บทที่ 1 (ศูนย์) 零
บทที่ 1 (ศูนย์) 零
“อ๊ากกกกก”
“ช่วยด้วย”
“แม่!!”
เสียงร้อง เสียงคร่ำครวญ กลิ่นคาวเลือด ศพเด็กมากมาย กองอยู่ตรงหน้า แม้หมาป่าตัวแรกจะตายไปแล้ว แต่เด็กที่ตายก็มากมายเกินไป หมาป่าตัวเดียวแต่มีคนตายถึงกับยี่สิบคน คนที่พอมีสติก็เหลือน้อย คนที่รอดชีวิตก็เสียสติ ทุกสิ่งมันเหมือนจะจบ แต่ ไม่ใช่ เพราะชีวิตมันไม่ง่าย ไม่นานที่หมาป่าตัวแรกถูกฆ่าตาย หมาป่าตัวที่สองก็ถูกปล่อยเข้ามา
‘พวกมัน ต้องการเด็กกี่คนกัน หรือจริงๆมันแค่อยากเห็นสัญชาตญาณนักฆ่าจากเด็กพวกนี้กันแน่’
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว ผิงก้มมองอาหมิงที่กอดเข่าตัวสั่นเทาอยู่ข้างๆ สายตาเลื่อนลอย บอกได้ชัดเจนว่าอาหมิงคือกลุ่มที่รอดชีวิตแต่เสียสติ เดาว่าหากสติไม่กลับมา อีกเดี๋ยวก็ตาย ซึ่ง ผิงไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น หากอยากรอดก็ต้องสู้!
กฎของมันไม่ใช่เลือกคนที่รอดอย่างเดียวแต่คนนั้นต้องฆ่าได้ด้วย และเพราะแบบนี้ เธอจึงตัดสินใจนั่งลงจับตัวอาหมิง ร้องเรียกสติให้คืนมา
“อาหมิง อาหมิง เจ้าอยากรอดหรือไม่ ถ้าเจ้าอยากรอด เจ้าต้องฆ่า”
ผิงพูดด้วยโทนเสียงปกติ แต่คำว่า ‘ฆ่า’ กลับไปกระตุ้นให้อาหมิงเตลิด
“ไม่ไม่ ข้ากลัวแล้ว ไม่!!” อาหมิงปัดป้องตัวเอง เขยิบถอยห่างจากผิง ร้องอาละวาดเสียงดัง และยิ่งกว่านั้นเขาลุกขึ้นวิ่งหนี ผิงตกใจ เมื่อทางที่เขาวิ่งไปคือที่หมาป่าตัวใหม่กำลังอยู่
“อาหมิง!!!”
“อ๊ากกกกก!!” เสียงกรีดร้องของความเจ็บปวด หัวของอาหมิงหลุดออกจากตัวโดยที่ตัวยังดิ้นอยู่ในปากของหมาป่า เลือดกระฉูดสาดกระเด็นไปทั่ว ภาพความโหดร้ายนั้นอยู่ในสายตาของผิง เธอเบิกตากว้าง เผลอเขยิบถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว หมาป่าสีเทาย่างเท้าเข้ามาใกล้ๆเมื่อเห็นเหยื่ออยู่ใกล้ๆมัน ผิงพยายามสลัดความกลัวออกไป เธอกระซับกระบี่ในมือแม้ตัวจะสั่นระริก ตั้งแต่เกิดมา เธอยังไม่เคยเจอความโหดร้ายขนาดนี้ ไม่เคยเจอความกลัวขนาดนี้ เธอเป็นแค่ผู้หญิง ผู้หญิงธรรมดา
หมาป่าตัวใหญ่กระโจนใส่ผิง เธอร้องกรี๊ด หลับตาแทงดาบออกไป ดาบแทงทะลุลำคอของหมาป่าเลือดสาดกระเด็นอาบร่างของผิงเต็มๆย้อมผมและร่างเล็กจนกลายเป็นสีแดง กลิ่นเลือดคาวคละคลุ้ง ผิงค่อยๆลืมตาขึ้นพอเห็นฝีมือของตนเองก็ตกใจ ปล่อยมือออกจากดาบ เขยิบหนีอย่างหวาดผวา
เหล่าคนที่คอยสังเกตการณ์อยู่ด้านบนตกตะลึง มองเด็กชายที่พึ่งสร้างผลงานไปเมื่อสักครู่
