3
ณ อารามศิลาแดง
ดวงตากลมโตมองภาพเบื้องหน้าผ่านช่องเล็กๆ ของหน้าต่าง หัวใจสาวเต้นไหวโครมคราม บุรุษผู้นั้นขึ้นคร่อมร่างงดงามผิวขาวอมชมพู อีกฝ่ายมีใบหน้าละม้ายกับผู้ที่แอบมองอยู่ตรงนี้
เอ แอบมองเยี่ยงนั้นหรือ ไฉนนางถึงทำเรื่องไม่สมควรได้ ทว่าแม้สมองบอกเช่นนั้น แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ขยับไปไหน กับใจระทึกและซาบซ่านในร่มผ่ากับสิ่งที่เห็นผ่านตา
“อื้อ... อ่าส์... เปิดปากเจ้าออกสิ แล้วให้ข้าใช้ลิ้นด้านในนั้น ขาด้วยแยกให้กว้าง ดูสิ เนื้อหวานของเสี่ยวรั่ว มันอยากกลืนกินความแข็งแกร่งข้าแล้ว”
“อี๊ๆ ๆ ขะ ข้า ทำไม่ได้”
นางปฏิเสธ ทว่าอารมณ์สตรีที่นอนราบบนกองฟางนั้น ยั่วยวน และส่งแรงสิเน่หาถึงชายหนุ่มที่ต้องการระบายกำหนัดถึงนาง
“ดี... ลิ้นเล็กๆ นั้น น่าดูดเลียโดยแท้”
“คุณชาย โอ้ ขะ ข้า รู้สึกมะ มะไหวแล้ว”
นางออดอ้อนต่อ และยังแยกขากว้างจนคนที่อยู่ด้านนอกห้อง ตะลึงพรึงเพลิด คาดไม่ถึงว่าลูกพี่ลูกน้องที่ตนรู้จัก จะกระทำเรื่องต้องห้ามกับบุรุษในที่ลับตาคนเช่นนี้
ยามนั้น มือเรียวสวยวางที่หน้าอกตน และเกือบเผลอไผลลูบไล้ยอดหน้าอกที่มันตั้งชันขึ้น
อ๊ะ...ไม่ได้ มันไม่สมควร และการมองผู้อื่นที่ทำสิ่งน่าเกลียดนี้ ก็ผิดมหันต์ แต่เสียงกับการพูดคุยนั้นแจ้งชัดว่าคนทั้งคู่ลอบพบกัน พร้อมตกลงเรื่องสำคัญบางอย่าง
“คุณชายรองฉาง... อย่างไรข้าก็ไม่อาจเป็นของผู้อื่นได้อีก ท่านต้องให้ผู้ใหญ่สู่ขอข้าเป็นฮูหยิน อย่างเร็วที่สุด”
“เสี่ยวรั่วเจ้าบีบบังคับกันเกินไป และอีกไม่นาน ข้าต้องไปเมืองหลวงแคว้นต้าอู่ หนทางของเรานั้น ยากจะบรรจบกัน”
“แต่... ครั้งหนึ่ง ท่านเคยให้สัญญาต่อข้า”
ฉางหัวอี้เงียบไป แล้วจู่ๆ เขาก็ตัดสินใจสวมเสื้อผ้าของตนกลับคืน เขาไม่ควรออกมาพบนางที่นี่ แล้วหากตัดไฟได้ก่อนที่มันจะลุกลามใหญ่โตย่อมเป็นการดีที่สุด
“ข้าด้อยวาสนา จากนี้คุณหนูจื่อรั่ว รักษาตัวด้วย”
ฟ่านจื่อรั่วไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำนี้ และนางยื่นมือไปคว้าแขนของบุรุษที่มอบใจให้ แต่เขาสะบัดทิ้งอย่างแรง นั่นจึงเป็นเหตุให้นางเสียหลักล้มลง แล้วเป็นจังหวะเดียวกันที่มีเสียงร้องอุ๊ยดังขึ้นเบาๆ
ยามนั้นฝ่ายชายจึงผลุนผลันออกไปจากเรือนร้าง ส่วนฟ่านจื่อรั่วก็ได้สติ รีบออกตามหาที่มาของเสียง
ฟ่านจื่อรั่วร้อนใจ กระทั่งเห็นว่ามีร่างหนึ่งวิ่งหนีไป ก่อนที่สาวใช้นางจะจับตัวได้ และไม่ทันได้เอ่ยถามสิ่งใดให้แน่ชัด ฝ่ามือเรียวของสาวงามนางนั้นตบลงบนแก้มขาวใสของฟ่านหรันซี ผู้เป็นญาติรุ่นน้อง
