บทที่ 1
ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่สะดุดตา กำลังนั่งร่างภาพอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ของประเทศฝรั่งเศส ใต้ต้นไม้ของสวนสาธารณะ ที่อยู่ตรงกันข้ามกับสถานที่สำคัญ อันเป็นดั่งเหมือนเมืองศิลปะของโลก
ดูเหมือนเขาจะเพลินกับงานตรงหน้า อย่างไม่สนใจกับอากาศที่เริ่มอบอ้าว และแสงแดดที่เริ่มส่งแสงแรงกล้า สุนัขพันธุ์ไซบีเรียนสีเทาตัวใหญ่นอนหมอบใกล้เขา ทำหน้าที่ดังยามคอยเฝ้าไม่ให้ใครมารบกวนเจ้าของ
ความเพลิดเพลินในจินตนาการของเขา ทำให้หญิงวัยใกล้เคียงกัน ที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ถึงกับส่ายหน้ากับพฤติกรรมของสามี เธอเดินมาหาเขา พร้อมกับเอาแก้วกาแฟที่เย็นเฉียบ แนบกับต้นแขนแข็งแรงนั่น ทำเอาคนที่เพลิดเพลินกับตนเองอยู่ถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะหันไปมองภรรยาแล้วหัวเราะเบาๆ
“กอบัว คุณนี่เล่นอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้ที่รัก”
“แหม...ก็คุณธัชน่ะ พอเข้าไปในโลกส่วนตัวแล้วล่ะก็ ไม่สนใจใครเลยนะคะ เรามาเที่ยวกันนะ ว่าไง ! แสนดี ซื้อไก่มาฝากเราด้วย”
กาญจนกวินทร์ลูบหัวเจ้าหมา ที่กระดิกหางให้เธออย่างดีใจ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ดี สรธัชหัวเราะหึ หึ แล้วรับแก้วกาแฟมาจากภรรยา
“ว่าแต่ผม คุณเองเวลาร่างแบบ ก็ไม่สนใจใครเหมือนกันนั่นแหละ”
“แหม...” กาญจน์กวินทร์หัวเราะกิ๊ก และโน้มตัวมองภาพวาดร่างของสามีแล้วกอดอก
“คราวนี้จะให้ตัวแสบคนไหนของเราล่ะคะ คราวก่อนตอนไปอิตาลี คุณเอาภาพสีน้ำมันที่คุณวาดรูปปั้นของไมเคิลแอนเจโลให้หนูพราวไป แม่ลูกสาวคนเล็กงอนใหญ่เลย สงสัยคราวนี้ต้องเป็นของหนูพลอย”
“ก็คงจะต้องเป็นแบบนั้นล่ะครับ เออ...พูดถึงลูกๆ เป็นยังไงกันบ้างก็ไม่รู้” สรธัชอมยิ้ม
เขาและกาญจน์กวินทร์ บางทีก็พากันไปเที่ยวตามแหล่งศิลปะของโลก ตามประเทศต่างๆ อาจจะเพราะความหลงใหลในงานศิลปะ และอาชีพของเขาและเธอด้วยก็ได้ ทำให้พวกเขาชอบที่จะเดินทางท่องเที่ยว
งานดีไซน์เนอร์ของกาญจน์กวินทร์ เป็นที่ยอมรับกันมากทั้งในและต่างประเทศ มีชื่อเสียงมาเกือบจะยี่สิบปีแล้ว ส่วนงานเขียนและภาพวาดของสรธัชก็โด่งดังมากเหมือนกัน ยิ่งตอนนี้ลูกๆ ของทั้งสองคนเติบโตจนเป็นสาวสวย ต่างคนเริ่มที่จะเลือกทางเดินของตัวเองแล้ว ก็ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาอย่างกาญจน์กวินทร์และสรธัช หมดห่วงไปได้มากทีเดียว และเริ่มที่จะให้เวลาแก่กันและกันบ้าง
ในเรื่องที่พวกเขาชอบเหมือนกัน ทั้งคู่จึงเพลินกับวันพักผ่อน และการหาแรงบันดาลใจในการทำงานต่อไปมาก สรธัชหอบหิ้วสุนัขตัวโปรด ที่เขามักจะหามาเลี้ยงอย่างขาดไม่ได้มาด้วย แทนที่ตัวเก่าที่เพิ่งตายไปเพราะถึงอายุขัยของมัน
“เห็นคุณพีชโทรมารายงานว่า ยัยตัวเล็กของเราเริ่มดังมากบนเวทีแฟชั่น หึ หึ ทั้งที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นลูกสาวบัว ส่วนหนูพราวก็เห็นว่ากำลังหางานทำอยู่น่ะค่ะ”
“แล้วจะมีคนสืบต่อกิจการคุณ หรือว่ารักงานเขียนและงานศิลปะ เหมือนผมบ้างไหมหนอ” สรธัชว่า เขาจิบกาแฟก่อนจะพูดถึงลูกสาวทั้งสองคน
“หนูพลอยดูแล้วน่าจะเอาดีทางเสื้อผ้าเหมือนคุณ ส่วนหนูพราวผมเห็นแกเองก็ชอบวาดภาพเหมือนกัน แต่อย่างว่าเรื่องอย่างนี้ ผมไม่บังคับลูกอยู่แล้ว ผมอยากให้แกเลือกทางของแกเอง แต่คราวนี้เราสองคนมานานเหมือนกัน จนผมเองชักจะเป็นห่วง เพราะไม่เคยปล่อยสองสาวไว้นานขนาดนี้”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ มีสายสืบข่าวอย่างคุณพีช คอยรายงานความคืบหน้าของลูกสาวเราตลอดเวลาอยู่แล้ว บัวอยากให้พวกแกอยู่กันตามลำพัง เรียนรู้การทำงานบ้าง โดยที่ไม่มีเราคอยเป็นแม่นกคอยกางปีกปกป้อง ลูกสาวของเราจะได้เรียนรู้และตัดสินใจอะไรหลายๆ อย่างด้วยตัวเองน่ะค่ะ”
“พูดดูดีมากเลยนะที่รัก” สรธัชหัวเราะ ก่อนจะแกล้งแหย่ภรรยา
“ความจริงบัวอยากหนีลูกเที่ยวบ้างใช่ไหม ผมรู้ทันหรอกน่า”
“คุณธัช” กาญจน์กวินทร์หัวเราะกิ๊ก พลางตีแขนสามีเบาๆ
“จะว่าบัวเห็นแก่เที่ยวเหรอคะ ที่มานานคราวนี้ เพราะแวะเยี่ยมคุณแม่คุณด้วยต่างหาก”
“ล้อเล่นน่ะครับ”
สรธัชว่า เขาโอบภรรยามานั่งข้างตัว แล้วพูดพึมพำเหมือนจะฝากไปถึงลูกสาวสองคน ที่อยู่ไกลอย่างเป็นห่วงว่า
“ผมคิดว่าหนูพลอยกับหนูพราว ลูกสาวคนเก่งของเรา ต้องดูแลตัวเองได้ดีแน่ๆ แต่ผมไม่ห่วงอะไรมากเท่าหนูพลอย เพราะหนูพลอยดื้อแถมเป็นจอมแก่นเหมือนคุณ ดีที่ว่ามีหนูพราวคอยปรามไว้”