‘เด็กอายุไม่ถึง 9 ขวบ ทั้งตัวเล็กเพียงนี้ ยังสามารถฆ่าหมาป่าตัวใหญ่กว่าตนได้เพียงดาบเดียว’ ทั้งสี่มองหน้ากัน เมื่อตัดสินใจแล้ว จึงโรยตัวลงมาจากด้านบน คว้าร่างผิงลอยขึ้นไป เด็กคนนี้ผ่านการทดสอบ
ผิงถูกพาตัวมาอย่างไม่มีสติ เพราะสติถูกกลืนหายไปแล้
“เด็กนี่เหรอ ฆ่าหมาป่าได้เพียงดาบเดียว”
“ขอรับ”
‘พวกเขาคุยอะไรกัน หมายถึงใคร’
“พาไปอาบน้ำและให้กินข้าวซะ ดูท่า คงคุยกันไม่รู้เรื่องแน่วันนี้”
“ขอรับ”
ผิงที่ถูกเข้าใจว่าเป็นเด็กชายถูกลากออกไป เธอถูกโยนลงบ่อน้ำและถูกสั่งให้อาบน้ำ พอได้รู้สึกถึงน้ำเย็นๆสติจึงค่อยๆคืนกลับมาบ้างเธอผ่านการทดสอบ มาเป็นพวกของคนพวกนี้แล้วทั้งยังเป็นเด็กคนเดียวที่ผ่านการทดสอบ ผิงรู้แค่นั้น เพราะยังไม่เจอใครที่มาพร้อมกันอีกนอกจากตน
หลังจากกินข้าวแล้ว ผิงก็ถูกพาไปดูที่นอน เด็กมากมายนอนเรียงกันเป็นตับ บ้างอายุราวๆเดียวกัน บ้างโตกว่า ผิงถูกผลักเข้ามา ทุกคนหันมามองเธอ
“เด็กใหม่สินะ”
“เด็กใหม่ล่ะเห็นว่าฆ่าหมาป่าได้เพียงดาบเดียว”
“คงเก่งน่าดู” เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนาๆ ในเรื่องของผิง มีทั้งเสียงชื่นชมและเหน็บแนม แต่ผิงไม่ได้สนใจ ตนไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจแม้แต่น้อย
“นี่เจ้าเด็กใหม่ ได้ข่าวว่าแก เก่งมาก แสดงฝีมือให้ดูหน่อยสิ” เด็กที่อายุราวน่าจะ 10 กว่าปี เป็นคนพูด พวกเขาหลายคนเดินเข้ามาหาผิงช้าๆ เธอถอยหลัง รับรู้ถึงอันตราย พอมองไปรอบๆก็ไม่มีใครคิดจะห้าม สังคมไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบันก็มีคนแบบนี้อยู่เกลื่อนกลาด หากไม่ใช่เรื่องของตนก็ไม่สนอยู่แล้ว
“มันเป็นธรรมเนียมรับน้องใหม่ เอาน่า เราจะเบาๆมือ”
ผลั๊วะ!! จบประโยคร่างของผิงก็ถูกซกจนกระเด็นไปชนกับผนัง ยังไม่ทันได้ลุก ทั้งเท้าทั้งหมัดต่างก็รุมเข้ามาอย่างไม่ให้หายใจหายคอ ผิงกอดตัวเองไว้ กัดฟันทนเจ็บ
เพราะเป็นสัตว์กินพืช พวกมันจึงรวมกันเป็นกลุ่ม เพราะโลกใบนี้ไม่มีที่ให้คนอ่อนแอ ถ้าอ่อนแอ ก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง ถ้าอ่อนแอ ก็ปกป้องใครไม่ได้ แม้แต่ตัวเอง เพราะแบบนั้น เธอจะทน
‘ทน ทนจนกว่าจะแข็งแกร่งขึ้น’
ยามอิ๋น*
วันใหม่มาถึง แม้ร่างกายจะบาดเจ็บเจียนตาย แต่ก็ต้องฝืนลุกขึ้นมาเพื่อรับการฝึก ผิงพยายามอดทนและอดทน หลังจากรับการฝึกช่วงเช้ามืดเสร็จ เธอก็ถูกเรียกให้ไปพบหัวหน้า
