บทที่ 5 ลูกสาวค้ำประกัน 1.3
“แค่นี้ฉันก็เมตตาแกกับแม่ของแกมากแล้ว แกยังจะมาขอร้องอะไรฉันอีก ดีเท่าไหร่ที่ฉันไม่ขายแม่แกให้ไปเป็นอีตัวในซ่อง หัดเจียมตัวไว้ซะบ้างนะแล้วอย่ามาคิดต่อรองอะไรกับฉัน ถ้าฉันโกรธแกขึ้นมาระวังเถอะ แม่แกจะเจ็บตัว”
รณชัยพูดโต้กลับด้วยถ้อยคำรุนแรงและไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะเสียใจมากแค่ไหน เขาขู่ได้เป็นขู่ ทำร้ายได้เป็นทำร้าย ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากตัวเอง น้ำตาของญาตาวีแทบเล็ดกับคำพูดบาดหัวใจของบิดา
“คุณพ่อมีอะไรจะตกลงกับตาคะ” เธอเบี่ยงเข้าประเด็น
“คืนนี้แกจัดเตรียมกระเป๋าให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ฉันจะพาแกไปประเคนเป็นนางบำเรอให้คุณสิงห์”
คำพูดง่ายๆ ของบิดาเรียกความเสียใจให้กับคนเป็นลูกไม่น้อย ลำคอเล็กรู้สึกแห้งผาก หัวใจมันถูกบีบอัดจนเจ็บปวดไปหมด รู้สึกอดสูกับชีวิตในวันพรุ่งนี้ของตนที่จะไม่เหมือนเดิม ดวงตาร้อนผ่าว ไม่รู้ว่าต้องใช้ความอดทนกี่มากน้อยในวันพรุ่งนี้ แต่เธอก็ต้องทนเพื่อแม่ของเธอ
“ค่ะคุณพ่อ” ญาตาวีรับคำสั่งเสียงเบาหัวใจสาวรวดร้าวไปทั้งทรวง
“ฉันจะบอกแกเอาไว้นะว่า อย่าได้ขัดขืนหรือทำให้คุณสิงห์ไม่พอใจเด็ดขาด แกต้องเอาใจเขาให้มากๆ เพราะคุณสิงห์เป็นเจ้าของเงินก้อนโตที่ฉันอยากจะได้มากอบกู้ธุรกิจ แล้วถ้าเกิดแกทำให้ทุกอย่างมันพังล่ะก็ ฉันจะฆ่าแม่แกให้ทรมานที่สุด แล่เนื้อเอาเกลือทา ให้แม่แกส่งเสียงร้องจนกว่าจะขาดใจตาย เข้าใจไหม!”
รณชัยสั่งและข่มขู่ญาตาวี ที่ได้ฟังคำขู่ของผู้เป็นพ่อแล้วใจเต้นแรง แล้วรู้ดีว่ารณชัยพูดจริงทำจริง ซึ่งเธอก็ไม่มีวันทำให้มารดาต้องเจ็บตัวแน่นอน ญาตาวีจะอยู่ในนรกจนกว่าบิดาจะใช้หนี้สินหมด ไม่ว่านานแค่ไหนเธอก็จะทน
“ตาทราบค่ะคุณพ่อ ตาจะทำตามที่คุณพ่อต้องการทุกอย่าง ตาจะไม่ขัดขืนคุณสิงห์ จะตามใจเขาตามที่คุณพ่อบอกค่ะ แต่ตามีเรื่องจะขอร้องคุณพ่อเรื่องนึงคะ” ญาตาวีไม่แน่ใจว่า สิ่งที่เธอกำลังจะขอบิดานั้นจะได้หรือไม่ แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ไม่ใช่หรือ
“อะไร” เสียงห้วนของรณชัยถามกลับ
“ถ้าวันใดที่คุณพ่อใช้หนี้คุณสิงห์หมดแล้ว ได้โปรดปล่อยแม่กับตาให้เป็นอิสระได้ไหมคะ ถือว่าข้อตกลงระหว่างแม่กับคุณพ่อเป็นอันยุติ ตาขอแค่นี้ค่ะคุณพ่อ ตาจะทนเป็นนางบำเรอให้กับคุณสิงห์จนกว่าจะถึงวันนั้น”
