4
จากนั้น หวังตันส่งสัญญาณให้บ่าวชายรู้ เพื่อจับกุมตัวสิงตู้เหยาไว้ป้องกันการหลบหนี
“แม่นางเหลียน โปรดระวังตัว ดูเหมือนว่ามีคนคิดปองร้ายท่าน” หวังตันบอกเช่นนั้น ซ่างเป่าเหลียนจึงเพ่งสายตาไปที่สิงตู้เหยา หากไม่ใช่การจับผิด หรือคิดร้าย นางเพียงแค่สงสัย ทั้งไม่ปักใจเชื่อว่าสาวใช้ผู้นี้จะวางยาพิษตน เด็กสาวยังใสซื่อเกินไป ทั้งอ่อนด้อยในหลายสิ่ง
“ไม่ใช่บ่าวนะแม่นางเหลียน บะ บ่าว กลัวถ่านที่เตรียมมาจะหมดระหว่างทาง เลยไปขอใช้ห้องครัวของโรงเตี๊ยมด้านหลัง เพื่อต้มน้ำแกง และเฝ้าดูอยู่ตลอด คาดสายตาเพียงนิดเดียว เพราะชามที่จะใส่น้ำแกงตกแตก เลยไปขอยืมคนงานด้านใน พอกลับมาก็รีบยกหม้อยาลง แล้วนำมาให้ท่านดื่มทันที ดูสิเจ้าคะ ยังร้อนอยู่เลย”
ซ่างเป่าเหลียนฟังแล้ว สับสนอยู่สักหน่อย และใบหน้าที่ดื้อรั้น ทั้งยังอวดดีของสิงตู้เหยาที่เคยเห็นนั้นเปลี่ยนไป ยามนี้นางกลัวบ่าวชายที่ดูแลรถม้า คนผู้นั้นเป็นทั้งทหาร และมีฝีมือดี เรียกได้ว่าแม่ทัพตงโหดเหี้ยมเพียงใด ลูกน้องที่เขาฝึกมากับมือย่อมได้รับนิสัยเช่นนั้นมาไม่มากก็น้อย
“อยากถูกหักนิ้ว หรือตัดหูก่อนดี เจ้าถึงจะสารภาพเรื่องทั้งหมดให้ละเอียด” บ่าวชาย นามโจวซ่งกล่าวเสียงเข้มๆ และมันส่งผลให้สิงตู้เหยากลัวอย่างลนลาน จนนางเผลอถ่ายเบาเรี่ยราด
ทว่าทุกอย่างไม่จบเพียงเท่านั้น เกิดความวุ่นวายตามมา ราวกับเป็นหายนะที่ซ่างเป่าเหลียนต้องเผชิญ “แม่นางเหลียน ข้าว่าเรารีบกลับขึ้นรถม้าเถิด ชักช้าอาจมีคนโยนความผิดให้เราต้องติดคุกได้” หวังตันเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี นางวางเงินไว้ที่โต๊ะ พร้อมพยักเพยิดให้โจวซ่งลากตัวสิงตู้เหยาไป ทว่ามีเสียงเอะอะขึ้นพร้อมคนของโรงเตี้ยม ทหารอีกสามนาย มุ่งตรงมายังโต๊ะด้านนอกที่ซ่างเป่าเหลียนนั่งอยู่
“นั่น... นางออกมาจากห้องครัว ข้าสงสัยว่าจะเป็นผู้ใช้ยาพิษ จนทำให้มีคนป่วยในตอนนี้”
เด็กในครัวชี้มือมาทางสิงตู้เหยา เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เชื่อมโยงกับโต๊ะอาหารด้านใน ที่มีคนกินบะหมี่เนื้อเป็ด แล้วหมดสติไป ซึ่งหนึ่งในนั้นมีผู้อาการหนักหายใจรวยริน
ในขณะทหารกำลังจะเข้ามาจับกุมตัวสิงตู้เหยา และฝ่ายโจวซ่งก็ไม่ยินยอม ทว่าสถานการณ์นั้นอาจลุกลามใหญ่โต ซ่างเป่าเหลียนจึงต้องการเจรจาเสียก่อนใช้กำลัง
“พี่ชาย มีสิ่งใดค่อยพูดกัน”
ด้วยน้ำเสียงที่เรียบๆ สีหน้าไม่ได้ตื่นตกใจ อีกทั้งความงามของซ่างเป่าเหลียนสะกดสายตาทุกคน ผู้ที่มองนางจึงหยุด และเหมือนถูกมนตร์สะกดไว้ชั่วขณะ