“ท่านขอรับ เด็กใหม่มาแล้วขอรับ”
“นำตัวเข้ามา” ผิงถูกลากเข้าไป เมื่อเข้ามาข้างในได้แล้วยังไม่ทันได้เงยหน้าสำรวจสิ่งรอบกายเธอก็ถูกเตะให้ทรุดลงคุกเข่า
‘เฮงซวย’
“เงยหน้ามันขึ้น”
“ขอรับ”
ผิงถูกจับให้เงยหน้าขึ้น คนที่มองมาที่ผิงเห็นตอนนี้ เป็นคนเดียวกับที่เห็นเมื่อวานคนที่จ้องกดดันเธอ คนนั้น
“เป็นดวงตาที่ดี เอาล่ะเจ้าเด็กน้อย นับจากนี้เจ้าเป็นคนของที่นี่ กฎของที่นี่ ถ้าเจ้าไม่เก่ง เจ้าตาย ถ้าเจ้าไม่แกร่ง เจ้าตาย ดังนั้น หากไม่อยากตายก็ตั้งใจที่จะเป็นคนแกร่ง แล้วก็อย่าไว้ใจใครเป็นอันขาด แม้แต่ตัวแกเอง”
เรื่องนั้นผิงรู้ดี ในโลกใบนี้ คนที่อ่อนแอ มักไม่มีสิทธิ์มีชีวิตอยู่ เพราะต่อให้เราไม่ทำร้ายใคร มันก็มีคนมาทำร้ายเรา ผิงไม่ตอบออกไปแต่ใช้สายตาในการสื่อแทน
“ดี! ข้าชอบเจ้า เอาล่ะ ข้าจะเรียกเจ้าว่า หลิง (เลขศูนย์)”
“ขอบพระคุณท่านหัวหน้าเสียสิ!” ผิงถูกเตะ เธอกัดฟันอดทน ฝืนใจพูดคำนั้น
“ขอบพระคุณขอรับ” หัวหน้าพยักหน้าอย่างพอใจ ออกคำสั่งให้นำตัวออกไป ผิงถูกนำตัวออกไปแล้ว แต่หัวหน้านักฆ่ากลับเรียกผู้คุมของหลิงไว้เสียก่อน
“จับตาดูมันให้ดี มันไม่ใช่หมาที่เชื่องนัก” ชายชุดดำโค้งรับคำ
“ขอรับ”
การฝึกเป็นเรื่องที่ยากและหนักสำหรับผิง หลังจากฝึกซ้อมเสร็จก็ถูกลากไปทำร้าย ถูกเตะถูกต่อย หนักข้อขึ้นทุกวัน เพราะผิงยังไม่เก่งเธอจึงสู้ไม่ได้
ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วผิงพยายามเรียนรู้ชีวิตใหม่ แม้การอยู่ในหมู่บ้านนักฆ่าจะโหดร้ายแต่ก็ยังมีข้าวให้กินครบสามมื้อ หากไม่โดนแย่งจากพวกเด็กนรก โชคดีที่ไม่มีใครรู้ว่าผิงคือเด็กผู้หญิงเพราะรูปลักษณ์ของผิงเหมือนเด็กผู้ชายจนแยกไม่ออก ยิ่งร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกซ้ำก็ยิ่งดูไม่ออกว่า เธอคือเด็กผู้หญิง
“มานี่!” และเหมือนทุกวัน ผิงถูกลากไปที่บ่อน้ำ ยังคงเป็นกลุ่มเด็กพวกเดิมที่ชอบมาทำร้ายเธอ
“ทำไมต้องเกลียดข้าขนาดนี้” ในที่สุดผิงก็ตัดสินใจถามออกไป พวกนั้นทำหน้าเหมือนแปลกใจ แต่เพียงครู่ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ผิงไม่เข้าใจ
“อยากรู้เหรอว่าทำไม” ผิงไม่ได้พยักหน้า เด็กผู้ชายพวกนั้นยิ้มเหยียด ย่างกายเข้ามา วันนี้ต่างกว่าทุกวัน พวกนั้นไม่ได้เข้ามาทำร้าย แต่ทำท่าคุกคามอย่างน่ากลัว ใบหน้าของมันหื่นกระหาย
