บทนำ 1
บทนำ
เขาว่ากันว่า หากเห็นดาวตกให้รีบอธิษฐาน แล้วสิ่งที่ปรารถนาจะสมหวังทุกประการ ถ้าเช่นนั้นฉันจะขอ ขอให้ฉันได้พบคนดีที่สามารถปกป้องฉันได้
และขอให้…ชีวิตฉันนับจากวันนี้ไปได้รู้จักคำว่า ‘ความสุข’ เสียที
บนเส้นทางที่ทอดยาวไกล รถคันเล็กและใหญ่วิ่งสวนกันไปมาอย่างรีบเร่ง ในสังคมเมืองหลวงที่ผู้คนไม่ค่อยสนใจกัน ตอนนี้มีเด็กสาวหน้าตามอมแมมคนหนึ่งสวมเสื้อยืดเปื้อนฝุ่นและกางเกงขาสั้นสีแดงซีดๆ วิ่งออกจากประตูรั้วทันทีที่ยามรักษาความปลอดภัยเผลอ ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นกับโลกภายนอกที่ไม่คุ้นเคย สองมือกอดถุงขนมห่อเล็กๆไว้อย่างหวงแหน…ขนมที่ขโมยมาจากผู้ใจบุญที่นำอาหารมาบริจาคให้สถานสงเคราะห์ แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่ทำอยู่ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง แต่ก็จำเป็นต้องทำเพื่อหนีให้พ้นจากกรงเหล็กที่กำลังจะมาคุมขังหล่อนให้ขาดอิสรภาพในอนาคตอันใกล้นี้
ขาเล็กซอยถี่ๆด้วยความเร็วเท่าที่จะไหว แต่เพราะไม่ชินกับเส้นทาง ประกอบกับความกังวลที่คุกรุ่นในความคิด ทำให้ปลายเท้าเตะขอบฟุตบาธจนล้มคะมำอยู่ริมถนน
ตุ้บ !!
ขนมหกเกลื่อน แต่มือน้อยก็พยายามควานเก็บมาใส่ลงถุงเหมือนเดิมด้วยท่าทางงกเงิ่น แต่มือที่กำลังสะเปะสะปะไปตามพื้นถนนเพื่อตะครุบเก็บสิ่งที่ตกกระจายอยู่ก็เป็นอันต้องหยุดกึก เมื่อมีใครคนหนึ่งเดินมาหยุดตรงหน้าหล่อน
กร๊อบ !
ขนมอบกรอบชิ้นหนึ่งถูกเหยียบจนแตกละเอียด และเมื่อนันวราเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของรองเท้ากีฬาสีดำ ใจดวงน้อยก็กระตุกวูบไหวเมื่อสานสบนัยน์ตาที่กำลังหลุบต่ำลงมองหล่อนอยู่
หล่อ…แต่ตาดุจนหล่อนนึกหวั่น
“คิดจะหนีออกจากบ้านเด็กกำพร้าเหรอไงแม่หนู สังคมภายนอกมันโหดร้ายเกินกว่าที่เด็กสาวอย่างเธอจะสามารถใช้ชีวิตตามลำพังได้นะ”
เสียงทุ้มที่ออกจากปากสีแดงอย่างคนสุขภาพดีนั่น ทำให้นันวราเริ่มได้สติ หล่อนโยนถุงขนมทิ้งไว้ตรงนั้นแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้นเพื่อหนีต่อไป ซึ่งเขาก็รีบวิ่งตามอย่างไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หล่อนรอดพ้นสายตาไปได้
ใช้เวลาไม่ถึง 2นาที มือใหญ่ก็คว้าคอเสื้อด้านหลังของหล่อนได้ทัน ตามด้วยคำถามกึ่งหยั่งเชิง
“จะหนีไปไหน หืม ? หนูน้อย”
“อย่ายุ่ง นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณ” นันวราตวาดแหว พยายามดิ้นให้หลุดจากการเหนี่ยวรั้ง ทว่าออกแรงเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล เพราะอีกฝ่ายมีพละกำลังมากกว่าหล่อนจนเทียบไม่ติด
