บทที่ 19
“ทูลองค์ชาย ข้อแรกข้าน้อยมิปรารถนาจะเล่นตลกที่โรงน้ำชาหรือบ้านต้าหวัง เพราะต้องดูแลคุณหนูเหม่ยฟางที่กำลังป่วย ข้อสองหากคุณหนูงดงามมิเท่านางกำนัล เหตุใดองค์ชายจึงจู่โจมจนนางต้องวิ่งหนีออกจากสวนกลางดึกเล่า”
อาโปลมออกหูเพราะองค์ชายรองเอ่ยวาจาดูถูกคุณหนูของตน ความโกรธทำให้นางลืมตัวเอ่ยวาจายอกย้อน และคงต้องถูกลงโทษอย่างหนัก หากคนฟังไม่ตกใจกับข้อมูลเสียก่อน
องค์ชายหวังจื่อเทียนตระหนักได้ในนาทีนั้นเองว่า แท้ที่จริงแล้วสาวงามที่เขาตามหามิใช่อาโป แต่กลับเป็นคนที่เขานึกรังเกียจและหลีกเลี่ยงการพบหน้ามาโดยตลอด ร่างสูงสาวเท้าตรงไปยังห้องรับรองของคุณหนูเล็กแห่งบ้านต้าหวัง อาโปที่ตามมาติดๆ ถูกสั่งให้รออยู่ข้างนอกอย่างไม่เต็มใจนัก
ใบหน้าของเหม่ยฟางดูซีดเซียว ทว่าความงามกลับมิได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย เสียงประตูที่ถูกผลักอย่างแรงทำให้คนที่ยังพอมีสติอยู่ฝืนประคองตนเองให้ลุกขึ้นนั่ง ร่างบางดึงผ้าห่มขึ้นสูงเพื่อปิดบังคอเสื้อที่เปิดกว้างอยู่ เลือดของนางแทบจับตัวเป็นน้ำแข็ง เมื่อพบว่าผู้บุกรุกคือองค์ชายหวังจื่อเทียนและใบหน้าของเขาเผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของนางแล้ว
“องค์ชายโปรดเมตตาข้าน้อยด้วย”
เสียงหวานปานน้ำผึ้งทำเอาคนฟังลืมความโกรธไปเสียสิ้น ดวงตากลมโตนั้นแดงก่ำเพราะพิษไข้ที่ทรมานนางมาเสียหลายวัน เหม่ยฟางเอ่ยขอโทษอยู่สองสามประโยค ทว่าองค์ชายรองกลับมิสามารถจับใจความสำคัญของมันได้ เขาปรารถนาเพียงอยากจะขบริมฝีปากอันซีดเผือดให้มีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง
หวังจื่อเทียนรู้สึกอย่างผิดท่วมท้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความกลัวของร่างบางที่อยู่ตรงหน้า เมื่อระงับความต้องการได้ก็นึกโกรธตนเองที่ใช้อำนาจล่วงเกินคุณหนูเล็กแห่งบ้านต้าหวังมาโดยตลอด คิดได้อย่างไรกันว่าสตรีที่มีความงามราวกับเทพธิดาและผิวพรรณผุดผ่องดั่งงาช้างจะเป็นเพียงหญิงรับใช้ธรรมดา
“ข้าเพิ่งทราบจากอาโปเดี๋ยวนี้เองว่าเจ้าคือคุณหนูเหม่ยฟางแห่งบ้านต้าหวัง ข้าประพฤติตัวต่ำทรามและใช้อำนาจล่วงเกินเจ้ามาโดยตลอด ต่อจากนี้ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างสมเกียรติ ชดใช้ความผิดที่เคยก่อเอาไว้” ร่างสูงเอ่ยวาจาน่าฟังหลังจากที่เสียเวลาตั้งสติและเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่ใหญ่
“เป็นเรื่องเข้าใจผิดย่อมมิอาจถือโทษ”
เหม่ยฟางเผยยิ้มแรกในรอบหลายวัน ด้วยอารมณ์ดีใจจึงมิทันระวังตัว ปล่อยให้ผ้าห่มที่คลุมร่างเลื่อนลงและเผยเห็นเนินอกรำไรออกสู่สายตาบุรุษตรงหน้า หวังจื่อเทียนเสมองไปทางอื่นเพื่อข่มความปรารถนาที่ยากจะดับลงได้โดยง่าย
“อย่างไรเสียพวกเจ้าก็ร่วมมือกันโกหกข้า ล้อเล่นกับความรู้สึกกันเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ” องค์ชายรองเอ่ยความในใจก่อนหันกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง ดวงตากลมโตคู่นั้นทำให้หวังจื่อเทียนลืมทุกอย่างที่ต้องการเอ่ย เขาจึงหลีกเลี่ยงการสบตายามต้องการสนทนาถ้อยความสำคัญ
คุณหนูเล็กแห่งบ้านต้าหวังหมายมั่นที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อเอ่ยวาจาโต้ตอบ แต่กลับต้องทรุดตัวลงแทบจะในทันที หวังจื่อเทียนตรงเข้าประคองตามสัญชาตญาณ ดวงตาเรียวยาวมิอาจหลีกเลี่ยงจากเนินอกอิ่มที่อยู่ตรงหน้า เขาทำได้เพียงกัดฟันเพื่อข่มความต้องการที่ไม่มีวันสิ้นสุด เหม่ยฟางทราบในตอนนั้นเองว่าชุดของตนนั้นหลุดลุ่ย จึงรีบกระชับคอเสื้อเพื่อปิดบังของสงวน
“เมื่อครู่อาโปเช็ดตัวให้ข้า ยังมิได้จัดการให้เรียบร้อยก็ถูกเรียกตัวไปเสียก่อน” เหม่ยฟางรู้สึกได้ว่าใบหน้าของตนเริ่มมีสีสันเพราะความเขินอาย ด้านหวังจื่อเทียนกลอกตาให้กับตนเองที่อ่อนไหวไปกับความน่ารักของนาง เขาเคลื่อนไหวร่างกายอย่างคล่องแคล่วและผูกเชือกของเสื้อนอนทั้งสองด้านเข้าหากัน ก่อนจะถอนตัวออกห่างอย่างรวดเร็ว
“พักผ่อนให้แข็งแรงดีก่อนแล้วค่อยคิดยั่วยวนข้าในภายหลัง มิใช่มาเชื้อเชิญกันไม่เลือกเวลาแบบนี้” ร่างสูงหอบหายใจแรงเนื่องจากรู้สึกว่าส่วนล่างนั้นตื่นตัวจนยากจะควบคุม เขาต้องการฉีกกระชากชุดนอนของนางออกและเปลี่ยนความหนาวเหน็บให้กลายเป็นเร่าร้อนดั่งไฟเผา
แต่เมื่อมิอาจทำได้อย่างใจหวัง ร่างสูงจึงแสร้งทำเป็นโกรธเคืองและผลักประตูอย่างแรง ก่อนจะรีบเดินกึ่งวิ่งออกจากห้องนอนของเหม่ยฟางไป
นับเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยามแล้วที่องค์ชายหวังจื่อเทียนจ้องมองไปยังเตียงอันว่างเปล่า ปากของเขาบอกกับตนเองว่าอิสรภาพนั้นสำคัญกว่าความปรารถนามาก แต่ภายในใจกลับอยากจะย้อนไปขยี้กุหลาบดอกนั้นให้ย่อยยับไปกับมือ
