บทที่ 3
เพราะแสงที่สว่างที่มากเกินไปทำให้สายตาของเธอลืมมองสู้แสงไม่ไหว เมื่อซูมี่หลับตาลง เมื่อเธอก็ตื่นขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ภายในห้องที่เรือนหลังน้อยในยุคโบราณ
ซูมี่ลืมตานอนนิ่งๆ เพื่อปรับความรู้สึก ก่อนที่จะมองฝ่าความมืดมองไปทั่วห้อง ยังเป็นเช่นเดิมที่ไม่มีสิ่งใดมีเพียงเตียงไม้ ตู้เก็บเสื้อผ้าที่ปลายเตียง ซูมี่เดินออกไปด้านนอกห้องเพื่อสำรวจบ้านที่นางเคยอยู่
ทุกอย่างยังเป็นเช่นที่เคยเป็น หากจะนึกเสียดายสิ่งที่อยู่ในภพนี้คงวเป็นบิดามารดาที่รักนางที่สุด นอกนั้นก็ไม่มีสิ่งใดให้จดจำ ในตอนนี้ที่นางย้อนกลับมาเป็นช่วงก่อนที่นางจะรับรู้เรื่องของถิงถิง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ซูมี่ก็คิดที่จะทำให้ครอบครัวของนางเห็นธาตุแท้ของชิงฉาง เพื่อจะได้หยุดให้การช่วยเหลือเรื่องต่างๆ กับเขา ในเมื่อกล้าทรยศต่อความหวังดีที่ท่านพ่อท่านแม่นางมอบให้ เขาก็ควรจะได้รับผลที่เขาได้กระทำไว้
เช้าวันรุ่งขึ้น นางจางกุ้ย มารดาของซูมี่ก็เดินมาดูบุตรสาวที่ล้มป่วยลงเมื่อสองวันก่อนที่นอนพักอยู่ในห้อง
"มี่เออร์เจ้าหายดีแล้วหรือ" นางจางกุ้ยเดินเข้ามาจับหน้าผากของบุตรสาวที่นั่งอยู่ที่เตียง
ซูมี่ที่เห็นหน้ามารดาก็โผล่เข้าหาด้วยความคิดถึง จางกุ้ยที่เห็นบุตรสาวร้องไห้โฮออกมาก็ตกใจจนต้องลูบหลังปลอบประโลมนาง ซูต้าหลางที่ได้ยินบุตรสาวร้องไห้เสียงดังก็รีบเดินเข้ามาดู
"มี่เออร์เป็นอันใด" นางจางกุ้ยส่ายหัวให้ซูต้าหลางเพราะนางก็ไม่รู้เช่นกัน
เมื่อซูมี่สงบสติได้นางก็มองบิดามารดาด้วยแววตาที่คะนึงหา นางได้กลับมาอยู่กับมารดาบิดาอีกครั้งแล้ว นางต้องสลัดชิงฉางให้หลุดเสียก่อนนางถึงจะตั้งตัวอีกครั้งเพื่อให้ความเป็นอยู่ของบิดามารดาดีขึ้น
ซูมี่ในวัยสิบสามหนาว นางบอกบิดามารดาว่านางฝันร้าย ฝันว่ามิได้อยู่กับบิดามารดาทำให้นางร้องไห้ออกมา จางกุ้ยและต้าหลางลูบหัวปลอบบุตรสาว ก่อนที่จะแยกย้ายออกไปทำงานของตน
ซูมี่นางก็ออกไปช่วยมารดาในครัว เมื่อเห็นมารดาทำอาหารเผื่อชิงฉางนางก็เบะปากอย่างดูแคลน แม้แต่อาหารที่กินยังต้องให้มารดากับนางเป็นคนนำไปส่ง
"ท่านแม่ ท่านไม่ต้องทำเผื่อเขาแล้วเจ้าค่ะ" แม้แต่ชื่อเรียกนางก็ไม่อยากเรียกให้เสียปาก
"มีอันใดหรือ มิใช่เจ้าหรือที่ก่อนหน้านี้อยากทำไปส่งให้อาฉางทุกวัน" ซูมี่เบ้ปากเมื่อนึกถึงความคลั่งรักของนางเมื่อก่อน
"ข้าไม่อยากทำแล้วเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งหายดีควรเก็บไว้กินเอง" ของดีๆ ทั้งนั้น เนื้อในบ้านของนางส่วนมากก็อยู่ในท้องของชิงฉาง ในเมื่อคนเนรคุณเช่นนั้นจะให้เขาได้กินทำไม
