9 เจ้าคือสมบัติของข้า 3
เศรษฐีจางเหว่ยยังคงใช้ชีวิตสำราญ จับจ่ายเงินทองและของมีค่าให้แก่อี้จีในสำนักโคมเขียวจนทรัพย์สินที่มีร่อยหรอลงทุกที
แทนที่เขาจะทำการค้าขายเช่นเดิม กลับไม่ใส่ใจจนกิจการโดนเจ้าหนี้ยึด ความอัตคัดในครอบครัวเกิดขึ้น ทุกคนกินอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย กระทั่งเขาไล่คนรับใช้ออกไปจนหมด อันฉีต้องทำงานทุกอย่างในบ้านแต่เพียงผู้เดียว
“น้าอันฉีตัดกิ่งไม้รึ ข้าช่วย”
หมู่ตันดรุณีวัย 14 ปี ธิดาคนเดียวของเศรษฐีจางเหว่ยเอ่ยขึ้น อันฉีมองหน้างดงามของดรุณีน้อยแล้วส่ายหน้า
“คุณหนูอย่าช่วยข้าเลย งานมันหนักมาก คุณหนูจะเหนื่อย”
“ไม่ ข้าทนไม่ได้ที่เห็นน้าอันฉีทำงานหนักเพียงผู้เดียว แต่ท่านพ่อไม่ช่วย ท่านพ่อออกเที่ยวนอกบ้าน มัวเมากับนางคณิกา ท่านพ่อดื่มสุราทุกวันแล้วยังเล่นไพ่นกกระจอกจนเราไม่เหลืออะไรอีกแล้ว นอกจากบ้านหลังนี้เท่านั้น”
หมู่ตันกล่าวเสียงสั่นและน้ำตาไหลออกมาด้วยความเสียใจต่อการกระทำของบิดาผู้เห็นแก่ตัว ไม่คำนึงว่าลูกเมียจะได้รับความเดือดร้อนเช่นไร
“ข้าทำได้ ข้าจะไม่ให้คุณหนูลำบาก ข้าทนไม่ได้ที่เห็นมือนุ่มขาวจะหยาบกร้านและแตก คุณหนูไปนั่งใต้ชายคาเถิด ตรงนี้แดดมันร้อน”
อันฉีจูงมือหมู่ตันให้นั่งหลบแดดใต้ชายคา ส่วนนางคว้ามีดฟันกิ่งไม้ที่ขึ้นรอบๆ บ้าน หมู่ตันมองร่างบางของพี่เลี้ยงด้วยความสงสาร อันฉีผู้เคยสวยงาม บัดนี้ใบหน้าหมองคล้ำและซูบผอม อาภรณ์ที่สวมใส่ทั้งเก่าและเปื่อย บางส่วนขาด มีร่องรอยการปะชุน
อันฉีทำงานในบ้านหนักมากแล้วแต่ก็ยังออกไปทำงานรับจ้างเพื่อแลกข้าวกับอาหารมาเลี้ยงดูนางกับบิดา จนชาวบ้านต่างพากันตำหนิเศรษฐีจางเหว่ยว่าเป็นบุรุษที่ใช้ไม่ได้
ความดีของพี่เลี้ยงทำให้หมู่ตันทนไม่ได้จึงแย่งมีดในมืออันฉีมาถือไว้แล้วฟันกิ่งไม้จนหักโค่นลงมา อันฉีมองคุณหนูผู้สวยงามแล้วร้องไห้จนตัวสั่น
สตรีทั้งสองนางยังคงช่วยกันตัดต้นไม้รอบๆ บ้าน ในเวลาเดียวกันเศรษฐีจางเหว่ยเดินโซซัดโซเซเข้าบ้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยปูดบวมจากการถูกทำร้าย กระนั้นเขายังหนีบไหสุราไว้ที่รักแร้
“โอย โอย ช่วยข้าด้วย”
เขาร้องด้วยความเจ็บปวด หมู่ตันและอันฉีหันไปมองโดยพร้อมกันและอุทานเบาๆ
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไร ใครทำท่าน”
“ท่านจาง ท่านถูกใครทำร้ายรึ เร็วเข้าเถิด เรามาช่วยท่านจางกัน”
สตรีทั้งสองนางปราดเข้าไปประคองร่างเศรษฐีจางที่ล้มลงไปนอนคลุกฝุ่นตรงพื้นหน้าบ้านจนไหสุราที่หนีบไว้ตกลงแล้วกลิ้งหลุนๆ ห่างออกไป เศรษฐีจางเหว่ยมิวายเอื้อมมือจะไปคว้าจับเอาไว้
“ไหสุราของข้า”
“ท่านพ่อ สุราหมดแล้ว ท่านพ่อเดินไหวไหม”
“ไหว แต่ข้าปวดไปทั้งตัวแล้วเจ็บหน้าด้วย”
“ท่านถูกใครทำร้าย”
อันฉีถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ แม้ว่าเขาทำให้นางเจ็บปวดบ่อยครั้งแต่เขาก็หยิบยื่นชีวิตที่ดีให้
“คนคุมนางคณิกาในสำนักโคมเขียว ข้าไปเที่ยวแต่ไม่มีเงินไปจ่าย เขาก็เลยทำร้ายข้า”
“ท่านพ่อ เราไม่มีจะกินกันอยู่แล้ว ท่านยังไปเที่ยวสำนักโคมเขียวอีกหรือ”
“ทำไมเล่า ข้าคิดถึงอี้จีเหมย ข้าอยากเห็นหน้านาง”
“ท่านพูดอะไรออกมา ช่างไม่รักษาน้ำใจน้าอันฉีบ้างเลย รู้ไหมว่าน้าอันฉีทำงานทุกอย่างในบ้าน ทนลำบากเพื่อพวกเรา แต่ท่านพ่อกลับกระทำตนเช่นนี้”
“หมู่ตัน เจ้าอย่าเสียงดังใส่ข้า”
“ข้าเหลืออดแล้วไง ในเมื่อท่านพ่อชอบอี้จีนางคณิกาแพศยาในสำนักโคมเขียวเช่นนั้น ดีล่ะ ข้าก็จะไปเป็นอี้จีในสำนักโคมเขียวบ้าง”
หมู่ตันพูดเสียงดังด้วยความคับแค้นใจ เศรษฐีจางเหว่ยกับอันฉีตกใจ ไม่คิดว่าดรุณีนางน้อยจะกล่าวเช่นนั้น
“ไม่นะ คุณหนูหมู่ตัน”
“น้าอันฉี ข้าพูดจริงและทำจริง ข้าฝากท่านพ่อด้วย ข้าจะไปสมัครเป็นอี้จี”
“หมู่ตัน อย่านะลูก อย่าทำเช่นนั้น”
แม้เศรษฐีจางเหว่ยเมา แต่ก็มีสติเมื่อรู้ว่าบุตรสาวจะไปสมัครเป็นอี้จีในสำนักโคมเขียว เขาร้องห้ามจนเสียงหลง แต่หมู่ตันหาได้ใส่ใจ นางเดินเข้าบ้านและเก็บเสื้อผ้าเตรียมเดินทางไปสำนักโคมเขียวที่มีชื่อที่สุดของมณฑลแห่งนี้