ความรู้สึกนั้นดึงให้หญิงสาวสะดุ้งเฮือกสุดแรง ก่อนจะตามมาด้วยความฉงน และมีน้ำตาคลอหน่วย
ดวงตากลมโตมองคนตรงหน้า พร้อมยกมือจับที่แก้มของตน ฟ่านจื่อรั่วทำรุนแรงกับนางด้วยเหตุใด อีกทั้งความทรงจำในชาติก่อน ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ เป็นสตรีที่จิตใจดี เพียงแต่หัวอ่อน จึงมีชะตากรรมน่าสงสาร
และอึดใจเดียวกัน เสียงของอีกฝ่ายก็ดังขึ้น
“โอ้ เสี่ยวซี... พะ พี่ไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นเจ้าที่ทำตัวน่าสงสัย และเข้ามาในสวนหินด้านหลังเมื่อใดกัน อันที่จริงเจ้าต้องอยู่โถง กินขนม และเล่นกับเพื่อนๆ มิใช่หรือ”
ฟ่านหรันซีดึงความทรงจำกลับมาให้ตนเอง ทว่ายามนี้สับสนมาก และยังมีเสียงหวีดร้อง เสียงกลองรบ รวมถึงใครบางคนร้องเรียกหานางไม่หยุด
โอ้...นางต้องรีบสลัดสิ่งที่น่ากลัวพวกนั้นให้ออกไปจากหัวโดยเร็ว แล้วอยู่กับเรื่องตรงหน้า มิเช่นนั้นนางคงเสียสติเสียก่อน โดยเฉพาะภาพคลุ้มคลั่งของหลี่สิงหยาง ชายที่ทำให้ชีวิตนางพบกับหายนะนับครั้งไม่ถ้วน
“พี่รั่วรั่ว”
“ใช่ เจ้ามาด้านหลังสวนหินนี้เพื่อการใด ทั้งที่โถงด้านนอกมีลานดอกไม้ และการแสดงละครหุ่นอยู่”
ฟ่านจื่อรั่วซัก และงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในจวนฟ่านของบิดานางที่เป็นเจ้าเมืองชิงซานนี้คึกคักมาก ฝ่ายนางก็ให้สาวใช้คนสนิท ทั้งบ่าวที่ไว้ใจได้กันทุกคนไม่ให้มาด้านหลังสวนหิน ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อด้านหลังอารามศิลาแดง ไฉนฟ่านหรันซียังเดินมาจนถึงบริเวณนี้ และเห็นภาพที่ไม่สมควรเห็นด้วย หากเป็นผู้อื่นนางคงสั่งปิดปาก เพื่อให้เรื่องนี้เงียบ
“ผะ ผู้ชาย ขะ ข้าเห็น”
ฟ่านหรันซีพูดออกมาช้าๆ ทีละคำ ฝ่ายนางก็นึกรำคาญตนเอง ได้มีลมหายใจอีกครั้ง ทำไมถึงได้มีอาการเหมือนคนสมองทึบ
“เหลวไหล! เจ้าเป็นไข้อีกแล้วสินะ ความจำก็คงขาดๆ หายๆ หมอในสำนักแพทย์ก็เตือนแล้วว่าเจ้าอาจมีสติปัญญาเหมือนเด็กสามขวบหลังจากฟื้นกลับคืนมา โถ ตั้งแต่รถม้าพลัดตกเขาเมื่อห้าเดือนก่อน เสี่ยวซีของพี่ก็ไม่เหมือนเดิม”
ฟ่านหรันซีมองลูกพี่ลูกน้อง และพอเข้าใจสถานการณ์ของตน
รถม้าของนางพลัดตกเขา จึงทำให้ได้รับบาดเจ็บหนัก สมองส่วนที่เก็บความทรงจำคล้ายถูกกดทับเอาไว้ กล่าวเช่นนี้แล้ว ย่อมหมายความว่าเส้นชีวิตของนางได้เปลี่ยนไปอีกด้าน นอกจากนั้นฟ่านหรันซีในสายตาคนอื่น นางคือสตรีที่เบาปัญญา สูญเสียความคิดอ่าน อนุมานว่ามีสมองเท่าเด็กสามขวบ
โชคชะตาเปลี่ยนผลันเช่นนี้ นับว่าดีไม่น้อย และนางจะใช้มันเพื่อให้ตนเองอยู่รอดปลอดภัย หากเป็นไปได้ก็อย่าได้ข้องเกี่ยวกับบุรุษสกุลหลี่อีก!