“พวกเจ้าจะทำอะไรข้า!” ผิงร้องถามเสียงสั่น ก้าวถอยหลัง ยกหมัดขึ้นมาตั้งท่าเตรียมสู้ แม้ทุกวันคนเล่านี้มาทำร้ายร่างกายแต่ เธอก็ยังพอกัดฟันทนให้ผ่านพ้นไป สักพักมันก็จะผ่านไป แต่วันนี้มันต่างออกไป
“ที่นี่มันมีแต่บุรุษ มองไปทางไหนก็บุรุษ แถมเราก็ไม่มีโอกาสออกไปทำงานฆ่าใครด้วย แกก็ร่างบอบบางคล้ายสตรีดี มาช่วยคลายอารมณ์ให้พวกข้าหน่อยก็แล้วกัน”
เมื่อได้รู้สาเหตุที่พวกนี้มาคุกคามเธอในวันนี้ ผิงก็เบิกตากว้างถอยห่างจากกลุ่มเด็กหนุ่มนรกพวกนี้ เตรียมหนี แต่ตนกลับถูกกระชากและผลักลงพื้นเสียก่อน
“ไม่ ไม่ ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าจะยอมทำทุกอย่าง จะทำแทนหมดทุกอย่างแต่โปรดปล่อยข้าไป” ผิงยกมือไหว้อ้อนวอน น้ำตานองหน้า นานแล้วที่ผิงไม่ร้องไห้ แต่เด็กพวกนั้นต่างไม่สนใจคำอ้อนวอนของผิง พวกมันกระโจนเข้ามาราวสัตว์ป่าที่เห็นเหยื่อ รุมฉีกทึ้งเสื้อผ้าของเธอ
ผิงดิ้นรนปัดป้องอย่างแรง แต่ก็ไม่สามารถสู้แรงพวกเดรัจฉานได้ เสียงหัวเราะของพวกมันก้องอยู่ในหู เสียงคำพูดหยาบโลนที่น่ารังเกียจ สัมผัสที่น่ารังเกียจ
“ผิวเนื้อในไอ้เด็กนี่เนียนชะมัด” ผิงรู้สึกอยากตาย ตายไปตรงนั้น แต่แล้ว ความคิดหนึ่งก็พุ่งเข้ามา
‘ข้าจะไม่ตาย หากลำบากเพียงใด ถูกทรมานเจียนตาย ถูกเหยียบให้ตกต่ำข้าก็จะไม่ตาย พวกมันต่างหากต้องตาย!!”
ในตอนนั้น ไม่รู้ผิงไปเอาความกล้ามาจากที่ไหน เธอคว้าหินได้ ก็จัดการทุบหัวไอ้คนที่ซุกอยู่ที่ซอกคอของเธอทันที วงแตกฮือ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังมาจากไอ้คนที่ถูกทุบหัว ผิงใช้โอกาสที่ร่างกายเป็นอิสระลุกขึ้น กระซับเสื้อผ้าเข้ามา ตากวาดมองพวกนรกอย่างอาฆาต
“แก แก ไอ้หลิง ไอ้เด็กเลว แกกล้าทำร้ายฉัน!!” ผิงเหยียดยิ้ม ก้มลงหยิบท่อนไม้ทั้งยังมองพวกเดรัจฉานไปด้วย
“พวกแกเอาแต่ทำร้ายคนอื่น แล้วไม่คิดหรือไงว่าคนอื่นจะทำร้ายพวกแกได้ หากวันนี้พวกแกไม่ตาย ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากที่แห่งนี้”
ผิงกระโจนเข้าใส่ ฟาดท่อนไม้ใส่ร่างของคนเลวพวกนั้นอย่างไม่ยั้ง วิชาที่ฝึกซ้อมมาไม่รู้มาจากไหน เพียงท่อนไม้ท่อนเดียว เด็กชาย 5 คนก็กลายเป็นศพอยู่ตรงหน้าเธอ ผิงเช็ดเลือดที่เปรอะบนหน้า ทิ้งท่อนไม้ลง จัดการแบกคนแรกโยนลงบ่อน้ำ เมื่อจัดการคนแรกได้ก็ตามด้วยคนที่สอง สาม สี่ จนคนสุดท้าย เมื่อจัดการเสร็จผิงก็ทิ้งตัวลงกับพื้น อย่างเหนื่อยอ่อน น้ำตามากมายต่างไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