“แม่นาง คนผู้นี้ก่อเรื่องด้านใน หากท่านไม่เกี่ยวข้อง อย่ายื่นมือเข้ามายุ่งเลย”
ซ่างเป่าเหลียนทบทวนสิ่งที่เจ้าของร่างรู้ รวมถึงตัวนางเองด้วย พอปะติดปะต่อบางอย่างได้ก็เอ่ยว่า
“ข้ากับเสี่ยวเหยา เดินทางมาด้วยกัน อีกอย่างข้าใช้นางไปต้มน้ำแกงเพื่อดื่ม ไฉนจะกลายเป็นคนใช้พิษทำร้ายผู้อื่นได้”
“เฮอะ มีนางเป็นคนนอกเพียงคนเดียว ที่เข้าไปวุ่นวายโรงครัวเรา เช่นนี้หากไม่ใช่นาง แล้วใครจะทำร้ายภรรยาของท่านอารักษ์ รวมถึงคนอื่นๆ ได้ โรงเตี๊ยมข้าเปิดมานาน ไม่เคยมีคดีความใดๆ โจรสักรายก็ไม่เคยเข้ามายุ่มย่าม”
เถ้าแก่โรงเตี้ยมว่าและชี้มือมายังสิงตู้เหยา พร้อมสั่งให้ทหารรีบจับกุมตัวไปสืบสวนและลงโทษเสีย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ซ่างเป่าเหลียนต้องตัดสินใจอย่างเร่งด่วน
ยามนั้น เสียงโอดครวญของคนที่ได้รับพิษดังมาจากด้านใน ทำให้รู้ว่า นอกจากผู้เป็นฮูหยินของอารักษ์ ที่มีอาการหนักสุด ยังมีผู้ที่ได้รับพิษจากบะหมี่เป็ดอีกสามคน นั่นก็คือตัวอารักษ์ น้องชายเขา อีกโต๊ะเป็นพ่อค้าหาบเร่ รวมถึงโต๊ะที่ชั้นสอง หากอาการไม่ได้หนัก เพียงแค่วิ่งเวียนศีรษะ
“ตอนนี้ช่วยชีวิตคนสำคัญที่สุด”
ซ่างเป่าเหลียนกล่าวจบก็เตรียมลุกก้าวไปดูคนที่ได้รับพิษจากอาหาร ทว่าตอนนั้นเองที่หวังตันจับข้อมือหญิงสาวและดึงรั้งไว้ก่อน
“แม่นางเหลียน อย่าได้แสดงตัวตนให้ผู้อื่นรู้ อีกอย่างท่านต้องเดินทางให้ถึงเมืองหวางอินเร็วที่สุด หากล้าช้าเกรงว่าจะทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่ขุ่นเคืองใจ อย่าลืมสิ ก่อนออกเดินทาง ท่านแม่ทัพ กำชับไว้อย่างไร”
หญิงสาวมองหวังตัน สายตาบอกให้รู้ว่า เรื่องนี้จะปล่อยผ่านไม่ได้ ขณะเดียวกัน แม้เจ้าของร่างปิดกั้นหลายสิ่งเอาไว้ นั่นเพราะนางยังเสียใจอยู่ แต่ประตูอีกด้านหนึ่งได้เปิดออก ซ่างเป่าเหลียนพบว่า นางไม่ได้หลงเหลือแค่ความสามารถทางการแพทย์ไปเสียทั้งหมด อีกทั้งหลังการใช้เวลากับตงเยี่ยหรง นางได้รับกระเป๋าอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สามารถเคลื่อนย้ายในห้วงมิติเวลาด้วย
เรื่องนี้น่าประหลาดใจยิ่ง ด้วยกระเป๋าดังกล่าวคือสิ่งที่นางใช้ครั้งสุดท้ายในฐานะแพทย์คนหนึ่ง นั่นหมายความว่าซ่างเป่าเหลียนไม่ได้มาเพียงลำพัง นางยังคงมีเครื่องมือที่จะทำให้ตนรอดเมื่อต้องใช้ชีวิตในโลกที่แตกต่าง
ซึ่งซ่างเป่าเหลียนจำได้ว่า ก่อนที่นางจะออกเดินทางจากค่ายทหาร ตงเยี่ยหรงขี่ม้าตัวโต และมอบของสำคัญแก่นาง วาบแรกนางเห็นของสำคัญที่แทบจะหลงลืมไปแล้ว น้ำตาก็ไหลอาบสองแก้ม