“ขะ ข้าเจ็บ พี่รั่วรั่ว... ทำร้ายข้า”
เอ่ยอย่างนั้นแล้ว ฟ่านหรันซีก็นึกขำ และหวังว่านางคงแสดงบทบาทใหม่นี้ได้อย่างแนบเนียน ไม่ให้ความลับแตกเสียก่อน
“โอ้ พี่ไม่ได้ตั้งใจ หากเป็นเจ้า ที่ทำเรื่องไม่เหมาะสม ไปจงไปกับหวานหว่านก่อน และตอนเย็นข้าจะไปหาเจ้าที่เรือน”
ฟ่านจื่อรั่วบอก เป็นตอนนั้นที่สาวของฟ่านหรันซีวิ่งมาพอดี
“คุณหนู เกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อครู่บ่าวตามหาตั้งนาน เหตุใดถึงมาอยู่ในจุดลับตาคนเช่นนี้”
หวานหว่านผู้มีอายุมากกว่าฟ่านหรันซีถาม พร้อมสำรวจใบหน้าเจ้านายตน พอเห็นว่าแก้มข้างหนึ่งแดงเป็นปื้น นางก็ใจหล่นหาย ก่อนจ้องเขม็งไปที่ฟ่านจื่อรั่ว
“คุณหนูจื่อรั่ว ไม่ทราบว่าเกิดเหตุใดกับเจ้านายบ่าว”
“เสี่ยวซีพลัดหลงเข้ามาด้านใน แล้วคงวิ่งพล่านไปทั่วเลยสะดุดล้มหน้าคว่ำ”
ฟ่านจื่อรั่วกล่าว และทำทีว่าเสียเวลาอยู่ตรงนี้นานแล้ว นางจึงก้าวเตรียมผละกลับเข้าไปในงานเลี้ยงที่อยู่อีกฝากฝั่งหนึ่ง แต่หวานหว่านผลุนผลันเข้ามายืนขวางไว้ พร้อมกางมือทั้งสองข้างออก
“บ่าวชั้นต่ำ กล้าดีอย่างไรถึงมาเกะกะทางเดินคุณหนูจื่อรั่ว” สาวใช้รุ่นใหญ่ของฟ่านจื่อรั่วตวาดอย่างแรง และง้างมือเตรียมตบหวานหว่าน
“คุณหนูจื่อรั่ว ต้องอธิบายให้แน่ชัดก่อน เหตุใดบนแก้มของเจ้านายบ่าว ถึงมีรอยฝ่ามือเช่นนั้น”
หวานหว่านกล่าวจบ ฝ่ายฟ่านหรันซีก็แสร้งร้องว่า
“เจ็บ... ตบ...เผียะๆ ๆ”
ฟ่านจื่อรั่วถลึงตาใส่ลูกพี่ลูกน้องตน และนางไม่ต้องการตอบคำถามใด จากนั้นก็สั่งให้คนผลักหวานหว่านอย่างแรง
“เรื่องนี้ บ่าวคงต้องแจ้งท่านแม่ทัพฟ่าน อย่างไรลูกสาวคนเล็กของเขา จะถูกผู้ใดรังแกไม่ได้”
“เฮอะ ข้าบอกว่านางล้มก็คือนางล้ม และเอาเถิดคำพูดของบ่าว กับคุณหนูลูกขุนนางระดับสี่ใครจะสำคัญกว่ากัน”
ฟ่านจื่อรั่วยกตำแหน่งของบิดาผู้เป็นถึงเจ้าดินแดนชิงซานขึ้นมาข่มขู่
หวานหว่านตัวสั่น ในความจริงนางไม่มีหลักฐานใดๆ และแก้มของเจ้านายตน อีกไม่นานจะมีแค่รอยช้ำม่วงเขียวให้เห็น ไม่ใช่เป็นรูปร่างของฝ่ามือเช่นนี้
“บ่าวจะไม่ยอมให้คุณหนูเจ็บตัวโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมแน่นอน”
หวานหว่านยืนยันเสียงหนักแน่น ในยามนั้นฟ่านจื่อรั่วหันไปมองฟ่านหรันซี ภายในใจเกิดความวิตกท่วมท้น
เรื่องในเรือนเก่าที่ปิดตายด้านหลังอารามศิลาแดง เป็นสิ่งไม่สมควรให้ผู้ใดพบ กระนั้นฟ่านจื่อรั่วก็ต้องหาทางรอดให้ตน ด้วยนางสืบรู้มาว่า อีกไม่นานคนผู้นั้นจะส่งเกี้ยวเจ้าสาวมารับตนไปเป็นสตรีข้างกายเขา แต่...ฟ่านจื่อรั่วไม่ต้องการ นางได้รับคำเตือนจากหมอดูตาบอดว่าบุรุษที่จะเป็นว่าที่สามีในอนาคต ในภายหน้าเขาจะเป็นราชาอำมหิต ฆ่าล้างตระกูลนาง และเขามีนามว่าหลี่สิงหยาง!
และในขณะที่ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใด จู่ๆ ฟ่านหรันซีก็ร้องว่า
“หิว... ข้าอยากกินเต้าหู้ ขาวๆ อวบๆ”
ฟ่านหรันซีกล่าวจบ ก็พลอยให้คนมีชนักติดหลังฟ่านจื่อรั่วทั้งอับอาย ทั้งโกรธจนอยากเข้าไปบีบคออีกฝ่ายทันที
“เต้าหู้ ข้าจะกินเต้าหู้!”
ฟ่านรั่วจื่อตัวแข็งค้างและคำพูดดังกล่าวนั้น ย้อนให้นึกถึงการเล้าโลม ในช่วงที่นางพลอดรักกับฉางหัวอี้
บัดซบ... ฟ่านหรันซี รู้เห็นสิ่งใดบ้าง