‘เธอฆ่าคน ฆ่าไปแล้วถึง 5 ศพ ฆ่าไปแล้ว’
ผิงนั่งร่ำไห้อยู่ตรงนั้นนานหลายชั่วยามถึงเดินกลับไปเรือนนอน
การฆ่าคนครั้งแรก มันไม่เหมือนในหนังที่เคยดู ไม่เหมือนนิยายที่เคยอ่าน มันไม่ได้ลืมได้ง่ายๆ มันไม่ใช่เรื่องง่าย เธอฝันเห็นสิ่งที่เธอกระทำลงไป ทุกคืนทุกคืน เธออ้วกและกินอะไรไม่ได้ นอนไม่หลับ หวาดระแวงอยู่กับความรู้สึกผิดที่กัดกินความรู้สึก ความเจ็บปวด มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำตัวให้ปกติเมื่อมือคุณเปื้อนเลือดแล้ว แม้จะรู้ว่าหากใครรู้ว่าเธอฆ่าคนก็จะไม่ถูกเอาผิด เพราะการฆ่ากันในที่นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับคนที่ไม่เคยทำเรื่องเลวๆอย่างผิง มันคือสิ่งที่เลวร้าย
ผิงเริ่มโหมฝึกหนักมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น จนขึ้นไปอยู่แนวหน้าด้านการต่อสู้ ผิงพยายามไม่โทษตัวเองและคอยบอกตัวเองว่าเธอแค่ป้องกันตัว ใช่ เพียงป้องกันตัวเท่านั้น เธอโชคดีแค่ไหนที่ไม่ถูกรู้ความลับและถูกข่มขืน คนพวกนั้นสมควรตาย
หนึ่งปีผ่านไป จากเด็กที่ไม่เก่งและยอมคน ผิงเริ่มเปลี่ยนไป เธอเย็นชาและไร้ความรู้สึก ไม่มีใครกล้าต่อกรกับผิง เพราะไม่มีใครสู้ผิงได้
“หลิง หัวหน้าเรียกพบ” ผิงพยักหน้ารับรู้ วางมือจากการซ้อม เดินตามรุ่นพี่ที่มาเรียกไปที่เรือนของหัวหน้า
“คาราวะหัวหน้า” ผิงคุกเข่าคำนับและคุกเข่าอยู่อย่างนั้น หัวหน้าไม่ได้บอกให้เธอลุก แต่กลับยื่นจอกที่ข้างในมีน้ำใสๆอยู่ ผิงรับมา สูดดมกลิ่น ภายในใจตื่นตระหนกแต่ใบหน้ายังคงเรียบสนิท
“ดื่มสิ มันคือการฝึก หากออกไปทำงาน พบเข้ากับพิษ กินพิษเข้าไปบ่อยๆร่างกายจะได้ต้านทานได้อย่างไรเล่า”
ผิงฟังที่หัวหน้าพูดจบก็ยกจอกในมือขึ้นดื่ม วางจอกลงรอพิษออกฤทธิ์ ยังไม่ถึงหนึ่งเค่อ* ผิงก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เธอรู้สึกเจ็บอยู่ภายในพยายามใช้ลมปราณขับพิษ แต่พิษกลับยิ่งวิ่งเข้ามามากขึ้น ใบหน้าเริ่มเขียวคล้ำจนม่วงและในที่สุดผิงก็ล้มลงกับพื้น หัวหน้ามองหลิงด้วยแววตาวางเปล่า ไม่คิดช่วย ไม่คิดทำอะไร เพียงเดินกลับไปนั่ง รอเวลาเพียงเท่านั้น หากเจ้านี่ทนได้ ก็ไม่ตาย แต่หากทนไม่ได้ก็ตาย
‘อะไรกัน ทำไมร่างกายถึงขยับไม่ได้ แขนขาชาไปหมด จริงสิ เธอดื่มยาพิษเข้าไป กำลังจะตายสินะ นั่นสิ ต้องตายแล้วสินะ’
‘พูดบ้าอะไร แกจะมาตายที่นี่เหรอผิง แกพึ่ง 6 ขวบเองนะ แกจะตายไม่ได้’