นางจางกุ้ยเมื่อคิดถึงบุตรสาวที่นอนป่วยอยู่หลายวันก็เห็นเช่นเดียวกับนางที่จะเก็บของดีดีไว้ให้บุตรสาวได้กิน
ซูมี่ยิ้มหวานให้มารดาก่อนที่ทั้งคู่จะยกอาหารไปขึ้นโต๊ะแล้วเรียกบิดาที่ทำงานอยู่มาทานอาหาร
"เหตุใดวันนี้ถึงมีเนื้อมากนัก" ต้าหลางมองอาหารบนโต๊ะอย่างแปลกใจ เพราะบุตรสาวมักจะนำอาหารที่มีเนื้อสัตว์เกือบทั้งหมดไปให้ชิงฉางที่เรือนของเขา
ซูมี่คล้องแขนบิดา ก่อนที่นางจะเอ่ยว่าต่อไปนี้นางจะไม่ทำอาหารไปส่งที่เรือนของชิงฉางอีกแล้ว
"เพราะเหตุใด" ต้าหลางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ แม้เขาจะไม่เห็นด้วยที่ซูมี่นำของที่ดีภายในเรือนไปให้ชิงฉางแต่ก็ไม่อยากเอ่ยขัดให้บุตรสาวเสียใจ
"หากข้าพูดไปพวกท่านจะเชื่อหรือไม่เจ้าคะ" ซูมี่วางตะเกียบลงแล้วมองสบตาบิดามารดาอย่างจริงจัง
"เจ้าพูดมาเถิดมีเรื่องใดที่พ่อจะไม่เชื่อเจ้า" ต้าหลางตบศีรษะของซูมี่เบาๆ
"ข้ารู้ว่าเรื่องที่ข้าพูดมันออกจะเหลือเชื่อ" ซูมี่จับมือมารดาไว้แน่นเพื่อเรียกความมั่นใจก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้บิดามารดาฟัง
ซูมี่เล่าเรื่องที่นางฝันถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าทั้งหมดที่เกิดขึ้น และวันที่ชิงฉางพาหญิงสาวที่ชื่อถิงถิงมาที่เรือนตระกูลซูจนมีปากเสียงและนางได้ตกลงไปในบ่อน้ำจนเสียชีวิต
"พวกท่านคงคิดว่าข้านอนมากไปจึงฝัน เช่นนั้นท่านพ่อ ท่านลองไปสืบหาหญิงสาวที่อยู่ในเมือง นางเป็นบุตรของลูกอนุอยู่ที่เรือนของท่านคหบดีเฉียว" ซูมี่บอกให้บิดาที่ยังมองนางอย่างสงสัยไปจับตาดูทั้งคู่ด้วยตนเอง
ต้าหลางรับฟังสิ่งที่บุตรสาวพูดแต่เขาไม่ได้เอ่ยว่านาง แต่เรื่องทั้งหมดเขาย่อมต้องไปสืบหาเสียก่อนถึงจะปักใจเชื่อได้
"เช่นนั้นพรุ่งนี้พ่อต้องนำของปาไปขายในเมือง พ่อจะลองไปสืบดู" พอจบคำพูดของต้าหลาง ทั้งหมดก็เริ่มทานอาหารและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ชิงฉางเมื่อเห็นว่าเลยว่าเลยเวลาที่ซูมี่หรือนางจางกุ้ยนำอาหารมาส่งที่เรือนของเขา เขาจึงเดินมาดูที่เรือนตระกูลซูอย่างสงสัย เมื่อมาเห็นจึงได้พบว่าทั้งสามทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว
"ส่วนของข้าเล่าขอรับ" เขาเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ซูมี่ที่เมื่อก่อนพบเขาจะรีบเดินเข้ามาหา แต่ครั้งนี้นางไม่แม้แต่จะมองเขาเลยด้วยซ้ำ หรือนางจะรู้เรื่องของถิงถิงเสียแล้ว
"ป้ากำลังจะไปหาเจ้าที่เรือน เพื่อบอกว่าต่อไปคงไม่ส่งอาหารให้เจ้าแล้ว"