“ขอโทษนะที่พี่อยากจะยุ่ง เป็นเด็กเป็นเล็กกล้าคิดการใหญ่ถึงขั้นจะหนีออกไปผจญโลกภายนอกตามลำพัง นับว่าแก่แดดไม่ใช่เล่นเลยนะ”
เด็กสาวตาวาววับกับคำตำหนิของเขา แววตาดื้อรั้นไม่ยอมอ่อนลงสักนิด มีแต่จะแข็งขึงยิ่งกว่าเก่า
“อย่าสะเออะเรื่องชาวบ้าน ปล่อยเดี๋ยวนี้นะตาแก่”
ตติยะนึกฉุนไม่น้อย เด็กวัยไม่ถึง15ปีคนนี้ปากคอเราะร้ายไม่เบาเลยทีเดียว ก้าวร้าวจนน่าระอา
“พี่เพิ่งอายุ20 แก่ตรงไหน ปากดีแบบนี้น่าจับตีก้นเสียให้เข็ด” พูดพลางตวัดร่างผอมบางขึ้นพาดบ่า ขณะที่หล่อนร้องลั่นอย่างขวัญเสีย
“กรี๊ด ! ปล่อย ปล่อยนะ”
ผู้คนบางส่วนที่เดินผ่านไปมาเริ่มหันมาให้ความสนใจ แต่พอชายหนุ่มหันไปยิ้มแล้วอธิบายเสียงดัง คนอื่นๆก็เข้าใจและไม่คิดจะยื่นมือเข้ามายุ่ง
“น้องสาวผมดื้อน่ะครับ นี่ก็หนีออกจากบ้าน ผมต้องออกมาตาม เป็นเด็กแต่แก่แดดแบบนี้ ผมล่ะปวดหัว”
“แม่หนูเอ้ย มีบ้านให้อยู่ก็ดีแล้ว ไม่น่าหนีออกมาเลยนะ กลับไปกับพี่ชายเขาเสียเถอะ” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ยปาก พลางส่ายหน้าไปมาช้าๆ นางเชื่อคำพูดตติยะเพราะการแต่งกายที่ดูภูมิฐาน บวกกับบุคลิกภาพที่ไม่น่าเป็นคนร้าย ทำให้ไม่มีใครติดใจสงสัยเขาเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ใช่นะคะ หมอนี่ไม่ใช่พี่ชายหนู เขาเป็นแก๊งลักพาตัวเด็กค่ะ เจ้าข้าเอ้ย ช่วยด้วยๆ มีคนจะลักพาตัวหนูไปตัดแขนตัดขาให้นั่งขอทานตามตลาด ช่วยหนูด้วย หนูไม่อยากพิการค่า”
คราวนี้จากที่ไม่มีใครใส่ใจ สายตาทุกคู่พลันเหลือบมามองเป็นตาเดียว เล่นเอาตติยะถึงกับหน้าซีดสลับกับแดงก่ำอย่างโกรธจัด
“ตะโกนบ้าอะไรของเธอ ฮึ ยัยเด็กก้าวร้าว”
“งั้นก็ปล่อยฉันลงสิ ไม่งั้นฉันไม่เลิกป่าวประกาศนะ” นันวรายิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างได้ที แต่มีหรือที่เขาจะยอมอ่อนข้อให้เพราะถูกเด็กตัวเล็กๆข่มขู่
“ไม่ปล่อย ไม่มีทาง”
“คิดจะลองดีกับฉัน ว่างั้นเถอะ” ปากจิ้มลิ้มยิงฟัน ก่อนหวีดร้องดังลั่น บีบน้ำตาจนหยดน้ำใสๆไหลอาบแก้มมอมแมมนั่นเป็นทาง “ช่วยด้วย ฮือๆ ช่วยหนูที”
“คุณเป็นพวกลักพาตัวเด็กจริงๆหรือคะ” หญิงวัยกลางคนคนเดิมถามอย่างสับสน ไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี อยากเชื่อเขาเพราะเห็นแต่งตัวดีไม่น่าเป็นคนร้าย แต่อีกใจก็อดคล้อยตามนันวราไม่ได้ ก็ดูน้ำตานั่นสิ…ไหลเป็นทางเชียว เห็นแล้วก็นึกสงสาร
“ไม่ใช่นะครับ ผมไม่ได้อยู่แก๊งลักเด็กบ้าบออะไรนั่นแน่ๆ” ชายหนุ่มยืนกรานปฏิเสธ พลางขมวดหัวคิ้วเข้าหากันเมื่อฝูงชนเริ่มเข้ามามุงดูเขาอย่างให้ความสนใจ
และนันวราก็อาศัยช่วงจังหวะที่เขามัวยืนงง อ้าปากงับหัวไหล่เขาอย่างแรง