‘แล้วจะให้ทำไงล่ะ ไม่มียาแก้พิษ ยังไงก็ต้องตาย’
‘แกจะยอมแพ้โชคชะตาเหรอ เช่นนั้นพวกเทพก็จะหัวเราะแกน่ะสิ ที่แกแพ้’
จิตทั้งสองต่างตีกันไปมา พอคิดว่าตัวเองต้องแพ้ และพวกเทพที่ลงโทษเธอจะชนะ หัวเราะเยาะเธอ ผิงก็มีแรงฮึดขึ้น เธอจะไม่ตาย ไม่ตายเด็ดขาด
หัวหน้านักฆ่าเหลือบมองกาหยดน้ำ ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป*แล้ว ยังไม่ฟื้น เช่นนั้น
“มา-“
“น้ำ ขอน้ำ” เสียงแหบพร่าดังขัดเสียงของหัวหน้านักฆ่า เขามองร่างที่นอนบนพื้นอย่างตื่นเต้น จนมีเสียงขอน้ำครั้งที่สองจึงได้สติ รีบตักน้ำมาป้อน หลิง ทันที
'เจ้าเด็กนี่มันมหัศจรรย์นัก ดี ดีจริง'
หลังจากกินน้ำแล้วผิงก็ได้ยาแก้พิษ แต่หลังจากวันนั้นทุกเย็นในทุกวันก็ต้องมาที่เรือนหัวหน้าและต้องทำการทดสอบพิษไปเรื่อยๆ ความทรมานมากมายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แม้ใจหนึ่งอยากตาย แต่ใจหนึ่งก็ไม่อยาก ผิงต้องต่อสู้กับพิษในร่างกายและจิตใจของตนเอง ผ่านไปห้าเดือน ในที่สุด ผิงก็กลายเป็นคนที่ทนรับพิษได้ทุกชนิด ร่างกายของเธอมันไม่ใช่คนแล้ว
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
หัวหน้าต่างเรียกนักฆ่าทั้งมืออาชีพและอยู่ในช่วงฝึกหัดมารวมพลที่ลานฝึกยุทธ์ เมื่อทุกคนมาครบแล้ว หัวหน้าจึงออกมา
“วันนี้ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามารวมกัน เพราะมีเรื่องจะประกาศ” ทุกคนในที่นั้นต่างเงียบฟัง
“การทดสอบที่ผ่านมา ผู้ที่ทำคะแนนสูงเสมอต้นเสมอปลายมีอยู่ 5 คน คนที่หนึ่ง อี๋”
จบคำของท่านหัวหน้า ชายร่างสูงกำยำอายุราว 18 ปลายๆก้าวออกมาด้านหน้า ทุกคนต่างจ้องไปที่เขา ‘อี๋’ เป็นนักฆ่ามืออาชีพที่เก่งกาจมาก หลายปีมานี้ ไม่มีใครสามารถล้มเขาได้สักคน ‘อี๋’ จึงได้รับความนับถือมาก ถ้าความคาดเดาไม่ผิด หัวหน้ากลุ่มคนต่อไปคงจะเป็นเขาเป็นแน่
“คนที่สอง สือ” สือเป็นชายหนุ่มร่างยักษ์ เขาอายุเยอะกว่านักฆ่ารุ่นนี้ที่สุด ความเก่งกาจคือฝีเท้าที่เบากริบแม้ร่างกายจะใหญ่โตก็ตาม
“คนที่สาม ปา” ปา เขาเป็นนักแม่นธนู ไม่ว่าจะอยู่ในท่าไหนสถานการณ์เช่นไรก็สามารถยิงได้อย่างแม่นยำ
“คนที่สี่ เออร์” เออร์ ชายที่ทุกคนต่างให้ความเคารพ เขาเป็นรองแค่หัวหน้าเท่านั้น
“และคนสุดท้าย….” ทุกคนต่างคิดไปต่างๆนานาว่าคนที่ห้าจะเป็นใคร หัวหน้ากวาดสายตามองไปรอบ เมื่อเห็นเจ้าเด็กน้อยประจำกลุ่มแล้วจึงประกาศต่อ
“หลิง”