รณชัยอึ้งไปชั่วขณะกับคำขอร้องของลูกสาวคนเล็ก เขาไม่คิดมาก่อนว่าญาตาวีจะกล้าขอร้องเขาเช่นนี้ แต่ในเมื่อเธอกล้าขอเขาก็กล้าให้ เนื่องจากสิ่งที่ตนเองได้รับในครั้งนี้ มันคุ้มเกินคุ้ม คนที่ขาดทุนคือผกากรองกับญาตาวี อีกประการหนึ่งมันก็ถึงเวลาที่เขาจะปลดปล่อยสิ่งมีชีวิตที่ไร้ค่าไปจากตัวเองเสียที หลังจากที่เก็บเอาไว้เป็นหนามทิ่มแทงใจกับทุกคนในตระกูลมาเนิ่นนาน
“ได้” เขาตอบเสียงเน้นหนัก “ฉันยินดีทำตามที่แกร้องขอ”
คำตอบของบิดาเรียกรอยยิ้มให้กับคนที่ต้องการอิสระทันที “จริงๆ นะคะคุณพ่อ”
“จริงสิ ถ้าแกทำตามที่ฉันบอกเหมือนกัน”
“ค่ะคุณพ่อ ตาจะทำทุกอย่างตามที่คุณพ่อบอกค่ะ” เธอพูดพร้อมรอยยิ้มแห่งความหวัง
“แกกลับไปเตรียมตัวที่บ้านได้แล้ว พรุ่งนี้ตอนเก้าโมงมารอฉันที่รถ” รณชัยตัดบทเมื่อเสร็จธุระ
“คุณพ่อคะ จำเป็นรึเปล่าคะที่ตาจะต้องไปอยู่ที่บ้านของคุณสิงห์ ไปแบบเช้าเย็นกลับได้ไหมคะคุณพ่อ ตาเป็นห่วงแม่ค่ะ”
เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ญาตาวีเป็นกังวล หากเธอไปอยู่บ้านของเจ้าของเงินกู้แล้วใครจะเป็นคนดูแลมารดา ไหนจะเรื่องข้าวปลาอาหารที่เธอเป็นเพียงคนเดียวที่ดูแลเรื่องนี้ หากไม่มีญาตาวีสักคนแล้วใครจะทำหน้าที่นี้
“เรื่องแม่ของแกไม่ต้องห่วง ฉันจะส่งข้าวส่งน้ำให้แม่แกเอง ดูแลแทนแกทุกอย่าง แต่ถ้าแกดื้อดึงไม่ทำตามที่ฉันบอกล่ะก็ แม่แกอดตายแน่ๆ”
รณชัยพูดตัดปัญหา เขาจะรับอาสาดูแลเรื่องอาหารการกินของผกากรองเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่รณชัยไม่ได้ดูแลมาเป็นเวลากว่าห้าปีแล้ว
แม้ว่าบิดาจะขันอาสาช่วยเหลือ แต่ญาตาวีก็ยังไม่คลายความกังวล สีหน้ายังเต็มไปด้วยความหนักใจ “แต่ว่า...”
“แกไม่เชื่อคำพูดของฉันใช่ไหม ฉันบอกว่าจะดูแลให้ก็เป็นไปตามนั้น อย่าเรื่องมากนักนะ ถ้าเรื่องมากฉันจะไม่ทำอะไรให้แม่แกสักอย่าง” เสียงติดรำคาญของรณชัยดังขึ้น “หรือถ้าแกเป็นห่วงแม่แกมากล่ะก็ ตอนกลางคืนทำหน้าที่นางบำเรอ ตอนกลางวันมาทำหน้าที่ลูกกตัญญูก็ได้นะ ถ้าแกมีปัญญา”
รณชัยพูดประชด แต่สำหรับญาตาวีมันคือทางออกของความกลัดกลุ้ม และเป็นวิธีที่จำทำให้ตนเองเกิดความสบายใจ คลายความกังวล
“ขอบคุณคุณพ่อมากนะคะสำหรับคำแนะนำ ตาไปเตรียมตัวก่อนนะคะ”
ญาตาวีพนมมือไหว้บิดา ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องทำงานของรณชัย ทันทีที่ร่างเล็กของลูกสาวพ้นประตู มือเหี่ยวย่นตามวัยก็เอื้อมมือไปหยิบมือถือเครื่องพอดีมือขึ้นมา กดหาเบอร์ของปลายทางที่ต้องการติดต่อ รอไม่กี่อึดใจการสนทนาสั้นๆ ก็เกิดขึ้น พร้อมรอยยิ้มกว้างหลังจากที่สนทนากับราชสีห์จบลง