมาหนาเม็ดและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ น้ำเริ่มเจิ่งนองไปทั่วบริเวณและท่วมขังตามหลุมแอ่งหลายแห่ง
หล่อนควรจะรอให้ฝนซาลงเสียก่อนเพราะขืนดันทุรังออกไปตอนนี้ ก็มีแต่จะเปียกปอนเป็นลูกนกตกน้ำ ทว่า ‘เรื่องร้อน’ ที่ไล่ตามมาติดๆ ทำให้เด็กสาวตัดสินใจอย่างไม่ลังเล
“อีนันท์ กลับมาคุยให้รู้เรื่อง”
เสียงแม่ยังดังตามมาอีกยืดยาว แต่พนิตนันท์ไม่คิดจะอยู่ฟังอีกต่อไปแล้ว ใจสั่งให้ไปจากตรงนี้...ไปจากบ้านที่ไม่เคยมีความรักให้
น้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาไหลอาบแก้มปะปนกับหยาดฝนที่ปะทะใบหน้า จนมองไม่ออกว่าไหนน้ำตาไหนน้ำฝน ทว่าพนิตนันท์มิได้สนใจ
เด็กสาวก้าวเท้าเดินดุ่ม แม้จะเปียกปอนไปครึ่งตัวแล้วก็ตาม ระยะทางจากบ้านไปป้ายรถเมล์ปากซอยไม่ได้ไกล ทว่าด้วยฝนที่กระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำให้ไกลกว่าความเป็นจริงถึงสองเท่า
เดินไปก็คิดถึงชนวนเหตุของการทะเลาะ ปกติแม่บอกอะไรหล่อนก็เชื่อฟังและทำตามทุกอย่างตามประสาคนหัวอ่อน แต่ครั้งนี้หล่อนยอมไม่ได้
แม่จะให้ลาออกจากมหาวิทยาลัย ให้ตายพนิตนันท์ก็ไม่มีวันยอม!
หล่อนสู้อุตส่าห์ขอทุนการศึกษาจนสำเร็จ ทุกวันนี้หล่อนรบกวนทางบ้านก็แค่ค่าใช้จ่ายรายวันที่ก็พยายามใช้จ่ายอย่างประหยัดเต็มที่ แต่ถ้ายังทำให้ทางบ้านเดือดร้อน หล่อนก็จะหางานพิเศษทำ จะได้ดูแลรับผิดชอบตนเองไม่ต้องรบกวนแม่
บอกอย่างนี้แล้วแม่ก็ยังยืนกรานจะให้ลาออกจากมหาวิทยาลัย แม่บอกให้หล่อนหางานทำมาช่วยใช้หนี้ และจะได้ช่วยส่งน้องชายเรียน
พนิตนันท์ยินดีจะทำตามที่แม่ขอ ถ้าหากน้องชายต่างพ่อของหล่อนเป็นเด็กใฝ่เรียน ไม่เกกมะเหรกเกเร วันๆ เอาแต่มั่วสุมกับเด็กเหลือขอในชุมชน และหนี้ที่ว่าจะไม่ใช่หนี้พนันที่แม่กับผัวใหม่ขยันสร้าง
แต่แล้วความคิดของหญิงสาวสะดุดเมื่อจู่ๆ รถคันหนึ่งแล่นผ่านไปด้วยความเร็วจนทำให้น้ำที่ขังอยู่ริมถนนสาดกระเซ็นมาโดนหล่อน พนิตนันท์ยืนนิ่งอยู่กับที่ ทั้งโมโหทั้งน้อยใจ นึกอิจฉาคนที่มีรถขับเหลือเกิน
ถ้ามีรถก็คงไม่ต้องตากฝนทั้งเปียกทั้งหนาวแบบนี้ ถึงฝนตกแล้วรถจะติด...ก็ยังได้นั่งตัวแห้งๆ อยู่บนรถติดแอร์เย็นฉ่ำ แต่คนจนอย่างหล่อนก็คงได้แต่ฝันลมฝันแล้ง
เด็กสาวยิ้มขื่นก่อนจะสะดุ้งอีกรอบเมื่อรถคันหนึ่งบีบแตรเสียงดังสนั่นข้างตัว พนิตนันท์ตกใจจนหลบวูบเข้าชิดด้านในฟุตบาธ หัวใจจะยังเต้นรัวเมื่อเหลียวไปมองหาต้นตอของเสียง
รถยุโรปสีดำคันใหญ่จอดเทียบฟุตบาธหน้าหล่อน มองปราดเดียวหญิงสาวก็จดจำได้ว่าเป็นรถของบ้านหลังใหญ่ท้ายซอยนั่นเอง
หน้าต่างด้านคนนั่งข้างคนขับเลื่อนลงมาครึ่งหนึ่งพร้อมเสียงเข้มครึมทักถามมาจากในรถ
“จะไปไหน?”
พนิตนันท์ก้าวออกมาแล้วก้มลงมองเข้าไปในรถ จึงเห็นว่าผู้ที่ถามคือ ฤทธิ ฤทธิไกรรังสรรค์ เจ้าของบ้านนั่นเอง วันนี้เขาขับรถเองไม่ได้มีคนขับให้เช่นเคย
เด็กสาวรีบยกมือไหว้ก่อนตอบซื่อๆ
“ป้ายรถเมล์ปากซอยค่ะ”