‘หลิง! หลิงรึเป็นไปได้อย่างไร เจ้านั่นแค่ 6 ขวบเท่านั้น อย่างไรก็ถือยังเป็นเด็ก’ ทุกคนต่างวิจารณ์กันในใจ ทั้งมองมายังเจ้าหลิงที่ยืนอยู่ท่ามกลางคนตัวสูงหลายคน ผิงเดินไปยืนอยู่ข้างๆบรรดารุ่นพี่ๆที่ทำคะแนนดีด้วยใบหน้านิ่งสงบไม่สื่ออารมณ์ยินดีหรือยินร้าย เพราะใบหน้าที่เรียบนิ่งเกินไปทุกคนจึงคิดว่า เจ้าเด็กนี้จองหองนัก อวดดี
ผิงรู้ว่ามีสายตาหลายคู่พุ่งมาที่ตน ต่างไม่ใช่สายตาที่ปรารถนาดีนัก แต่ก็ไม่ได้สนใจ ผิงเลิกสนใจสายตาของผู้อื่นไปนานแล้ว
“เอาล่ะข้าจะประกาศเรื่องต่อไป ด้วยคนเหล่านี้มีคะแนนที่สูงมาก ข้าจึงจะมอบงานให้พวกเขาทำ” เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง สี่คนได้รับงานไม่มีใครมีปัญหาแต่พอรู้ว่า เจ้าเด็กอวดดีหลิงมันจะได้งานทุกคนก็ต่างสาปแช่งในใจ
“เอาล่ะจบแล้ว แยกย้ายได้ ส่วนเจ้าทั้งห้าตามข้ามา”
“ขอรับ”
ที่เรือนหัวหน้า บุรุษทั้งสี่ต่างยืนตัวตรงไม่ไหวติง ให้ความรู้สึกเด่นเป็นสง่ายิ่งนัก เห็นแต่จะมีสิ่งแปลกปลอมบางอย่างมาทำให้ความสง่านั้นลดลง ผิงไม่ได้ตัวเล็ก สำหรับเด็กวัยเดียวกัน เขาค่อนข้างสูง แต่เมื่อมาอยู่กับบุรุษที่โตเต็มวัยเช่นนี้ ผิงก็กลายเป็นคนตัวเล็กไปเสียถนัด
“งานที่พวกเจ้าได้รับมอบหมายครั้งนี้เป็นการสังหารใต้เท้าเทา ที่เมืองอู่ จวนสกุลเทา งานครั้งนี้ถือเป็นการสร้างผลงานแรกขอให้พวกเจ้าจงตั้งใจ อย่าพลาดเด็ดขาด!”
“ขอรับ” ทั้งห้าตอบรับอย่างพร้อมเพรียง หัวหน้ามองไล่ทีละคน ครบทุกคนแล้วจึงพยักหน้าสั่งเสียงเข้ม
“ไปได้”
ทั้งห้าต่างรับคำหัวหน้าแล้วพากันเดินออกมา พี่ใหญ่ที่มีประสบการอย่างเออร์คือหัวหน้าในภารกิจนี้ เออร์บอกให้ที่เหลือกลับไปเก็บของเนื่องจากระยะเวลาทำภารกิจ กำหนดให้สองวันดังนั้นพวกเขาจึงต้องเร่งไปในวันนี้
ผิงกลับมาเก็บของ ของตน นางเอาเพียงเสื้อผ้าไปชุดเดียวเพราะนอกนั้นทางพี่เออร์ได้เตรียมไว้ให้แล้ว ผิงรู้ว่าภารกิจครั้งนี้ตนต้องฆ่าคนอีกครั้งทั้งยังเป็นคนบริสุทธิ์ที่ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับตน ไม่ได้ทำร้ายตน เก็บของใส่ห่อผ้าไปด้วยใจนางก็หวั่นไปด้วย ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้ไหม หากทำไม่ได้ผลลัพธ์ที่ตนต้องได้คงไม่ดีมากแน่ๆ
หลายคนอาจจะอิจฉาที่ผิงได้รับงาน อาจมองว่าผิงโชคดี แต่สำหรับตัวเองนั้น นางคิดว่าตนโชคร้ายมาก งานที่ต้องฆ่าชีวิตคน ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกสักนิด
ผิงเก็บของเสร็จก็เดินไปยังคอกม้าที่เป็นจุดที่พี่เออร์นัดหมายทุกคนให้ไปพบหลังจากเก็บของเสร็จ ผิงมาถึงเป็นคนแรก นางได้รับม้าจากนักฆ่าที่ต้องจัดการเรื่องแบบนี้ให้คนที่ออกไปทำภารกิจ เป็นม้าพันธุ์ดีสีดำ แน่นอนว่ามันตัวใหญ่กว่าผิงมากนัก รอสักพัก เหล่าคนที่อายุมากกว่าก็มากันครบ ทุกคนขึ้นม้าก่อนจะทะยานออกไปจากหมู่บ้าน ผิงเป็นฝ่ายรั้งท้าย ไม่ใช่เพราะขี่ม้าไม่แข็ง แต่เพราะผิงยังไม่ไว้ใจคนทั้งสี่นัก แม้จะเคยเห็นกันบ่อยๆแต่ก็ไม่เคยคุยกันสักครั้ง กับพี่เออร์ เคยพูดคุยกันแค่ตอนเขามาคุมการฝึกเท่านั้น ในหมู่บ้านนักฆ่า ผิงไม่คบใครและไม่มีใครคบ
เป็นครั้งแรกที่ผิงได้มีโอกาสออกมาจากหมู่บ้าน หลังถูกขายมา ทำให้รู้สึกตื่นเต้นปนหวาดระแวง ระยะเวลาตลอดหนึ่งปีมานั้น เด็กทุกคนที่ไม่ได้ถูกรับภารกิจต้องอยู่ในหมู่บ้าน แม้จะถูกสอนให้ใช้ชีวิตเวลาอยู่ข้างนอกแต่นั้นก็เป็นเพียงการจินตนาการและการฝึก แต่ครั้งนี้มันคือการเอาตัวรอดจริงๆ ในหมู่บ้านนักฆ่า มีคนอยู่หลายร้อยคน และมีคนมาเพิ่มทุกปี แต่คนที่สูญหายหรือตายก็มีอยู่ทุกวันเช่นกัน มันเป็นเรื่องปกติในหมู่บ้าน ไม่มีความปลอดภัยอะไรทั้งสิ้น สองสิ่งที่ผิงคิดว่าดีกว่าอยู่ข้างนอกคือมีอาหารให้กินและได้เรียนหนังสือ อีกหนึ่งเหตุผลที่ผิงไม่ค่อยพูดเพราะตนไม่สันทัดภาษาจีนนัก โชคดีที่ ที่นี่ส่วนมากมีแต่เด็กจึงไม่แปลกที่ผิงจะอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ทั้งยังไม่ค่อยจะเข้าใจภาษาจีน ในนิยายที่เคยอ่านนางเอกหลุดไปในมิติจีนโบราณแล้วพูดได้เลยแต่ไม่ใช่ในโลกความเป็นจริง หรืออาจเพราะตนไม่ใช่นางเอกจึงไม่ได้รับอภิสิทธิ์เช่นนั้น และผิงก็พึ่งรู้หลังได้เข้าไปฝึกในส่วนที่ต้องเรียนหนังสือ ว่าชื่อที่หัวหน้าตั้งให้ตนตอนแรก มันหมายความว่า 'ศูนย์' เลขศูนย์นั่นเอง ผิงยอมรับว่าหัวหน้าเป็นคนคลาสสิคและเป็นคนที่ร้ายกาจมากเช่นกัน การที่ตั้งชื่อให้ตนว่าเลขศูนย์นั้นมองได้ทั้งสองความหมาย
เพราะเลขศูนย์ในหมู่บ้านไม่มีใครมีชื่อนี้ หมายความว่า ผิงได้รับชื่อนี่แค่คนเดียว ไม่เหมือนใคร ไม่มีใครเหมือน ตนจะเป็นเพียงหนึ่ง ไม่มีใครมาเป็นผิงได้อีก แต่ ในอีกความหมายหนึ่ง ศูนย์ก็หมายถึงความไร้ค่า และไม่มีใครต้องการ หากอยากกำจัดก็ไม่ต้องคิดอะไรให้มาก ในสองเหตุผลนี้ ผิงคิดว่า สำหรับคนอย่างหัวหน้า ต้องคิดทั้งสองเหตุผลนี้แน่ๆ
‘มีเพียงหนึ่ง และ ไร้ค่า’